WS บทที่ 14 พวกนอกรีต
เมอร์ลินนั่งอยู่ในรถม้าอันกว้างขวาง แม้ว่าพื้นถนนจะเป็นหลุมเป็นบ่อเช่นแต่ตอนนี้เขาเริ่มที่จะชินกับมันแล้ว
“คุณชายเมอร์ลิน พวกเรามาถึงแล้วครับ!”
มอสส์พูดกับเมอร์ลินขณะดึงม่านกั้นออก
เมอร์ลินลืมตาขึ้นและลงจากรถม้า เมื่อเขาออกมา เขาได้เห็นชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้ายามมองมาที่เขา เมอร์ลินไม่สนใจสายตาที่ชายชรามองมา เขาได้เดินเข้าผ่านเข้าไปในอาคาร ในขณะนั้นเอง เขาได้เห็นรถม้าอันหรูหราของกัตต์ซึ่งได้มาถึงพอดี
“เฮ้เมอร์ลิน”
กัตต์ได้โผล่ศีรษะออกจากรถม้า ทักทายเมอร์ลิน ก่อนที่จะกระโจนลงมา แอนสันก็ลงมาจากรถม้าตามมา ดูเหมือนว่ากัตต์จะรับแอนสันขึ้นมาระหว่างทางด้วย
กัตต์และแอนสันเดินไปหาเมอร์ลินอย่างรวดเร็ว กัตต์ได้เอามือไปตบไหล่ของเมอร์ลินเบาๆ แล้วพูดพร้อมกับหัวเราะ “เมอร์ลิน นายหายไปตั้งหลายวัน นายกำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
ก่อนที่เมอร์ลินจะตอบอะไร จู่ ๆ แอนสันก็มีท่าทีห่อเหี่ยวขึ้นมา ดูเหมือนสิ่งที่อยู่ด้านหลังเมอร์ลินจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
เมอร์ลินได้หันไปมองและพูดว่า “หื้ม? นั่นทีรอธกับอาจารย์จีอานี่ทำไมพวกเขาถึงเดินมาด้วยกันล่ะ”
นั่นทำให้สีหน้าแอนสันเศร้าลงไปอีก นับตั้งแต่ที่เขาได้เจออาจารย์จีอา เขาก็ตกหลุมรักเข้าเต็มเปา เขาหวังจะสร้างคะแนนกับเธอแต่ไม่คาดคิดว่าทีรอธจะทำแต้มนำหน้าเขาไปแล้ว
เมอร์ลินเห็นทีรอธกับอาจารย์จีอาที่กำลังพูดและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก
ส่วนทางทีรอธ เขามองเห็นเมอร์ลินกับและคนอื่นๆ มุมปากของเขายกขึ้นเผยเป็นรอยยิ้มประชดประชัน เขาทำท่าอวดเบ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในอาคารพร้อมกับจีอา
กัตต์เหลือบมองไปที่แอนสันซึ่งอยู่ถัดจากเขา เขาได้ลดเสียงลงและหันไปพูดกับแอนสันว่า “อย่าเพิ่งเศร้าใจไปแอนสัน แม้ว่าอาจารย์จะไม่สามารถจีบได้ง่าย ๆ แต่นายลืมไปสิ ว่านายยังมีฉันอยู่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันได้สืบภูมิหลังของอาจารย์ รู้มั้ยว่าฉันเจออะไรและมันอาจเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่ออาจารย์ได้?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่จริงจังของกัตต์ ทำให้เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “นายไปรู้อะไรมาเหรอ หรือว่าภูมิหลังของอาจารย์จีอาจะไม่ธรรมดา?”
กัตต์ส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “ไมใช่ กลับกันเลยตั้งหาก ที่ฉันสืบมาอาจารย์ไม่มีภูมิหลังอะไรเลยราวกับว่าเธอปรากฏตัวจากความว่างเปล่า ฉันไม่สามารถหาได้ว่าเธอมาจากไหน ทำอะไรและใครเป็นญาติของเธอ คิดดูสิขนาดธุรกิจของครอบครัวฉันกระจายไปทั่วอาณาจักรแห่งแสงซึ่งมีพลังด้านข้อมูลขนาดนี้แต่กลับหาข้อมูลของอาจารย์ไม่ได้เลย เธอเป็นคนที่ลึกลับมากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก”
กัตต์ที่มักจะทำตัวเสเพลอยู่ตลอดเวลาซึ่งทำให้เขาดูเหมือนเป็นลูกชายของเศรษฐีที่ไม่เอาอ่าวแต่หลังจากที่เมอร์ลินได้พูดคุยกับเขามากขึ้น ทำให้เขาค้นพบว่าชายอ้วนคนนี้มีสามารถควบคุมธุรกิจส่วนหนึ่งของตระกูลดั๊กแลนด์ได้ ดังนั้นเขาไม่ธรรมดาดั่งที่ตาเห็นแน่นอนและด้วยเครือข่ายข้อมูลอันทรงพลังของตระกูลดั๊กแลนด์จะไม่สามารถค้นพบสิ่งใดเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของจีอาได้เลย เขาเกรงว่า เธออาจจะมีความลับบ้างอย่างซ่อนอยู่
กัตต์ยังพูดกับแอนสันต่อไป “แอนสันนายต้องตื่นได้แล้ว แม้ว่าอาจารย์เกียจะงดงามเพียงไรแต่ตัวตนของเธอนั้นลึกลับมากเกิน นายต้องหลีกเลี่ยงเธอ เราไม่รู้เธอมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร ถ้าจะให้ใครซวยก็ปล่อยให้เจ้าทีรอธนั่นซวยไป”
กัตต์ม้วนปากของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องของทีรอธ
เมื่อได้ยินคำแนะนำของกัตต์ ท่าทีของแอนสันก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมอร์ลินที่ค่อยไม่สนใจทีรอธกับจีอาผู้ลึกลับมากนัก ดังนั้นเปลี่ยนเรื่องทันที เขาหันไปถามแอนสันเกี่ยวกับข่าวคราวของเมซี่ส์ “แอนสัน แล้วเรื่องของเมซี่ส์ล่ะ นักดาบเปโรและคนอื่นๆที่ไปที่เมืองหลวงเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงยังไม่กลับมา นายพอจะรู้เรื่องของพวกเขาบ้างมั้ย?”
“เรื่องของเมซี่ส์เหรอ? ฉันก็พอได้ยินข่าวมาบ้าง เข้าไปข้างในก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะเรื่องนี้ให้ฟัง”
พวกเขาทั้งสามเข้าไปในห้องโถงกว้างขวาง วันนี้เป็นชั้นเรียนประวัติศาสตร์เช่นเคยแต่อย่างไรก็ตามจีอากับทีรอธไม่ได้อยู่ที่นี่และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
“แอนสันมีเรื่องเกิดขึ้นกับเมซี่ส์เหรอ”
เมอร์ลินถามอย่างเร่งรีบหลังจากพวกเขานั่งลง
แอนสันส่ายหัวเบาๆ “ไม่ต้องกังวลไปเมอร์ลิน เมซี่ส์น้องสาวของนายสบายดี แต่นายต่างหากที่กำลังจะมีปัญหา”
"ฉันเหรอที่กำลังจะมีปัญหา?"
เมอร์ลินไม่รู้ว่าแอนสันกำลังพูดถึงอะไรเขามองที่แอนสันอย่างสับสน
“มันเป็นอย่างนี้ เมซี่ส์และคนอื่นๆ ที่ไปเมืองหลวง พวกเขาเดินทางภายใต้การนำของนักดาบเปโรเพื่อเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนทางสังคมใช่ไหม? ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ คอว์ธันมีความก้าวหน้าและกลายเป็นนักดาบธาตุและที่สำคัญ เขาได้กลายเป็นนักดาบธาตุแสง! เรื่องนี้สร้างความตกใจอย่างมาก ทางโบสถ์แต่งตั้งคอว์ธันให้เป็นหนึ่งในนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์แห่งเทพแห่งแสง นั่นคือเหตุผลที่พวกเขากลับมาช้า นอกจากนี้ คอว์ธันได้ถูกพิจารณาว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยากทีเดียว”
ใบหน้าของแอนสันนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นราวกับว่าเป็นตัวเขาเองที่กลายเป็นนักดาบธาตุ
เมอร์ลินรู้เกี่ยวกับนักดาบธาตุไม่มากนัก แต่การเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์แห่งเทพแห่งแสงนั้นแตกต่างกับนักดาบธาตุอื่น ๆ มาก โดยนักรบศักดิ์สิทธิ์จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างเต็มที่จากโบสถ์แห่งเทพแห่งแสง แม้คอว์ธันจะเป็นสามัญชนแต่ตำแหน่งของนักรบศักดิ์สิทธิ์ มันสูงศักดิ์เทียบเท่ากับขุนนางเลย
และเมื่ออำนาจของโบสถ์แห่งเทพแห่งแสงเติบโตมากเท่าไหร่ อิทธิพลของนักรบศักดิ์สิทธิ์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จีอากับทีรอธก็เดินเข้ามาในห้องด้วยกัน ทางจีอาดูสดใสและสวยงามเช่นเคย ส่วนทีรอธนั้นตรงกันข้าม ใบหน้าของเขาดูอิดโรยและท่าทางดูซึม ๆ
“เฮ้ดูสิ เจ้าทีรอธคงจะถูกปฏิเสธมาท่า ถึงได้ทำท่าทางแบบนี้”
กัตต์แอบซุกซ่อนความยินดีในความโชคร้ายของทีรอธ
จากนั้นจีอาเริ่มสอนวิชาประวัติศาสตร์ เมอร์ลินรู้สึกไม่ค่อยสนใจเนื้อหาเท่าไหน่แต่เขาก็ลอบสังเกตอาจารย์อย่างลับ ๆ แม้แต่กัตต์ก็มองเธออย่างระมัดระวังเช่นกัน การที่ตัวตนของลึกลับจนเครือข่ายของเขาไม่สามารถหาข้อมูลได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเธอต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเมอร์ลินก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ผิดปกติจากจีอาได้เลย จากนั้นชั่งโมงเรียนก็ได้หมดลง
“เจอกันพรุ่งนี้นะ เมอร์ลิน”
กัตต์กับแอนสันร่ำลาเมอร์ลิน จากนั้นเขาก็ขึ้นรถม้าและกลับไปที่ปราสาท
...
กองอัศวินมากกว่ายี่สิบคนเคลื่อนที่ด้วยม้าอย่างรวดเร็วบนท้องถนน ชุดของอัศวินทีมนี้ดูมีเอกลักษณ์แตกต่างกันมาก พวกเขาทุกคนสวมชุดเกราะสีขาวและที่ด้านหลังฟาดด้วยดาบขนาดใหญ่
“อีกนานเท่าไหร่กว่าเมืองแบล็กวอเตอร์”
กองอัศวินชะลอลงทีละน้อย ชายวัยกลางคนที่มีผมสีทองถูกถามด้วยเสียงเย็นโดยผู้ชายอีกที่มีผมยาวสีน้ำตาลซึ่งถูกมัดเป็นเปียเล็กๆ ซ่อนอยู่ด้านหลังศีรษะของเขา เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวที่คลุมเกราะอ่อนและก็มีเครื่องหมายไม่กางเขนสีเงินอยู่ตรงหน้าอกของเขา
“ท่านเจสันหลังจากเราข้ามภูเขาข้างหน้าได้เราจะไปถึงเมืองแบล็ควอเตอร์แล้วครับ”
อัศวินที่สวมหมวกเกราะสีเงินพูดเบาๆ ราวกับว่ากลัวอัศวินตรงหน้าจะฉุนเฉียว
อัศวินเสื้อคลุมสีขาวพยักหน้า การแสดงออกของเขาเย็นชาและไม่แยแสต่ออัศวินหมวกเงิน "นักดาบบ็อคปฏิบัติการนี้ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด ความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองแบล็กวอเตอร์ต้องถูกจับกุม ฉันเชื่อว่าท่านบิชอปได้บอกเจ้าแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง”
ดวงตาของอัศวินสวมเสื้อสีขาวนั้นเฉียบคมทำให้ศีรษะของบ็อคเหงื่อแตก
“ขอให้ท่านเจสันอย่าได้กังวลไป ท่านบิชอปได้บอกผมก่อนเดินทางแล้ว โดยคราวนี้อำนาจสั่งการของปฏิบัติการนี้ทั้งหมดอยู่ในมือท่านเจสัน”
“ดีมากไปกันเถอะ”
อัศวินเสื้อคลุมสีขาวพยักหน้าอย่างน่าพอใจ อย่างไรก็ตามหัวใจของนักดาบบ็อคนั้นกลับหนักอึ้ง เขาเป็นหนึ่งในนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์แห่งเทพแห่งแสงในเมืองหลวงและยังเป็นนักดาบแสงระดับสองที่ทรงพลัง
แม้ว่าเขาจะมีพลังขนาดนี้แต่เขาก็ยังต้องระมัดระวังในการทำภารกิจนี้เนื่องจากทางโบสถ์แห่งเทพแห่งแสงได้ส่งคนจากหน่วยสอบสวนมาและเจสันก็เป็นหนึ่งในพวกเขา บ็อคไม่ทราบถึงวิธีการสอบสวนของเขา แต่เขาพอจะได้ยินข่าวลือมาว่าวิธีการของหน่วยสอบสวนค่อนข้างลึกลับและแปลกประหลาดและพวกเขามีพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่อาจจะจินตนาการได้ นอกจากนี้พวกเขาล้วนเป็นผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์ที่สุดของพระเจ้า
สาเหตุที่ทางโบสถ์ส่งหน่วยสอบสวนมาก็เพราะพวกนอกรีตอันชั่วร้ายซึ่งบ็อคเข้าใจเรื่องนี้ดี พวกมันเป็นผู้วิเศษในตำนานที่ดูหมิ่นต่อเทพแห่งแสงและมีอำนาจชั่วร้ายซึ่งเป็นพลังที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรแบล็กมูนอันสามานย์
เพื่อที่จะเผชิญกับสิ่งชั่วร้าย ทางโบสถ์ถึงขนาดได้ระดมผู้คนจากการหน่วยสอบสวนและรวมถึงบ็อคนักดาบแสงระดับสองซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เขาไม่รู้ว่าอะไรกำลังรอเขาอยู่ในเมืองแบล็กวอเตอร์
...
ณ ปราสาทตระกูลวิลสัน
เมอร์ลินหลับตาลงและเขานอนเงียบๆ ในอ่างน้ำอุ่น เขาถือประติมากรรมนูนไว้ในมือ
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเมอร์ลินก็ลืมตามองประติมากรรมนูนและชักสีหน้าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“แม้ฉันจะทำท่าตามรูปปั้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยในช่วงนี้ บางทีมันอาจจะไม่ได้ผลกับฉันอีกแล้ว”
เมอร์ลินบ่นอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาคาดการณ์ไว้แล้วแต่เขาก็อดเสียดายไม่ได้ เขารู้สึกว่าพลังของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้กับนักดาบธาตุที่แท้จริงได้
จากนั้นเมอร์ลินก็ลุกขึ้นวางรูปปั้นบรรเทาทุกข์ไว้แล้วลุกขึ้นจากอ่าบอาบน้ำแล้วแต่งตัว จากนั้นก็เดินลงชั้นล่าง
เขาพบกับเมซี่ส์ที่เลิกรอเมอร์ลินแล้ว เธอได้ทานอาหารเช้าและกำลังจะเตรียมตัวออกไปข้างนอก
“พี่เมอร์ลิน ฉันขอไปฝึกดาบที่โบสถ์ก่อนนะ”
เมซี่ส์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชากับเมอร์ลิน จากนั้นเธอก็เดินออกจากปราสาทพร้อมกับดาบของเธอ
ตั้งแต่เมซี่ส์กลับมาจากเมืองหลวง เขารู้สึกว่าบุคลิกทั้งหมดของเธอเริ่มเย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเธอได้ฝึกฝนการใช้ดาบอย่างไร้จุดหมาย ความมีชีวิตชีวาของเธอก่อนหน้านี้หายไป
เมอร์ลินก็พอเข้าใจสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของเมซีส์ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคอว์ธัน
เมซี่กับคอว์ธันเป็นนักเรียนที่นักดาบเปโรได้ความคาดหวังสูงมาก อย่างไรก็ตามคอว์ธันได้ฝันฝ่าจนกลายเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์แห่งเทพแห่งแสง มันทำให้เมซี่ส์ถูกเปรียบเทียบโดยไม่ตั้งใจ ตัวเธอนั้นยังไม่ได้กลายเป็นนักดาบธาตุเลย นั่นทำให้เธอฝึกอย่างบ้าระห่ำเพื่อที่จะหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นนักดาบธาตุเข้าสักวัน
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องหาเวลาคุยกับเมซี่ส์บ้าง”
เมอร์ลินพึมพำอย่างเงียบๆ
ตัวเขาไม่ได้สังเกตว่า ตัวเองได้หลอมรวมเข้ากับตัวตนที่อยู่ในโลกนี้อย่างช้า ๆ และกลายเป็นหนึ่งในผู้อาศัยของโลกนี้อย่างสมบูรณ์
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเมอร์ลินก็กลับไปที่ห้องชั้นบน ในช่วง 10วันที่ผ่านมา เขาเรียนรู้ภาษามอลต้ามากกว่าร้อยคำ ตอนนี้เขาสามารถอ่านประโยคง่ายๆ ในภาษามอลต้าได้แล้ว
เพื่อให้เข้าใจภาษามอลต้าได้ดี เมอร์ลินจึงไม่ไปฝึกดาบที่โบสถ์ในตอนเช้า โชคดีที่ตอนนี้เมซี่ส์มัวแต่ฝึกด้วยตัวเองจนไม่สนใจเขา มันจึงทำให้เขาอยู่อย่างสบายตลอดสิบวันที่ผ่านมา
“นี่ก็สิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่าชายชราอีธานจะกลับมาแล้วรึยัง?”
เมอร์ลินกำลังจะฝึกฝนภาษามอลต้าต่อไป แต่เมื่อเขาได้ลองคิดดูดี ๆ นี่ก็สิบวันแล้ว เขาควรจะไปดูว่าอีธานกลับมาแล้วหรือยัง
แม้ว่าเขาจะมีหนังสือที่ชายชราอีธานมอบให้เขาแต่เขาก็ยังคงพบปัญหาบางอย่างในขณะที่ศึกษาด้วยตนเอง ถ้าชายชราอีธานอยู่ใกล้ๆ ปัญหาเหล่านั้นก็จะได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดายที่สุด เขาจะไม่ต้องคาดเดาอย่างมั่ว ๆ นี้ต่อไป
ดังนั้นเมอร์ลินสวมเสื้อผ้าของเขาและออกจากปราสาทวิลสัน จากนั้นก็นั่งรถม้าและเดินทางไปที่บ้านของชายชราอีธาน