สุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ (SDFW)-ตอนที่ 34
ตอนที่ 34 ไล่ล่าและบ่วงบาศ
ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่เอฟบีไอจะยังไม่ยิง แต่พวกเขาก็เตรียมพร้อมยกปืนขึ้นพร้อมยิงอยู่เสนมอจนกระทั่งพวกเขาเห็นลุคเดินออกมาจากตรอกอย่างช้าๆ
จากนั้นลุคพูดด้วยเสียงดังอีกครั้ง“คนที่ยังหลบหนีไปอยู่เดี๋ยวผมตามเอง พวกคุณจัดการเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ด้วยนะ ถ้าจะให้ดีก็รีบหน่อยนะ เพราะว่าผมได้ยินเสียงปืนมาจากบ้านเซลิน่าเหมือนกัน”
พวกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอถึงกับพูดไม่ออกแต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็คิดว่า ‘นี่นายกำลังสั่งพวกเราเอฟบีไอว่าควรต้องทำอะไรต่องั้นรึ?’
แต่ก็ไม่ได้มีใครโต้แย้งคำพูดของลุคที่ดูเหมือนราวกับว่าเป็นคำสั่ง เพราะว่าพวกเขาทุกคนเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
ชัดเจนว่าพวกมือปืนที่ถูกสังหารไปก่อนหน้านี้ถูกเก็บไปทีละคนๆ หลังจากเสียงปืนลูกซองดังขึ้นก่อนหน้านี้
ทั้งพวกเอฟบีไอและก็ลุคต่างก็ทำงานร่วมกันมาพอประมาณในหลายวันมานี้ แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเหล่าเอฟบีไอเริ่มตระหนักว่าชายหนุ่มที่หน้าตาดูเป็นมิตรคนนี้น่ากลัวแค่ไหน
จากนั้นลุคเริ่มเตรียมตัวออกล่าคนหลบหนี และเมื่อลุคเดินผ่านรถบรรทุกขยะ ลุคก็ชักปืนกล็อคของเขาออกมาถือไว้ในมือ
เขาเล็งปืนกล็อคไปที่หัวของคนร้ายที่ห้อยลงมาจากที่นั่งคนขับก่อนที่จะเหนี่ยวไก
ปัง
“เซลิน่าเรียกพวกเอฟบีไอและพาพวกเขาไปช่วยที่บ้านของคุณก่อน” ลุคกล่าวก่อนที่จะรีบพุ่งออกไปไล่ตามแก๊งคาร์ลอส
เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่เพิ่งวิ่งมาถึงแถวๆ รถขนขยะ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ที่นี่สงบลงแล้วพวกเขาก็เริ่มลดปืนลง
และเมื่อพวกเขาปรับสายตาให้เข้ากับความมืดและมองไปที่บริเวณรอบๆ พวกเขาทุกคนต่างก็อ้าปากค้างและมองหน้ากันอย่างเงียบๆ โดยไร้ซึ่งคำพูดใด
สิ่งที่ลุคทำนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าที่พวกเขาได้จินตนาการไว้ก่อนหน้า; ลุคทำราวกับว่าเขาเป็นป่าบ้าคลั่ง เขาไม่สนใจชีวิตของพวกมือปืนถึงแม้ว่าจะเจ็บจนขยับและต่อสู้ไม่ได้ลุคก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าพวกมัน
ผ่านไปเพียงเสี้ยววิเซลิน่าก็มาถึงและพูดกับพวกเอฟบีไอว่า“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? พวกเขาตายหมดแล้ว พวกคุณช่วยส่งฉันกลับบ้านทีได้ไหม รถฉันมันพังหมดแล้ว ฉันได้ยินเสียงปืนจากแถวๆ นั้นมาเป็นระยะๆ ถึงจะมีตำรวจเฝ้าก็เถอะแต่มีแค่2-3 คนที่คอยคุมกันบ้านของฉัน” เซลิน่าพูด
อันที่จริงแล้วเหตุผลที่ลุคบอกให้เซลิน่าพาพวกเอฟบีไอไปด้วย ก็เพราะว่าเขากลัวว่าเซลิน่าจะรีบกลับบ้านไปคนเดียวอย่างโง่เง่า และร้อนรน
แต่สำหรับพวกเอฟบีไอพวกเขาไม่ได้ร้อนรนอะไร เนื่องจากว่าบ้านที่ถูกโจมตีอยู่นั่นไม่ใช่บ้านของพวกเขา
เหล่าเอฟบีไอทั้งสี่คุยกันเล็กน้อยก่อนจะส่งพรรคพวกมาคนหนึ่งขับรถไปส่งเซลิน่า
สถานที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง มีศพเกลื่อนไปในพื้นที่และปลอกกระสุนปืนและอาวุธจำนวนมาก ก็กระจายอยู่ทั่วบริเวณรอบ ๆ เหล่าเอฟบีไอไม่สามารถทิ้งทุกอย่างไปดื้อๆ โดยที่ยังไม่ได้ทำการเก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุโดยรอบ
และเอฟบีไอที่ขับรถไปบ้านเซลิน่าน่าจะใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก่อนจะย้อนกลับมาที่เกิดเหตุ
ในระหว่างนี้เหล่าเอฟบีไอที่เหลือพวกเขาก็จะสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากคริสได้
...
หลังจากที่พวกเขาแจ้งเรื่องไปที่คริสและเล่าเหตุการณ์การต่อสู้อย่างรุนแรงเกิดขึ้นคริสก็มีอาการตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า“ไม่ต้องไปสนใจศพเหล่านั้น รีบเคลียร์พื้นที่และมารวมกันที่นี่โดยด่วน เราจะล้อมกรอบพวกแก๊งคาร์ลอสที่เหลือและกดดันพวกมันให้ถอยไปทางบ้านของเซลิน่าเพื่อที่เราจะได้จัดการกับพวกมันที่เหลือได้ในคราวเดียว”
คริสไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับผู้ร้ายติดอาวุธจำนวนมากขนาดนี้ในครั้งนี้
คนร้ายประมาณสิบคนจู่โจมที่ด้านของพวกลุคและนอกจากนั้นยังมีอีกหลายคนที่โจมตีแถวบ้านของเซลิน่า ถ้าจะให้บอกจำนวนคร่าวๆ มีคนร้ายมากกว่า 20 คนที่กำลังโจมตีอยู่ที่บ้านของเซลิน่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาวางแผนที่จะฆ่าครอบครัวของเซลิน่าทั้งหมด
นอกจากนี้โรเบิร์ตก็ยังแจ้งมาอีกว่ามีประมาณ 20 คน ไปที่บ้านของโรเบิร์ตเช่นกัน และกำลังดวลปืนกับพวกโรเบิร์ตและเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองคนและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอสองคน
ซึ่งโรเบิร์ตเองไม่ได้เกรงกลัวเลยถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีคนน้อยกว่า
โรเบิร์ตยิง M4A1 ในมือราวกับว่ามันเป็นปืนสไนเปอร์แทนที่จะปรับเป็นโหมดยิงอัตโนมัติ โรเบิร์ตนั้นจะซุ่มเงียบเป็นเวลานานโดยไม่ยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียวถ้าหากไม่มั่นใจ แต่เมื่อโรเบิร์ตยิงออกไปเมื่อไรนั้น นั่นก็หมายความว่าจะมีคนร้ายหนึ่งคนที่ล้มลงไป
และภายในเวลาไม่ถึงห้านาทีคนร้ายหกคนก็ถูกโรเบิร์ตยิงล้มลง
เมื่อเป็นแบบนั้น ทำให้พวกมือปืนไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่กล้าแม้แต่จะเดินหรือวิ่งถอย พวกมันรู้ดีว่าถ้ามีใครคนหนึ่งลุกขึ้นทำตัวเด่นก็จะกลายเป็นเป้าซ้อมยิงของโรเบิร์ตทันที
ในทางกลับกันการต่อสู้ที่บ้านเซลิน่ายังคงรุนแรงและเต็มไปด้วยเสียงปืน
กองกำลังตำรวจส่วนใหญ่และเจ้าหน้าที่เอฟบีไออีกประมาณสิบคน ได้เริ่มยิงต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนร้ายที่บุกโจมตีขณะนี้และยังไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบอย่างชัดเจน
จริงๆ แล้วนี่เป็นไปตามแผนการที่โรเบิร์ตและคริสวางไว้ โรเบิร์ตต้องการทีมเล็กๆ ซึ่งจำนวนคนรวมกับเขาแล้วเพียง 5 คนก็พอแล้วสำหรับการยื้อพวกมือมือปืนจำนวนมากไว้ที่บ้านของเขา ส่วนทางฝั่งของลุคนั้นพวกเขาจัดทีมที่มีความเข้าขากันและถือว่าเป็นบุคลากรชั้นยอดอยู่แล้วซึ่งถ้าจะให้เทียบกำลังรบของเจ้าหน้าเอฟบีไอที่อยู่กับลุคพวกเขาสามารถต่อกรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นได้ถึงแปดถึงเก้าคน
ดังนั้นตามแผนการของโรเบิร์ตและคริสแล้วนั่นหมายความว่ากำลังพลของเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะเน้นการป้องกันที่บ้านของเซลิน่ามากที่สุด
แต่ตอนนี้สถานการณ์ที่บ้านของเซลิน่าวุ่นวายมาก ไม่ใช่ว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอจัดการสถานการณ์ได้ไม่ดี แต่ทว่ารอบๆ บริเวณบ้านของเซลิน่านั้นมีสิ่งของกระจายเกลื่อนกลาดรอบๆ กองสุ่มวางรวมๆ กันเป็นย่อมๆ เช่น เครื่องมือทำฟาร์ม เฟอร์นิเจอร์เก่าที่เสียแล้ว รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ใช้งานไม่ได้แล้ว ซึ่งของเหล่านี้วางเป็นกองๆ ทั่วทั้งบริเวณจึงทำให้พื้นที่ตรงนี้กลายเป็นเขาวงกตขนาดย่อมๆ ได้เลย
และด้วยเหตุนี้เองทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่กล้าจะลงมืออย่างผลีผลาม และยังคงระมัดระวังรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำก็คือยิงกันจากระยะไกล
และแน่นอนว่าตำรวจและเอฟบีไอไม่ได้เร่งรีบอยู่แล้ว
เพราะถึงยังไงการเป็นฝ่ายตั้งรับเวลาอยู่ข้างพวกเขา
คริสซึ่งตอนนี้เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์โดยรวมของปฏิบัติการครั้งนี้ได้แจ้งข่าวให้ทุกคนทราบแล้วว่ามีอาชญากรเพียงคนเดียวที่กำลังหลบหนีจากฝั่งของลุคไปได้ และลุคกำลังจะมาสมทบกับทีมเร็วๆนี้ ส่วนทางฝ่ายของโรเบิร์ตนั้นเขาได้แจ้งกับคริสว่าจะสามารถเก็บกวาดคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมดในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง และถ้าจัดการเสร็จสิ้นแล้วพวกเขาก็จะย้ายกำลังเข้ามาสมทบที่บ้านของเซลิน่าเช่นกัน
ด้วยกำลังเสริมทั้งหมดที่กำลังจะมาที่นี่นั้น พวกอาชญกรที่หลืออยู่ทั้ง 20 คนคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยคริสคิดเสมอว่าพวกมือปืนเหล่านี้อาจจะมีบางคนพกระเบิดมือติดตัวมาด้วย ดังนั้นคริสจึงสั่งการให้ทีมพยายามไม่กดดันพวกอาชญกรหนักจนเกินไป ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดพวกมันจนตรอกและเริ่มบ้าคลั่งจนขว้างระเบิดเข้าไปในบ้านของพลเรือนข้างเคียง จนทำให้ประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุกาณ์ถูกฆ่าตาย พวกเขาคงเสียเครดิตที่จะได้รับจากปฏิบัติการนี้จะลดลงอย่างมาก
ในขณะที่ทีมของคริสกดดันคนร้ายไปอย่างช้าๆ ลุคก็สามารถจับหัวหน้าของคนร้ายที่หลบหนีไปได้แล้ว
แม้ว่าคนร้ายจะกำลังวิ่งหลบหนี แต่คนร้ายก็ยังพกปืนติดตัวเอาไว้ไปด้วย
จึงทำให้ลุคไม่กล้าจะพุ่งเข้าใส่คนร้ายโดยตรง เพราะว่าลุคยังคงต้องระวังกระสุนของปืน AK ไปด้วย
แต่ทว่าเมื่อลุคเห็นเป้าหมายของเขาเข้าไปในตรอกเล็กๆ ลุคก็ดีใจเป็นอย่างมาก ลุครู้ได้ทันทีเลยว่าเป้าหมายของเขาไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้มากนักแน่นอน
ลุคเหวี่ยงปืนลูกซองขึ้นไปบนหลังของเขาอย่างทันทีก่อนที่จะกระโดดข้ามกำแพงที่อยู่ข้างๆ เขา
ลุคกระโดดเข้าไปในสนามหญ้าหน้าบ้านหลังหนึ่งและได้รับการต้อนรับจากสุนัขสองตัวที่กำลังเงยหัวอย่างระแวดระวัง ลุคจึงรีบพูดกับพวกมันว่า“แฮร์รี่ เบ็ตตี้ นิ่งๆ”
สุนัขทั้งสองตัวครางใส่เขาเบาๆ ก่อนที่จะนอนลงบนพื้นอีกครั้ง
เจ้าของบ้านหลังนี้ชื่อเดวิดและเดวิดค่อนข้างเป็นมิตรกับครอบครัวของลุค ลุคเองก็เคยมาเที่ยวที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กและยังคุ้นเคยกับสุนัขทั้งสองตัวนี้เป็นอย่างดี
สิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นว่าลุครู้จักพื้นที่โดยรอบเป็นอย่างดี
เป้าหมายของลุคเข้าไปในตรอกซึ่งตรอกนี้เป็นรูปตัวแอลและลุคกำลังตัดผ่านลานนี้เพื่อดักหน้าคนร้ายที่ปลายอีกด้านของซอย
และหากคนร้ายไม่ได้ปีนข้ามกำแพงหนีลุค เขาจะไปปรากฏตัวที่ปลายอีกด้านอย่างแน่นอน
ลุครีบวิ่งข้ามสนามหญ้าและมุ่งไปยังทางออกของตรอก
และเมื่อลุคไปถึงก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใดๆ เลยอาจจะเป็นเพราะเป้าหมายของเขายังวิ่งมาไม่ถึงจุดนี้
ลุคกำลังจะยกปืนขึ้น แต่ทว่าเขาสังเกตุเห็นเชือกที่พันรอบเสาใกล้ๆ ลุคคิดว่าเชือกที่กำลังพันอยู่บนเสานี้น่าจะเป็นของที่เดวิดทิ้งไว้ที่นั่น
จากนั้นลุคก็ได้ไอเดียใหม่ในการที่จะใช้จับคนร้ายแล้ว ลุคเอาเชือกที่พันอยู่บนเสามาพับเป็นสองเส้นคู่กันแล้วพันรอบเสาก่อนจะลากปลายอีกข้างกลับไปที่ที่เขายืนอยู่
ในตรอกนี้ไม่มีโคมไฟอยู่เลยดังนั้นซอยนี้จึงมืดมาก
ลุคยิ้มเยาะขึ้นในใจในขณะที่เขาเดินหลบออกไปห่างจากเสาไปทางทางออกประมาณ 2 เมตร
ลุคขึงเชือกไว้ในระดับหน้าอกของเขาเพื่อเป็นกับดักในความมืด
ไม่นานเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ดังแว่วออกมาจากในซอย เป้าหมายของลุคนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานกลาง
ลุคพยายามตั้งใจฟังและพบว่าเป้าหมายของเขาไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลย ไม่นานหลังจากพยายามตั้งใจฟังเป้าหมายของลุคก็ใกล้จะถึงทางออก
จากนั้นลุคที่กำลังจับเชือกก็รู้สึกถึงแรงกระตุกอย่างแรงบนเชือก
จากนั้นลุคก็เห็นร่างของคนร้ายที่ถูกแขวนห้อยอยู่ในอากาศจากเชือกกับดักที่เขาได้เตรียมเอาไว้
คนร้ายคนนี้รูปร่างเตี้ยกว่าลุคประมาณ 10 เซนติเมตร ดังนั้นคอของคนร้ายจึงอยู่ระดับประมาณหน้าอกของลุค คนร้ายวิ่งชนเข้ากับเชือกที่ขึงพาดอยู่ ในขณะที่ร่างกายของคนร้ายชนเข้ากับเชือกเงื่อนที่ลุคทำไว้ก็กระตุก และลากคนร้ายเหมือนว่าเขาถูกห้อยอยู่บนเชือก
เมื่อลุคปล่อยเชือกที่เขาจับไว้อยู่คนร้ายก็ล้มหงายลงไปเนื่องจากร่างกายของเขายังคงถูกยกลอยกลางอากาศ แล้วล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังสนั่น