WS บทที่ 13 ภาษามอลต้า
แม้ว่าเมอร์ลินจะรู้สึกว่าชายชราอีธานค่อนข้างแปลกแต่คาริซก็บอกว่าเขาเป็นที่มีความสามารถสูงมากในการประเมินโบราณวัตถุสมัยมอลต้าสูงมาก ดังนั้นเขาจึงปัดความคิดแรกที่มีต่อชายชราทิ้งไป เขาโค้งคำนับเล็กน้อยต่อหน้าชายชราอีธานและพูดด้วยความเคารพ “ผมเมอร์ลินยินดีติดตามและเรียนรู้จากอาจารย์ครับ!”
"อืม ดีมาก"
สีหน้าที่ดำมืดของของชายชราอีธานก็ค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากที่ได้เห็นท่าทีของเมอร์ลิน เขาได้เผยรอบยิ้มและพูดออกมาว่า “ไว้มาหาข้าอีกทีในตอนบ่าย เราจะเริ่มด้วยการเรียนรู้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการประเมินศิลปวัตถุ”
ถึงเมอร์ลินไม่ค่อยเข้าใจความคิดของอีธานเลยแต่เขาไม่กล้าคัดค้านอะไร เขาจึงทำได้แค่พยักหน้าและรับปากว่าจะมาในตอนบ่าย จากนั้นชายชราก็เดินมาส่งเมอร์ลินกับคาริซที่ประตู
“คุณคาริซ คุณพอจะรู้ที่มาที่ของอาจารย์อีธานรึเปล่า?”
เมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านได้พักใหญ่ เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะถามคาริซในเรื่องนี้
คาริซกำลังคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลดเสียงของเธอลงและพูดว่า“คุณอีธานดูเหมือนว่าจะมาจากเมืองอื่น เขาไม่มีมีญาติ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษและชอบสะสมของโบราณ ฉันพบกับคุณอีธานโดยบังเอิญและขอคำแนะนำเกี่ยวกับศิลปวัตถุ ฉันมักจะไปปรึกษาคุณอีธานเวลาของโบราณที่ฉันไม่เข้าใจ สำหรับเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับเขา ฉันก็ไม่รู้เลย”
เมอร์ลินพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถม้าและเดินทางกลับ หลังจากนั้นเมอร์ลินก็กลับมาถึงปราสาท
...
ในช่วงบ่ายเมอร์ลิน ได้กลับมาที่บ้านของชายชราอีธานอีกครั้ง
แม้ตอนนี้อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นแต่อย่างไรก็ตามก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ เมอร์ลินได้หยุดอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะเคาะเรียกชายชราอีธาน
*พึ่บ!!*
ประตูได้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ชายชราได้มองเมอร์ลินด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
“ไม่เลว อย่างน้อยก็มาตรงเวลา”
จากนั้นชายชราอีธานก็เดินเข้าไปในบ้าน เมอร์ลินได้เดินเข้าไปแล้วประตู
เมอร์ลินมองไปที่เตาผิง แถวนั้นเขาเห็นหนังสือเล่มหนาวางอยู่
ชายชราอีธานหันหน้ามามองเมอร์ลินและพูดอย่างสบายๆว่า “ศิลปวัตถุเป็นตะกอนของประวัติศาสตร์ มันเป็นของที่พิเศษในช่วงสมัยนั้น ดังนั้นหากเจ้าต้องการเข้าใจในศิลปวัตถุเจ้าต้องมีความรู้และเข้าใจถึงภูมิหลังของพวกมันอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่นศิลปวัตถุในยุคมอลต้าที่เจ้าชื่นชอบนี้ หากเจ้าต้องการจำแนกพวกมัน เจ้าต้องมีความรู้ความเข้าใจในจักรวรรดิมอลต้าซะก่อน เจ้ารู้มั้ยสิ่งที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิมอลต้าคืออะไร”
เมอร์ลินส่ายหัว เขาไม่มีความรู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับจักรวรรดิมอลต้าเลย
“มันเป็นภาษา ภาษานั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และเป็นเอกภาพ หากเราเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา เราจะสามารถเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดในยุดสมัยนั้นได้ ดังนั้นการเรียนรู้ภาษา มันเป็นวิธีที่ดีมากที่จะช่วยให้เราสามารถระบุศิลปวัตถุในยุคจักรวรรดิมอลต้าได้”
ชายชราอีธานหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ขึ้นมาบนโต๊ะแล้วยื่นไปที่เมอร์ลิน
เมอร์ลินพลิกไปที่หน้าหนังสือดูและค้นพบตัวอักษรแปลกๆ เขาไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน ชายชราอีธานอธิบายว่า “นี่คือภาษามอลต้า มันเป็นภาษาที่ใช้ในช่วงยุคสมัยของจักรวรรดิมอลต้า!”
“ภาษามอลต้า?”
ดวงตาของเมอร์ลินสว่างขึ้น ภาษามอลต้านี้แตกต่างจากภาษาที่ใช้ในอาณาจักรแห่งแสงมากโดยภาษาศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงค่อนข้างมีความคล้ายกับตัวอักษรละตินจากโลกตะวันตก ชาติที่แล้วของเขา ด้วยตัวอักษรต่างๆ ที่สร้างขึ้นทำให้มีคำต่าง ๆ มากกว่าพันคำ
สำหรับภาษามอลต้าตัวอักษรของมันดูคล้ายกับลูกอ๊อด เมอร์ลินไม่รู้ว่าตัวอักษรแต่ละตัวมีความแตกต่างกันอย่างไร
“ถ้าเจ้าต้องการประเมินศิลปวัตถุในช่วงยุคสมัยของจักรวรรดิมอลต้า เจ้าต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ภาษามอลต้าเสียก่อน”
ดังนั้นเมอร์ลินจึงเริ่มเรียนรู้ภาษามอลต้าที่ซับซ้อนนี้
การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่น่าเบื่ออย่างยิ่งแต่สำหรับเมอร์ลิน เขาหลงใหลในการเรียนรู้ภาษามอลต้าอย่างมาก บางทีร่างกายนี้อาจเก่งกาจด้วนภาษา ทำให้เขาสามารถเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว เขาสามารถเข้าใจคำศัพท์สองสามคำแล้ว ทั้ง ๆ ที่พึ่งเริ่มเรียนในตอนบ่ายเท่านั้น
แน่นอนว่าต้องใช้ความเพียรในการเรียนภาษาใหม่ เราจะสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเราได้เรียนได้หลายเดือนหรือไม่ก็หลายปี
ช่วงบ่ายได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อชายชราอีธานเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลง เขาก็ได้พูดกับเมอร์ลินว่า “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน กลับไปฝึกฝนคำศัพท์ภาษามอลต้าที่เจ้าเรียนรู้ในวันนี้ให้ดี”
“ได้ครับ อาจารย์อีธาน ผมจะกลับไปทบทวนทันทีที่ถึงบ้าน”
เมอร์ลินได้แสดงความเคารพอีกครั้งก่อนออกจากบ้านหลังเล็กๆ ไป
“ฟู่”
สายลมเย็นที่ได้พัดผ่าน เมื่อยามเมอร์ลินออกมาข้างนอกบ้านไม้ เขารู้สึกตื่นตัวและตื่นเต้นมาก ๆ ที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เมื่อเขาเดินก็ไปก็เห็นรถม้าที่มอสส์จอดรอเขาอยู่
“กลับไปที่ปราสาท!”
เมอร์ลินพุ่งเข้ามาในรถม้าและเหยียดขาของเขาพิงหลังรถม้า เขานวดศีรษะด้วยมือทั้งสองเบาๆ แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าจากการเรียนรู้จากชายชราอีธานในวันนี้แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนับตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้
...
หลายวันผ่านไป เมอร์ลินไปเดินทางไปมาระหว่างปราสาทกับบ้านของชายชราอีธานทุกวัน เขารู้สึกสงบมากกับชีวิตที่เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เช่นนี้
“พ่อบ้าน ช่วงนี้มีอะไรผิดปกติรึเปล่า?”
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เมอร์ลินก็ถามพ่อบ้านด้วยเสียงนุ่มๆ เขาสังเกตเห็นว่า เขามีบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา
พ่อบ้านได้ลังเลสักครู่ก่อนที่จะเปิดปากพูดว่า “คุณชายเมอร์ลินคุณหนูเมซี่ส์ได้ออกจากปราสาทไป 9วันแล้วและยังไม่ได้กลับมาเลย เราควรส่งคนไปตามหาเธอในเมืองหลวงหรือไม่”
เมอร์ลินตกตะลึง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาหมกหมุ่นอยู่กับการเรียนรู้ภาษามอลต้าเท่านั้น จนทำให้เขาลืมเรื่องของเมซี่ส์ไปเลย
เขาจำได้ว่า เมซี่ส์เดินทางไปแลกเปลี่ยน สร้างความสัมพันธ์ทางสังคมในเมืองหลวงซึ่งมันน่าจะใช้เวลาประมาณสามถึงห้าวัน แต่ตอนนี้เกือบสิบวันแล้วแต่เธอยังไม่กลับมาจึงไม่น่าแปลกใจที่เลยพ่อบ้านจะเป็นห่วง
“อย่าพึ่งทำอะไรและไม่ต้องส่งคนไปที่เมืองหลวงด้วย ไว้ฉันจะถามแอนสันเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง เพื่อดูว่าเขาจะมีข่าวสารใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า”
พ่อบ้านพยักหน้าก่อนสั่งให้คนใช้ทำความสะอาดโต๊ะอาหาร
จากนั้นเมอร์ลินได้เดินออกจากปราสาท ลมหนาวได้พัดเข้าทำให้สั่นโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าหิมะจะลดลงในช่วงที่ผ่านมาและแสงแดดยังสาดส่องลงมา แต่มันก็ยังหนาวมากอยู่ดี
“มอสส์ไปบ้านอาจารย์อีธาน”
โดยปกติเขามักจะสั่งในมอสส์ไปส่งที่บ้านของอีธานทุกวันในช่วงบ่าย แต่เนื่องจากเขาต้องการไปหาแอนสันเพื่อสอบถามเกี่ยวกับน้องสาวของเขา เขาเลยตั้งใจจะไปหาอีธานในช่วงเช้าเพื่อขอลาหยุดในวันนี้
เมื่อเขาขึ้นรถแล้ว รถม้าค่อยๆ วิ่งออกจากปราสาทไป
...
เมอร์ลินยืนอยู่ตรงหน้าประตูของบ้านชายชราอีธาน เขาได้ส่งเสียงออกมาอย่างนุ่มนวล “อาจารย์อีธาน ผมมาแล้วครับ”
ผ่านไปครู่หนึ่งเมอร์ลินก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ จากชายชราอีธานเลย ดังนั้นเมอร์ลินจึงยื่นมือออกมาเคาะประตู
“เอื้ยด ...”
ประตูถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน หลังจากเมอร์ลินกำลังจะเคาะประตู
เมอร์ลินหยุดมือก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างใน เขามองไปทั่ว ๆ แต่ไม่เห็นร่องรอยของชายชราอีธานเลย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยู่บ้าน
“แปลกแฮะ อาจารย์อีธานไม่หน้าจะลืมล็อคประตูบ้านอย่างนี้นะ เขาไม่กลัวขโมยจะเข้ามาเหรอ?” เมอร์ลินพูดพึมพำ
เมื่อเร็วๆ นี้ความปลอดภัยของเมืองแบล็กวอเตอร์นั้นไม่ค่อยจะดีนัก
อย่างไรก็ตามเมอร์ลินรู้สึดชายชราอีธานนั้นแปลกและลึกลับมาก เขาไปมาที่นี่ได้สิบกว่าวันแล้วแต่เขายังไม่รู้ว่าชายชราอีธานนั้นทำอะไรเลี้ยงชีพ เขารู้เพียงแค่ว่าชายชราอาศัยคนเดียวมนบ้านหลังนี้ นอกจากเมอร์ลินกับคาริซที่มาเยี่ยมเป็นครั้งคราวแล้ว เขาก็ไม่เห็นใครมาเยี่ยมเลย
เมอร์ลินเดาว่าชายชราอีธานอาจมาเมืองแบล็กวอเตอร์โดยไม่ได้บอกให้คนรู้จักของเขารู้
เมื่อเห็นว่าชายชราอีธานไม่ได้อยู่บ้าน เมอร์ลินจึงนั่งเงียบๆ อยู่หน้าเตาผิงแล้วใช้เวลานี้ทบทวนภาษามอลต้าที่เขาได้เรียนรู้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
หลังจากที่เขานั่งศึกษาอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง เขารู้สึกว่าอุณหภูมิในบ้านจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นเมอร์ลินจึงเอาฟืนไปใส่ในเตาผิงเพิ่ม ในจังหวะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู เขาคิดว่าชายชราอีธานคงกลับมาแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน
*ปัง!*
ประตูหลักถูกผลักอย่างรุนแรง เมื่อเห็นเมอร์ลินอยู่ในบ้าน ชายชราอีธานรู้สึกตกใจและถามว่า “เมอร์ลิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เมอร์ลินเห็นว่าชายชราอีธานสวมรองเท้าบู๊ตหนังยาวซึ่งมีโคลนและพื้นดินติดอยู่เต็มไปหมด เสื้อคลุมขนาดใหญ่บนร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้าง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะเหนื่อยมาก เมอร์ลินไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหนมา
“อาจารย์อีธาน ที่ฉันมาก็เพื่อมาขอลาหยุดวันนี้ พอดีผมมีเรื่องที่ต้องทำในตอนบ่ายดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะเรียนตอนนั้นน่ะครับ”
เมอร์ลินเฝ้าดูปฎิกิริยาของชายชราอีธาน เขารู้สึกประหลาดใจที่ชายชราอีธานไม่ได้โกรธแต่ก็ค่อนข้างสงบแทน เวลาผ่านไปพักใหญ่ ก่อนที่ชายชราอีธานจะพยักหน้าและพูดอย่างสงบ “ข้าจะเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่งในช่วงนี้ ดังนั้นเรื่องการเรียนคงต้องหยุดลงสักพัก”
เมอร์ลินประหลาดใจ เขาสังเกตเห็นว่าชายชราอีธานมีท่าทีไม่สบายบางอย่าง เขาต้องเดินทางไปทำอะไรกันนะ
“แล้วอาจารย์อีธานจะกลับมาตอนไหนครับ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนว่าจะกลับมาตอนไหน บางทีอาจจะสามวัน ห้าวัน สิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน ถึงข้าจะหายไปนานแต่เจ้าจงมั่นศึกษาภาษมอลต้าในดี ข้าได้จะเอาตำราโครงสร้างภาษามอลต้าและการแปลภาษามอลต้าเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรแห่งแสงฝากไว้เจ้า ของพวกนั้นข้าได้ศึกษาและเขียนมันไว้ในตำราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าจงนำพวกมันไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง มันจะช่วยให้เจ้าเข้าใจในภาษามอลต้ามากขึ้น”
จากนั้นชายชราอีธานได้ก็หยิบตำราที่หนาออกมาและส่งไปเมอร์ลิน
เมอร์ลินตกอยู่ในความงุนงง เนื่องจากตำราที่ว่ามันหนาพอ ๆ กับพจนานุกรมจากโลกเก่าเลย นอกจากนี้ตำราพวกนี้ถูกเขียนโดยชายชราอีธา ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก นี่แสดงให้เห็นว่าชายชราได้ให้ความสำคัญต่อเมอร์ลินมากขนาดไหน
“ขอบคุณครับ อาจารย์ ผมจะศึกษาภาษามอลต้าพวกมันอย่างดีในช่วงที่อาจารย์ไม่อยู่”
เมอร์ลินรับตำราพวกนั้นมาและกำลังจะเดินออกไป
"เดี๋ยวก่อน…"
สีหน้าของชายชราอีธานได้เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาดึงแหวนสีดำออกมาจากนิ้วของเขาและโยนให้เมอร์ลินทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ฉันจะให้เจ้าในฐานะอาจารย์”
“แต่อาจารย์นี่มัน…”
เมอร์ลินรู้สึกลังเลแต่ชายชราอีธานปัดและพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไปเร็ว รีบไปทำธุระของเจ้าเร็วเข้า วันนี้ข้าค่อนข้างเหนื่อย ข้าอยากจะรีบเข้าไปนอนแล้ว”
ชายชราไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมและได้ไล่เมอร์ลินออกจากประตูทันที
เมอร์ลินเดินออกมาอย่างงุงงง เขารู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติรึเปล่า ชายชราคนนั้นถึงได้มอบแหวนเป็นของขวัญให้เขา
“ช่างเป็นชายชราที่ลีกลับและแปลกประหลาดจริง ๆ ปกติแกชอบสะสมของเก่าแต่วงแหวนนี้แปลกมาก มันดูเหมือนของที่เพิ่งได้มาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง”
เขาไม่รู้ว่าแหวนสีดำวงนี้ทำมาจากวัสดุอะไร มันมีนำหนักเบามากจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย มันมีสีดำทึบราวกับน้ำหมึกและมีรูปสัตว์ประหลาดสามหัวที่น่าเกลียดสลักอยู่บนแหวน รูปสลักดูสมจริงมาก ทำให้คนที่มองไปที่รู้สึกไม่สบายใจ คงจะมีน้อยคนที่จะยอมสวมมัน
เมอร์ลินพลิกไปพลิกมา ตรวจสอบมันอย่างระมัดระวังแต่เขาไม่เจออะไรที่พิเศษเกี่ยวกับมันเลย ดังนั้นเขาจึงใส่แหวนลงในกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วพูดกับมอสส์ว่า “วันนี้ฉันจะไปเข้าเรียนมารยาท ไปกันเถอะ”
จากนั้นรถม้าวิ่งจากบ้านเล็กๆ ไปอย่างช้าๆ