ตอนที่ 15 สายเลือดราชันอสูรที่ซุกซ่อนไว้
ตอนที่ 15 สายเลือดราชันอสูรที่ซุกซ่อนไว้
เมิ่งชวนยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างเงียบๆขณะที่ทหารสองคนลากร่างของอสูรแกะลงไป โดยมีทหารอีกสองสามคนที่ทำความสะอาดเวทีประลอง
ตามกฏของงานเลี้ยงตัดอสูร ศิษย์ของสำนักเต๋าจะสามารถต่อสู้กับอสูรตัวใหม่บนเวทีประลองได้ตราบเท่าที่พวกเขาชนะ วังหยกสุริยันจะส่งอสูรที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาต่อสู้กับพวกเขาตราบเท่าที่พวกเขามีความสามารถพอ
ในตอนนี้ รถนักโทษคันใหม่ก็ถูกเข็นเข้ามา
หือ
แก้วตาของเมิ่งชวนหดเล็กลง มีอสูรที่ผอมมากอยู่ในกรงขังนั้น แต่มันมีร่างกายที่ใหญ่โตเพราะว่ามันมีโครงกระดูกที่ใหญ่ แม้ว่ามันจะนั่งขัดสมาธิอยู่ในกรง ร่างกายของมันก็ยังใหญ่โตมาก ดวงตาสีเหลืองเข้มของมันนั้นกวาดไปทั่ว ร่างกายของมันนั้นปกคลุมไปด้วยขนแห้งสีเหลืองสลับดำ
“อสูรพยัคฆ์รึ” เมิ่งชวนตื่นตัวขึ้นในทันที
“มันเป็นอสูรพยัคฆ์”
“มันเป็นอสูรพยัคฆ์” บรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าพากันอุทานออกมา ในบรรดาอสูรทั้งหมด ที่มีมากที่สุดจะเป็นอสูรหมูกับอสูรหมาป่า พวกมันส่วนใหญ่จะเป็นอสูรธรรมดาทั่วไป แต่บางครั้งก็จะมีอสูรที่ทรงพลังเกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตามอสูรพยัคฆ์นั้นจะหายากและไม่ว่าพวกมันจะอ่อนแอแค่ไหนมันก็มีพลังอยู่ในระดับของหัวหน้าอสูร
ข้าหลวงจากวังหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “ทุกคน นี่เป็นหนึ่งในบรรดาหัวหน้าอสูรของงานเลี้ยงตัดอสูร ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นอสูรพยัคฆ์ แน่นอนว่ามันได้หิวโหยเป็นเวลานาน และร่างกายของมันก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก กล้ามเนื้อของมันนั้นแย่ลงหลงเหลือพลังอยู่เพียงสามในสิบส่วนจากพลังสูงสุดของมันเท่านั้น มันจะมาเป็นคู่ต่อสู้กับเมิ่งชวน และก็จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับศิษย์สำนักเต๋าในระดับก่อกำเนิดด้วยเช่นเดียวกัน พวกเจ้าทุกคนจะต้องระมัดระวังตัวไว้แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันนั้นจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม มันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า ระวังตัวไว้ให้ดี”
ปัง
ประตูกรงถูกดึงเปิดออก ชายแขนเดียวมองไปยังอสูรพยัคฆ์และกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เจ้าสามารถที่จะกลับไปยังกรงของเจ้าหลังจากที่ชนะสิบรอบติดต่อกัน และเจ้าก็จะได้เพลิดเพลินกับอาหารและเหล้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“สิบรอบรึ”
อสูรพยัคฆ์เดินออกจากกรงอย่างช้าๆพร้อมกับค้อมร่าง พร้อมกับมองไปยังรอบกาย
มันสามารถรับรู้ได้ถึงการคุกคามที่น่าหวาดหวั่นมาจากคนมากกว่าสิบคนในหมู่ผู้ชมรอบๆเวทีประลอง เจ้าสำนักเต๋าทั้งแปด เหล่าจอมยุทธจากห้าตระกูล เหล่าจอมยุทธจากราชสำนัก เหมยหยวนจือจากวังหยกสุริยัน ชายแขนเดียว และคนอื่นๆอีก รวมทั้งหมดมากถึงสิบแปดคน ต่อให้มันอยู่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ คนน่ากลัวเหล่านี้ก็สามารถที่จะฆ่ามันทันทีที่เข้าปะทะ อย่างไรก็ตามมันไม่รู้ว่ามากกว่าครึ่งของจอมยุทธในเมืองตงหนิงได้มาอยู่ที่นี่แล้ว
แต่แน่นอนว่า คนที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
เจ้าวังหยกสุริยันนั่งอยู่บนที่นั่น และสิ่งที่มันรับรู้ได้จากเขาก็เหมือนกับตะวันที่เพียงแค่ปลดปล่อยพลังของเขาออกมาเพียงแค่เล็กน้อยก็เพียงพอที่จะฆ่ามันแล้ว
“คู่ต่อสู้ของข้าคนแรกคือเจ้าเด็กน้อยคนนี้รึ” อสูรพยัคฆ์จ้องมองไปยังเมิ่งชวนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามประลอง “ช่างอ่อนแอเสียจริง”
“อสูรพยัคฆ์” ความตั้งใจของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นเป็นสิบสองส่วน ประกายตารวมตัว แต่จิตสังหารของเขานั้นปะทุออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง
แต่ทว่าเขายังคงไม่เคลื่อนไหวอยู่ในจุดเดิม อยู่ที่ขอบของเวทีประลอง อสูรพยัคฆ์นั้นจะต้องระวังตัวไม่ให้ออกจากเวทีประลอง ทันทีที่มันออกจากเวทีประลองมันก็จะถึงแก่ความตาย
เมิ่งชวนวางแผนที่จะตรวจสอบอสูรพยัคฆ์ก่อนที่จะตัดสินใจวางแผนการต่อสู้
วูบ
ทันทีที่อสูรพยัคฆ์ตวัดกรงเล็บเข้าใส่เขา กลิ่นคาวเลือดก็โชยพัดมาถึงตรงหน้าของเขาภายในชั่วพริบตา
ฟุบ
เมิ่งชวนพุ่งถอยพร้อมกับตวัดกระบี่สวนกลับแต่ก็ถูกป้องกันได้จากกรงเล็บของอสูรพยัคฆ์ จนทำให้เมิ่งชวนต้องต้องตื่นตัวก้าวถอยหลังไปอีกสองสามก้าวเมื่อเขาลงแตะพื้น
“ความเร็วของมันไม่ด้อยไปกว่าข้า” เมิ่งชวนตกตะลึง “ความแข็งแกร่งนั้นมีมากกว่าข้าถึงสองเท่า และนี่เป็นเพียงแค่สามในสิบส่วนของแรงทั้งหมดของมัน โชคยังดีที่แม้ว่ามันจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่ความเชี่ยวชาญของมันยังไม่บรรลุถึงขั้น”หนึ่งเดียว”
“ถ้าข้าสามารถใช้จุดแข็งของข้าโจมตีจุดอ่อนของมันได้”
“ข้าก็มีโอกาสที่จะฆ่ามันได้”
เขาตัดสินใจในทันที
เดิมทีแล้วบรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าจะเป็นกังวลเมื่อต้องต่อสู้กับอสูรเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นเรื่องน่าประทับใจหากว่าพวกเขาสามารถที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึง 70% ของพลังทั้งหมด อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนนั้นต่างออกไป ความโศกเศร้าที่ฝังลึกอยู่ในใจตั้งแต่ยังเยาว์วัยนั้นได้ปะทุออกมาเมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับอสูร ทำให้เขายิ่งกระตือรือล้น มีสมาธิมากขึ้น ร่ายกายและจิตใจนั้นหลอมรวมลงตัวยิ่งกว่าเดิม ทำให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นระเบิดออกมา เข้าสู่สภาวะการต่อสู้
เขาอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ความสามารถของเขานั้นได้แสดงออกมาจนถึงที่สุด
“เจ้ากลับสามารถที่จะหนีไปได้ด้วยรึ น่าสนใจ” อสูรพยัคฆ์ส่งเสียงคำรามลึกก่อนที่มันจะพุ่งตัวเข้ามาหาอีกครั้ง
เมิ่งชวนถือโอกาสที่จะเข้าปะทะกับมันโดยการพุ่งตัวไปข้างหน้า ความเร็วของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าอสูรพยัคฆ์ ที่แตกต่างจากอสูรพยัคฆ์ที่พุ่งเข้ามาหาอย่างทื่อๆนั้น การเคลื่อนไหวของเขานั้นกลับไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนกับลมที่พัดโหมกระหน่ำ
พวกเขาพุ่งตัดผ่านกันไป
ทันทีที่พวกเขาพบกัน กระบี่ของเมิ่งชวนนั้นฟาดออกไปอย่างเงียบงัน โจมตีด้วยท่ากระบี่ใบพลิกผัน ในเพลงกระบี่ใบไม้ร่วง ซึ่งจะโจมตีคู่ต่อสู้ในวิถีทางที่ยากจะคาดเดา
ประกายกระบี่วาดผ่านท้องน้อยของอสูรพยัคฆ์ เฉือนเข้าไปในผิวหนังที่เต็มไปด้วยเส้นขน
“เจ้าทำให้ข้าบาดเจ็บอย่างงั้นรึ” อสูรพยัคฆ์หยุดชะงักและสัมผัสกับท้องน้อยของมัน ดูเหมือนจะยิ่งโกรธกว่าเดิม
เมิ่งชวนเพียงแค่จ้องมองดูมัน จากนั้นตะโกนออกมาว่า “ฆ่า” ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ฉับ ฉับ
พวกเขาพุ่งผ่านกันไปอีกครั้ง
เมิ่งชวนไม่เข้าปะทะซึ่งหน้ากับอสูรพยัคฆ์เลยแม้แต่น้อย เขาอาศัยวิชาท่าร่างที่พิสดารเข้าโจมตีและหลีกหนี เขารู้ดีว่าถ้าตัวเขาเองนั้นเขาพัวพันกับมันซึ่งหน้า อสูรพยัคฆ์ที่ทรงพลังสามารถที่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้ ตอนนี้มันเพียงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากทุกกระบี่ที่เขาฟาดฟัน แต่ถ้าหากว่าเขาถูกกรงเล็บของอสูรพยัคฆ์เข้า เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือตกตายก็เป็นไปได้
ในเวทีประลอง อสูรพยัคฆ์นั้นไล่ตามเมิ่งชวนอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เขานั้นเข้าปะทะอย่างฉาบฉวยครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกการเข้าปะทะ อสูรพยัคฆ์ก็จะมีบาดแผลเพิ่มบนร่างของมัน
เห็นได้ชัดว่าวิชากระบี่ของเขานั้นดีกว่า
เมื่อบาดแผลของอสูรพยัคฆ์มีเพิ่มมากขึ้น อาการบาดเจ็บของอสูรพยัคฆ์ก็ยิ่งแย่ลง
ฉั๊วะ
กระบี่อีกสายพาดทับเข้าไปยังบาดแผลเดิมที่ท้องน้อยของอสูรพยัคฆ์ เปิดปากแผลให้กว้างขึ้นกว่าเดิมอีกสามเท่า เลือดสาดไปทั่ว จนทำให้อสูรพยัคฆ์ต้องเดินอย่างทุลักทุเล มันจ้องมองเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ด้วยดวงตาแดงก่ำ ในขณะที่เมิ่งชวนนั้นก็จ้องตอบกลับอย่างเย็นชา
“เขาสามารถทำให้อสูรพยัคฆ์บาดเจ็บสาหัสได้จริงๆ”
“ทำไมข้าจึงรู้สึกเหมือนกันว่าเมิ่งชวนไม่ได้เป็นคนที่เพิ่งเข้าถึงเขตหนึ่งเดียวไม่นานมานี้ การโจมตีของเขาดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง”
“เขาใจเย็นมาก เขาไม่ได้ให้โอกาสอสูรพยัคฆ์แม้แต่น้อย”
ผู้นำของห้าตระกูล เจ้าสำนักเต๋าทั้งห้า และจอมยุทธของราชวัง ต่างพากันพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นค่อนข้างประทับใจ
“อาชวน” หลิ่วชีเยว่เป็นกังวลอย่างมาก ทุกกระบี่ที่ฟาดฟันลงไปบนร่างของอสูรพยัคฆ์นั้นทำให้เธอรู้สึกกังวลใจ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นอสูรระดับหัวหน้า
“นี่คือสิ่งที่เมิ่งชวนตามหาอย่างนั้นเหรอ” ความคิดของหวินชิงผิงสับสนขณะที่เธอมองดู ในสายตาของเธอนั้น เมิ่งชวนที่โง่เขลาและเหมือนท่อนไม้นั้นมีเพียงการฝึกวิชาฝีมืออยู่ในใจของเขาและอ่อนโยนจนเกินไปซึ่งเธอไม่ชอบมันเลย แต่ทว่าบนเวทีประลองวันนี้เขาได้สร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นด้วยการใช้กระบี่เดียวตัดหัวอสูรแกะ และในตอนนี้เขายังต่อสู้พัวพันกับอสูรพยัคฆ์อีกด้วย แม้ว่าเขาจะซุกซ่อนจิตสังหารเอาไว้ แต่นั่นกลับทำให้เขาดูน่ากลัวและดุร้ายยิ่งกว่าเดิม…
นี่หรือคือเมิ่งชวน
นี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาใช่ไหม หวินชิงผิงรู้สึกว่าเธอนั้นทำผิดพลาดมาในอดีต เมิ่งชวนคนที่ดูเหมือนคนโรแมนติกอ่อนโยนนั้นดูจะเก่งกล้าสามารถในระหว่างการต่อสู้อาบเลือด
บางทีการได้แต่งงานกับเขาก็คงจะไม่เลวเหมือนกัน
แต่ทว่า สิ่งที่ตระกูลของเธอทำนั้นไม่สามารถที่จะย้อนกลับคืนมาได้
…
บาดแผลบนท้องน้อยของอสูรพยัคฆ์นั้นลึก อย่างไรก็ตามกล้ามเนื้อของมันนั้นบีบรัดเอาไว้เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เลือดไหล แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วของมันก็ได้รับผลกระทบ มันจ้องมองอย่างโกรธแค้นไปยังเมิ่งชวนพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรแผ่กระจายออกมา
อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนนั้นไม่ได้สนใจในกลิ่นอายอสูร เขาเหมือนกับนักล่าผู้เยือกเย็นที่เตรียมพร้อมที่จะเอาชีวิตของมันทุกขณะจิต
วืด
เมิ่งชวนพุ่งทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง
“โฮก” ขณะที่ทั้งสองฝ่ายนั้นย่นระยะทางเข้าหากัน อสูรพยัคฆ์ก็ได้คำรามขึ้นขณะที่มันพุ่งเข้าหา
ด้วยเสียงคำรามนั้น คลื่นสีดำบิดเบี้ยวก็แผ่ทะลักไปยังทุกทิศทาง
ขนสีเหลืองสลับดำของอสูรพยัคฆ์นั้นพลันเปล่งประกาย ขณะเดียวกันตวงตาของมันก็เปล่งแสงสีทองออกมา พลังจากกรงเล็บของมันนั้นก็ทะลักล้นออกมาอย่างรุนแรง
“โอ จริงแล้วมันมีสายเลือดของราชันอสูรอย่างงั้นรึ มันถูกคุมขังมานานนับปีแต่พวกเรากลับไม่รู้แม้แต่น้อย มันซุกซ่อนตัวตนไว้เป็นอย่างดีทีเดียว” ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เจ้าวังหยกสุริยันตื่นตัวขึ้นมาในทันที พลังที่มองไม่เห็นครอบคลุมไปทั่วทุกมุมของเวทีประลอง ขณะที่เขาเตรียมตัวที่จะเข้าไปขัดขวางได้ทุกขณะจิต นี่เป็นความผิดพลาดของเจ้าวังหยกสุริยันที่จัดหาอสูรที่เกินความคาดหมายของพวกเขามา
เมื่อเสียงคำรามนั้นปะทะกับตัวเขา เมิ่งชวนรู้สึกว่าหูและหัวของเขานั้นอื้ออึง ทว่าเมื่อยิ่งวิกฤติเขาก็ยิ่งตั้งสมาธิ นี่ทำให้เขานั้นสามารถคงความตื่นตัวเอาไว้ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับกรงเล็บอันแกร่งกร้าวเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตั้งรับ เวลาหลายปีมานี้เขาได้ปกป้องตัวเองจากธนูของชีเยว่อยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงมีสูงส่งมากในด้านการป้องกันตัว
บูม
เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงแรงที่หนักหน่วงและน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบทะลักเข้าใส่กระบี่ของเขา และพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาขณะที่เขานั้นถูกเหวี่ยงปลิวไปทางด้านหลัง
ขณะที่เขาถูกกระแทกปลิวกลับหลังนั้น เมิ่งชวนก็พลันใช้เท้าสะกิดพื้นเวทีประลองด้านล่างทำให้การพุ่งตัวไปข้างหลังของเขานั้นเร่งเร็วยิ่งขึ้น
อสูรพยัคฆ์รีบติดตามมาอย่างดุร้าย แต่มันก็ไม่สามารถที่จะกระโดดตามเมิ่งชวนไปได้ทัน
เขารีบถอยจากเวทีประลองและลงสู่พื้นอย่างโซซัดโซเซโดยพยายามที่จะใช้กระบี่ของเขาค้ำประคองไว้
“อึก” เขาอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ หน้าขาวซีด มีเลือดไหลซึมออกมาจากหูของเขา เนื่องมาจากการคำรามก่อนหน้านั้น
“หนีไปได้รึ”
อสูรพยัคฆ์จ้องมองไปยังเมิ่งชวนที่อยู่ด้านล่าง รู้สึกตกใจเป็นอันมาก
เพราะว่าเผชิญหน้ากับความตาย มันถูกบีบให้เปิดเผยสายเลือดราชันอสูรที่ซุกซ่อนเอาไว้ พยัคฆ์คำรามปกติแล้วจะสามารถทำให้ศัตรูของมันหยุดชะงักได้ในเวลาวิกฤติ และมันก็จะถือโอกาสนั้นฆ่าศัตรู แต่ทว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้กลับยังสามารถที่จะป้องกันการโจมตีของมันแม้ว่าจะมีเลือดออกจากหู และไม่ลังเลที่จะสะกิดพื้นเวทีเพื่อที่จะเร่งการถอยหนีขณะที่ถูกส่งกระเด็นกลับไปด้านหลัง จนทำให้การโจมตีครั้งต่อไปของมันล้มเหลว
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงรีบพุ่งเข้ามา ขณะเดียวกัน หลิวชีเยว่ก็รู้สึกเป็นกังวลเช่นกัน
“ํเมิ่งชวนคนนี้…” เจ้าวังหยกสุริยันดวงตาเป็นประกายเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น จอมยุทธหลายคนอาจจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า และวิชาการต่อสู้ของพวกเขาก็ทรงพลังกว่าในการฝึกฝน แต่ทว่าเมื่อมาถึงการต่อสู้หมายชีวิต ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจแล้วหากว่าพวกเขาสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึง 6-7 ส่วนของความสามารถทั้งหมด แต่ก็มีบางคนที่ก้าวไปได้ไกลกว่านั้น การที่พวกเขาจะปลดปล่องพลังออกมาได้มากกว่าปกติของพวกเขานั้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญา เจตจำนง อารมณ์ และปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง ผู้ที่เก่งในด้านการต่อสู้นั้นจะสามารถฆ่าศัตรูได้มากถึงสามสี่คนแม้ว่าจะมีระดับพลังยุทธเดียวกันก็ตาม
“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับอสูรใช่ไหม” เจ้าวังหยกสุริยันพึงพอใจมาก “ข้าหวังว่าเขาจะสามารถกลายเป็นเทพอสูรได้อย่างแท้จริง”
เมิ่งชวนก็สามารถรู้สึกได้ว่าการฟังเสียงของเขานั้นกำลังกลับคืนมา เมิ่งต้าเจียงได้ใช้ปราณแท้ของเขาตรวจสอบขณะที่เขากล่าวว่า “ชวนเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว หูของเจ้านั้นได้รับบาดเจ็บจากคลื่นสั่นสะเทือน เจ้าจักหายดีในไม่กี่วัน”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“เจ้าฉลาดมากที่ล่าถอยจากเวทีประลองเมื่อกี้นี้ อสูรพยัคฆ์นั้นมีสายเลือดของราชันอสูรปะปนอยู่” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เนื่องจากว่ามันถูกเปิดโปงแล้ว ดังนั้นมันจะถูกส่งไปยังนครหลวงถึงแม้ว่ามันจะรอดชีวิตก็ตาม”
“ต่อไป…” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
เมิ่งชวนมองไปและก็เห็นว่าคนพูดนั้นเป็นข้าหลวงจากราชวัง ข้าหลวงนั้นยิ้มและกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “วังหยกสุริยัน เหยียนจิน”
“เอ๋” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกใจ
เขาไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปด
ต่อจากเมิ่งชวนไม่ใช่เป็นคนของสำนัยเต๋าทั้งแปดหรอกหรือ ทำไมจึงเป็นคนของวังหยกสุริยัน
“วังหยกสุริยันของเราก็มีรุ่นเยาว์อยู่เช่นเดียวกัน เขาอยากจะลอง” เจ้าวังหยกสุริยันยิ้มและพยักหน้าให้กับชายหนุ่มชุดขาวด้านหลังเขา
ชายหนุ่มชุดขาวยืนขึ้นและเดินไปยังเวทีประลอง
“อะไรกัน เขาก็ยังอยู่ในระดับชำระแก่นแท้รึ” มีจอมยุทธอยู่มากมาย พวกเขาสามารถพิจารณาจากกลิ่นอายของชายหนุ่มได้ว่าเขายังไม่ได้ฝึกร่างเทพอสูร และยังอยู่ในระดับชๅระแก่นแท้”
“จะจัดการกับอสูรพยัคฆ์ด้วยระดับชำระแก่นแท้อย่างงั้นรึ” ทุกคนต่างพากันแปลกใจเล็กน้อย
แม้กระทั่งเมิ่งชวนเองก็ยังประหลาดใจ เขารู้เป็นอย่างดีว่าอสูรพยัคฆ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด