ตอนที่ 13 เผ่ามนุษย์และเผ่าอสูร
ตอนที่ 13 เผ่ามนุษย์และเผ่าอสูร
เมิ่งชวน ศิษย์สำนักเต๋าทั้งหมดและบรรดาเด็กวัยรุ่นของตระกูลใหญ่ต่างก็พากันมองดูอย่างระมัดระวัง ในเมึ่อพวกเขาเกือบทุกคนจะต้องเข้าเป็นทหารในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
"อสูรสุกร" ชายหนุ่มท่าทางแข็งแกร่งที่มีโล่ในมือซ้ายและขวานในมือขวา กระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง จ้องมองไปยังอสูรสุกรที่อยู่อีกด้านของเวทีประลอง
อสูรสุกรจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ แยกเขี้ยวคมกริบ คำรามด้วยเสียงต่ำแปลกๆ "โฮ่โฮ่ …." จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหาในทันที
บูม
อสูรสุกรนั้นอาละวาดไปทั่วอย่างรวดเร็ว
"เร็วมาก"
"ความเร็วนี้เทียบได้กับระดับก่อกำเนิด เป็นเรื่องจริงที่อสูรตัวเล็กๆโดยทั่วไปมีร่างกายเทียบเท่ากับระดับก่อกำเนิด" ศิษย์หลายคนของสำนักเต๋าต่างพากันหวาดหวั่น นี่เป็นสัตว์อสูรตัวเล็กๆที่ธรรมดาที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มคนนั้น จางหรู่ชาง ได้ถอยไปยังอีกฟากหนึ่งในเวลานั้นเมึ่ออีกฝ่ายกำลังจะเข้าปะทะ เขาประคองโล่ไว้ด้วยมือซ้ายของเขา และในเวลาเดียวกันเขาก็ฟันไปที่ตีนของอสูรสุกรด้วยมือขวา
อสูรสุกรพุ่งเข้ามาหาเขาเร็วเกินไปและไม่สามารถที่จะเปลี่ยนทิศทางได้ แต่มันก็ยังสามารถใช้แขนขวาของมันใช้ศอก “ปัด” โล่ของเขา ชายหนุ่มจางหรู่ชางรู้สึกถึงแรงที่พุ่งเข้ามาปะทะ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเซถอยไปข้างหลังสามก้าว ทำให้ขวานในมือของเขาก็จามวืดไป
“หนังสือกล่าวว่า อสูรนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ของพวกมันนั้นแย่กว่าพวกเรา ใช่แล้ว ชายหนุ่มจางหรู่ชางนั้นท่องอยู่ในใจ”แต่มันก็ป่าเถื่อนยิ่งกว่า ข้าไม่อาจจะผิดพลาดได้ ข้าต้องหาโอกาสที่จะฆ่ามันภายในครั้งเดียว”
“ฮู่มมมม” อสูรสุกรนั้นดวงตายิ่งมายิ่งบ้าคลั่ง และยิ่งต่อสู้อย่างดุร้าย
และเพียงแต่บนเวทีประลอง
อสูรสุกรนั้นหยิ่งผยองเป็นอันมาก มันมีทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วที่เยี่ยมยอด ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวสะเปะสะปะหากสัมผัสเข้ากับเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ก็จะกระเด็นกลับหลัง แต่เด็กหนุ่มชาวมนุษย์เองก็ทรหดเช่นเดียวกัน ด้วยการก้าวเท้าที่สวยงาม เขาก็จะไม่โดนกระแทกอย่างจังๆ โล่ของเขาเองก็ทรงพลังเช่นเดียวกัน สามารถที่จะป้องกันอสูรสุกรได้อย่งาสมบูรณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างลื่นไหล
“เด็กตระกูลจางคนนี้เก่งในการใช้โล่จริงๆ”
“ป้องกันได้ทั้งหมด ไม่เปิดโอกาสให้อสูรสุกรเลย”
“ข้าไม่รู้ว่าถ้าอสูรสุกรซ่อนไม้ตายไว้หรือไม่” ผู้อาวุโสของห้าตระกูลต่างพากันพูดคุย
ทันใดนั้น-----
ความเร็วกรงเล็บของอสูรสุกรก็พลันเพิ่มขึ้น
นี่เกินกว่าความคาดหมายของจางหรู่ชาง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบหดหัวเข้าไปภายใต้โล่
“ปัง” กรงเล็บกรีดลงไปบนโล่อย่างโกรธเกรี้ยว แม้ว่ามุมของโล่นั้นจะทำให้อสูรสุกรรู้สึกอึดอัด แต่กรงเล็บก็ยังทำให้โล่นั้นกระเด็นขึ้น ชายหนุ่มจางหรู่ชางรีบใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเหินกลับไปอย่างรวดเร็วและออกไปพ้นจากเวที
ทันทีที่เขาได้สัมผัสพื้นนอกเวทีประลอง จางหรู่ชางก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด
“มันร้ายกาจจริงๆ มันซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้” จางหรู่ชางจ้องมองไปยังอสูรสุกรในเวทีประลอง
“เจ้าวิ่งได้เร็วนัก” อสูรสุกรกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“อะไรกัน”
“อสูรสุกรนี้ยังเก็บแรงเอาไว้ด้วยรึ”
“มันคงน่ากลัวมากถ้าเผยออกมาในเวลาวิกฤต” บรรดาศิษย์ของสำนักพรตต่างพากันรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง โชคดีที่คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีนั้นเป็นจางหรู่ชางที่มีความระมัดระวังและเก่งทางด้านป้องกันตัว ถ้าเปลี่ยนไปเป็นศิษย์สำนักพรตคนอื่น ก็คงจะประสบความสูญเสียอย่างมาก
“มันซุกงำฝีมือไว้จริงๆ” บรรดาเหล่าผู้อาวุโสของห้าตระกูลพากันพูดคุยอย่างสบาย พวกเขาล้วนมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับอสูรในสนามรบมาก่อน ต่างรู้กันอย่างชัดเจนว่าอสูรนั้นดุร้ายเพียงใด ฉากที่เห็นตรงหน้านี้ถือว่า “สุภาพ” ต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก
ข้าหลวงที่ดูแลรายชื่อก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง “อสูรทุกตัวล้วนฉลาด และก็รู้จักวางแผน ไม่สามารถประมาทได้ เอาล่ะ ต่อไป สำนักเต๋าชุนหยู เซี่ยฮู่สง”
บนเวที
อสูรสุกรยังคงยืนอยู่ที่นั้น ที่ต่ำลงไปด้านหนึ่งนั้นเป็นชายที่มีแขนข้างเดียว มันกล่าวว่า “ข้าชนะเกมแรก”
“ถ้าเจ้าชนะสามรอบติดต่อกัน เจ้าสามารถกลับไปที่ห้องขังได้” ชายแขนเดียวกล่าว
“ดี” อสูรสุกรพยักหน้า แต่ดวงตาของมันนั้นเต็มไปด้วยประกายของความดุร้าย ถ้าเป็นไปได้มันต้องการที่จะฆ่าเด็กหนุ่มชาวมนุษย์นั่น เพียงแค่ฆ่าได้สักคนมันก็จะได้อิ่มหนำสำราญไปกับอาหารรสเลิศและเหล้ายาไปเป็นเวลาถึงสิบวัน ยิ่งคิดยิ่งโกรธแค้น เมื่อมันนั้นถูกจับมาด้วยเผ่าพันธ์มนุษย์และมีชีวิตอยู่อย่างน่าสังเวช แน่นอนว่ามันต้องการที่จะตอบโต้อย่างหนัก
ชายหนุ่มคนที่สอง เซี่ยฮู่สง นั้นใช้มีดด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยม
ท่าเท้าของเขานั้นลึกลับ อสูรสุกรนั้นไม่สามารถที่จะสัมผัสตัวเขาใด้
สุดท้ายเขาก็ได้โอกาส
“ฉึก” มีดพุ่งออกไป แทงเข้าไปในร่างของอสูรสุกร หลังจากที่ทะลุผ่านขนหนาเข้าไปแล้ว มีดของเขาก็ติดอยู่กับกล้ามเนื้อของอสูรสุกร ซึ่งทำให้ใบหน้าของเซี่ยฮู่สงนั้นเปลี่ยนไปในทันที
“แย่แล้ว” เขาไม่ลังเลที่จะปล่อยมือจากมีดและรีบล่าถอยในทันที อย่างไรก็ตาม อสูรสุกร ก็ได้ถือโอกาสนั้นตะปบไปยังเซี่ยฮู่สงอย่างดุร้าย และทำให้เซี่ยฮู่สงนั้นถูกตบ ทำให้ศิษย์หลายคนพากันเป็นกังวล
ผู้อาวุโสระดับสูงของห้าตระกูลและข้าหลวงทุกคนยังคงเยือกเย็น ทั้งหมดนี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อย
เซี่ยฮู่สงนั้นปลิวออกมาจากเวทีประลอง เลือดกระเซ็นไปบนท้องฟ้า
โชคยังดี...
เซี่ยฮู่สงนั้นได้สวมชุดเกราะประจำตระกูลไว้ แต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสแม้ว่าจะไม่สิ้นชีวิต นับว่าเป็นโชคดีที่เขาสามารถที่จะรักษาตัวได้หลังจากได้รับการพักผ่อนเป็นเวลาหลายเดือน
“ต่อไป สำนักเต๋าเฟิงหยาง หรวนมี่”
“นักธนูหรวนมี่” ชื่อของเขาได้รับความสนใจจากคนหลายคนที่อยู่ที่นั่นในทันใด นักธนูทุกคนนั้นล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างสูง เมิ่งชวนก็มองดูอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เพราะว่าน้องสาวของเขาชีเยว่ก็เป็นนักธนูเช่นเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างหรวนมี่กับอสูรแน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สามารถใช้เป็นสิ่งอ้างอิงได้
หรวนมี่นั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ผู้เยาว์ของเมืองตงหนิง เขาเกิดมาในตระกูลธรรมดา แต่การที่เขาได้กลายเป็นนักธนูนั้นทำให้สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ของสำนักเต๋าเฟิงหยาง แขนของเขานั้นยาว และตอนนี้เมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองพร้อมกับธนูใหญ่ เขาก็ยืนที่ขอบเวทีและเริ่มยิงโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ฟิ้ว”
ลูกศรพุ่งทะยานไปในอากาศ
รวดเร็วเหลือเกิน นักธนูที่ตั้งใจอย่างเต็มที่นั้นช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
ในเวลาเดียวกัน อสูรก็เหวี่ยงกรงเล็บของมันและุฟาดลูกศรดอกแรกปลิวไป กรงเล็บอีกข้างของมันก็ใช้ปกป้องส่วนหัวของมันซึ่งนับได้ว่าเป็นจุดอ่อน
แต่หลังจากนั้นลูกศรดอกที่สองก็เจาะเข้าไปในต้นขาของมัน และปักติดอยู่ในต้นขาของมัน กระบี่ธรรมดาทั่วไปของผู้ที่อยู่ระดับชำระแก่นแท้จะลดพลังลงไปอย่างมากหลังจากที่ทะลุผ่านขนของอสูรสุกร แต่ลูกศรกลับปักทะลุต้นขาของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการวิ่งของอสูรสุกร หรวนมี่ นักธนูรุ่นเยาว์นั้นเคลื่อนตัวอย่างเยือกเย็นในขณะที่ยิงศรดอกที่สามและสี่
ฉึก ฉึก
ศรดอกที่สามและสี่นั้นก็ยังคงยิงไปยังขา กล้ามเนื้อของอสูรสุกรนั้นถูกปักตรึงด้วยลูกศรและมีเลือดให้เห็นเพียงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามมันก็วิ่งได้ด้วยความเร็วที่เหลือเพียงครึ่งเดียว ชายหนุ่มหรวนมี่รู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาวิ่งวนไปรอบเวทีประลองขณะที่ยิงศรออกไปอย่างต่อเนื่องทีละดอก
“ตาย”
“จงตายซะ” อสูรสุกรรู้สึกได้รางๆว่าความตายนั้นกำลังเข้ามาเยือน มันยิ่งบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิมและต้องการที่จะเข้าไปใกล้นักธนู
แต่ว่าขาของมันนั้นไม่สามารถที่จะเร่งให้เร็วกว่านี้ได้อีกแล้ว และแม้ว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไม่ได้ไกลมาก แต่มันก็เหมือนเป็นช่องว่างที่ไม่สามารถย่นให้ใกล้กว่านี้ได้
ร่างของอสูรสุกรนั้นถูกยิงเข้าไปทั้งหมด 12 ดอก มันส่งเสียงโหยหวนขณะที่กำลังพยายามที่จะวิ่ง ศรดอกที่ 12 นั้นก็ได้โอกาสที่จะเจาะทะลุหัวของอสูรสุกรซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนของมัน สุดท้ายลูกศรนั้นก็ทำให้อสูรสุกรล้มลงกับพื้น ชักกระตุกและไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาได้อีก
“พลังของอสูรนั้นแข็งแกร่งจริง” หรวนมี่พึมพัม
“ทำได้ยอดเยี่ยม”
“สวยงามมาก”
มีเสียงเชียร์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าเฟิงหยาง
“ลากมันลงไป” ชายที่มีแขนเดียวที่อยู่ด้านข้างของเวทีประลองสั่งทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา และทันใดนั้นทหารสองคนก็ขึ้นไปที่เวทีประลองและลากร่างของอสูรสุกรลง เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเลือดบนเวทีประลองเท่านั้น
ไม่มีใครสนใจในการตายของอสูรสุกร
อสูรนั้นเป็นผู้ที่บุกรุกเข้ามาฆ่าฟ้นมนุษย์ มนุษย์เองก็เพียงแค่ต้องการที่จะปกป้องบ้านเกิดของตนเองเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นผู้คนจำนวนมากก็ยังต้องตกตาย ครึ่งหนึ่งนั้นตายจากการรับใช้กองทัพ คนที่รอดชีวิตหลายคนก็ยังต้องกลายเป็นคนพิการ เราสามารถเห็นได้ว่ามนุษย์ต้องจ่ายไปมากมายเพียงใด
ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกสังหาร จนกระทั่งได้เขาหยวนชูได้จัดตั้งวังหยกสุริยันในทกเมืองและได้ส่งเทพอสูรไปปกป้องคนธรรมดา เทพอสูรนั้นได้ปกป้องทั้งสี่ทิศและกำจัดอสูรทุกตัวที่กล้าลักลอบเข้ามาในพื้นที่ของเผ่ามนุษย์ ด้วยวิธีนี้จึงทำให้สถานการณ์ของเผ่ามนุษย์นั้นมีเสถียรภาพ ความเกลียดชังที่มนุษย์มีต่ออสูรนั้นแม้ใช้น้ำหมดมหาสมุทรก็มิอาจจะชำระล้างออกไปได้