ตอนที่ 10 ความหวังของตระกูล
ตอนที่ 10 ความหวังของตระกูล
บรรดาลูกศิษย์ตระกูลเมิ่งเหล่านี้ต่างก็ได้วิ่งกันมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมกับตะโกนขึ้นมาเสียง อีกทั้งยังตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เพียงชั่งครู่เดียวก็กลับเป็นที่สนใจของผู้คนภายในตระกูลมากมายที่อาศัยอยู่ภายในจวนบรรพชน เหล่าคนในตระกูลแต่ละคนฟังกันฉงนสนใจ อะไรกันนะ? ไม่ได้ยินมาผิดใช่หรือไม่ เมิ่งชวนรู้เคล็ดวิชาลับแล้ว?
“หยุดอยู่ตรงนั้น” คนในตระกูลผู้หนึ่งก็ได้คว้าเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วพลันกล่าวขึ้นว่า : “จงบอกเล่ามาให้กระจ่าง แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านอา เป็นพี่เมิ่งชวน” เด็กหนุ่มผู้นั้น ที่ยังอยู่ในวัยเพียงสิบสามขวบปี บัดนี้จึงค่อยกล่าวออกมาด้วยความลิงโลด : “วันนี้เป็นวันจัดอันดับตัดสินกันในสำนักกระจกทะเลสาบเรา พี่เมิงชวนได้ขึ้นไปประลองที่ด้านบนเวทีประลอง กระตุ้นใช้ออกด้วยดาบใบไม้ร่วงจากเคล็ดวิชาลับ’ สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ แม้แต่ท่านประมุข อาจารย์ผู้ฝึกสอนพวกเขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน”
“ดาบใบไม้ร่วงของเคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงอย่างงั้นหรือ?” คนในตระกูลรูปร่างกำยำผู้นี้ถึงกับต้องกลอกตาจนกลมโต : “เมิ่งชวนปีนี้พึ่งจะอายุครบสิบห้าปีสินะ ถึงกับรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับด้วยวัยเพียงสิบห้าขวบปีอย่างงั้นหรือ?”
เพียงแต่พบว่าทั่วทั้งจวนบรรพชน เหล่าคนในตระกูลแต่ละจุดต่างก็มีบรรดาผู้เยาว์เหล่านั้นคอยถามไถ่ ต่างก็เกิดเป็นเสียงฮือฮากันดังขึ้น
ชายชราผอมแห้งหัวโล้นผู้หนึ่งก็ได้หรี่ดวงตาเงี่ยหูฟังอยู่จากทางด้านข้าง จากที่ได้ยินเหล่าผู้เยาว์พวกนี้ต่างก็แย่งกันกล่าว ดวงตาถึงกับเป็นประกายขึ้นมาแล้ว ถึงกับอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “สวรรค์ทรงเมตตา สวรรค์ทรงเมตตาตระกูลเมิ่งเราจริงๆ”
“ผู้อาวุโสสาม เรื่องน่ายินดีอันเป็นสิริมงคลล้นฟ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว เมิ่งชวนเขาได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว” จากนั้นก็ได้มีคนในตระกูลวิ่งเข้ามาเพื่อบอกกล่าว
“รู้แล้วล่ะ!” ชายชราผอมแห้งหัวโล้นราวกับแช่แข็งใบหน้าที่เอิบอิ่มไปด้วยความสุขจนมากล้น พร้อมกับหันหน้าเดินจากไป
เขาก็คือหนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งที่เข้มงวดที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่ชายชราผอมแห้งหัวโล้นที่สะบัดหน้าจากไป ตรงส่วนของมุมปากกลับยังยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย
……
จวนบรรพชนตระกูลเมิ่งนับว่ากินพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็มีคนในตระกูลอาศัยกันอยู่มากกว่าสองพันคน
ภายในลานฝึกยุทธ์แห่งหนึ่งของจวนบรรพชน
บรรดาเหล่าผู้เยาว์กลุ่มหนึ่งที่กำลังฝึกการใช้อาวุธอย่างดาบกระบี่ขวานหอกเป็นต้นกันอยู่ เมิ่งต้าเจียงผู้อ้วนฉุกำลังนั่งมองอยู่จากทางด้านข้าง
“อือ ทางด้านนอกเหตุใดถึงได้วุ่นวายกันถึงเพียงนี้?” เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ระหว่างนั้นก็ได้มีเสียงอันวุ่นวายเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ด้วยการที่เขานับเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถในระดับไร้ตำหนิ จึงสามารถที่จะได้ยินเสียงท่ามกลางความวุ่นวายเป็นคำว่า ‘เมิ่งชวน’ ‘รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ’ ได้
เมิ่งต้าเจียงสะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ
เสมือนฤดูเหมันต์ถูกกลบทับด้วยวารีหนาวเหน็บสาดใส่ เขาถึงกับหัวสมองสะท้านจนแน่นิ่งเล็กน้อย
“เป็นข้าที่ฟังผิดไปงั้นหรือ?” เมิ่งต้าเจียงเกิดความกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกยุทธ์
“ต้าเจียง ต้าเจียง” ชายชราที่สง่างามท่านหนึ่งกับเหล่าคนในตระกูลมากมายได้เข้ามากันอย่างพร้อมเพรียง ชายชราที่สง่างามตื่นเต้นเบิกบานจนแดงก่ำไปทั้งหน้า
“ท่านอาห้า” เมิ่งต้าเจียงรีบเข้าไปต้อนรับ : “เป็นอย่างไรไปแล้ว?”
“เรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่ เป็นเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่” ชายชราผู้สง่างามตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“อ๋อ?” เมิ่งต้าเจียงที่ทั้งตื่นเต้นระคนกระวนกระวาย ถึงแม้จะพอที่จะคาดเดาได้ แต่ก็ยังมีความต้องการที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้งชัดเจน
ชายชราผู้สง่างามกล่าว: “ได้มีเหล่าผู้เยาว์บางส่วนกลับมาจากสำนักกระจกทะเลสาบเพื่อแจ้งกับภายในตระกูล ว่าบุตรชายเจ้าเมิ่งชวนในยามที่อยู่ในการคัดเลือกจัดอันดับสำนัก ได้กระตุ้นใช้เคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงแล้ว นั่นที่แม้แต่ท่านประมุข อาจารย์ฝึกสอนแล้วยังศิษย์อีกนับพันคนต่างก็ประจักษ์เห็นเองเดียวตาตัวเอง ย่อมต้องไม่เป็นเท็จอย่างแน่นอน ฮาฮาฮา……สวรรค์ไม่ทอดทิ้งตระกูลเมิ่งเราแล้วจริงๆ อีกทั้งยังเมตตาตระกูลเมิ่งเราแล้ว”
“ชวนเอ๋อกระตุ้นใช้เคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงออกมาอย่างงั้นหรือ?” เมิ่งต้าเจียงที่เพียงรู้สึกหัวสมองร้อนผ่าว ในใจพลันเกิดความร้อนรุ่มขึ้น
นั่นก็คือบุตรชายของเขา!
“ต้าเจียง บุตรชายเจ้าร้ายกาจนัก”
“ตระกูลเมิ่งเราจะต้องยิ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นแล้ว จะกลัวก็แต่ว่าจะเกิดเป็นเทพอสูรคู่ในสำนักเดียวเท่านั้น” เหล่าผู้คนในตระกูลก็ได้กำลังกล่าวกันด้วยความตื่นเต้น นอกเสียจากท่านผู้นำตระกูลกับผู้อาวุโส ตามปกติคนในตระกูลจะไม่อาจทราบถึงเรื่องที่เมิ่งเซียนกูได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
“ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน เซียนกูได้เรียกให้พวกท่านไปเข้าพบ” ระหว่างนั้นก็ได้มีคนนำคำสั่งถ่ายทอดมา
“พวกเราจะต้องเดี๋ยวนี้”
เมิ่งต้าเจียง ชายชราผู้สง่างามต่างก็ได้เข้ามากันอย่างไล่เลี่ย เพียงแต่เมิ่งต้าเจียงในตอนนี้แม้กระทั่งในยามที่เดินเหินก็ยังแทบจะลอยไปตามสายลมแล้ว
……
เมิ่งเซียนกูกับท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงเดิมที่กำลังเดินหมากกันอยู่ บัดนี้ก็ได้หยุดลงแล้ว ภายในเรือนได้รวมเอาไว้ด้วยผู้อาวุโสทั้งแปดท่าน เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นนับหมื่นส่วน ยังมีผู้อาวุโสที่ไม่ได้อยู่ในจวนบรรพชน ที่ยังไม่ได้ล่วงรู้ถึงข่าวดีครั้งนี้
“เจ้าหนูพวกนั้นแต่ละคนก็ช่างวิ่งกันเร็วเสียจริง” ชายชราผอมแห้งหัวโล้นค่อนข้างที่จะมีชีวิตชีวา : “ล้วนแต่กำลังกล่าวกันถึงเรื่องที่เมิ่งชวนได้กระตุ้นเคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วง”
“ครานี้นับว่าดียิ่งนัก ถึงกับรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับด้วยวัยเพียงสิบห้าขวบปี……ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ นับว่าหาได้ด้อยไปกว่าเหมยหยวนจือนั้นกันแล้ว”
“ต้าเจียง เจ้านับว่าให้กำเนิดบุตรที่ดีแล้วเลยทีเดียว
“ต้าเจียงนับว่ามีส่วนที่สั่งสอนได้ดี”
เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลกลุ่มนี้ต่างก็กำลังกล่าวด้วยความตื่นเต้น เมิ่งต้าเจียงเบอกบานจนถึงกับหัวเราะคิกคักออกมา เขารู้สึกว่าวันนี้นับได้ว่าเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในรอบหลายปีมานี้
“นับตั้งแต่ที่ได้ทราบข่าวสารนี้ ข้าก็สามารถที่จะตายตาหลับได้แล้ว”
“สวรรค์คุ้มครองตระกูลเมิ่งเราแล้ว”
เหล่าผู้อาวุโสที่เกรงกลัวว่าทางต้นตระกูลจะเกิดการล่มสลาย ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงคาดหวังที่จะให้ตระกูลสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองกันต่อไป
ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล พี่น้องคนในตระกูลของพวกเขา ย่อมต้องส่งผลให้เหล่าลูกหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เมื่อเวลาล่วงเลยนานเข้า พวกเขาก็จะสามารถรวมตระกูลเป็นปึกแผ่นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ” เมิ่งเซียนกูที่นั่งอยู่ทางด้านนั้นก็ได้ยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา : “เด็กน้อยเมิ่งชวนผู้นี้ที่สามารถรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับได้ ย่อมนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน แต่พวกเจ้าก็ยังพึ่งดีใจกันเร็วจนเกินไป”
เหล่าผู้อาวุโสงุนงงกันทันที
เมิ่งเซียนกูจึงได้กล่าวต่อ : “ตอนนี้เมิ่งชวนพึ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นแรกเท่านั้น ยังนับว่าอยู่ห่างไกลจากคำว่าเทพอสูรอีกยาวไกล เขายังต้องรู้แจ้งท่วงท่าดาบ แล้วยังต้องหลอมโอสถ แล้วยังต้องฝ่าด่านเป็นตายในขั้นตอนสุดท้าย! นี่จึงถือเข้าเกณฑ์ของสามสำนักใหญ่……บัดนี้ก็อย่าได้คิดว่าเขานั้นเก่งกาจมากถึงเพียงนั้น จนทำให้เขาลืมเลือนซึ่งทุกสิ่ง สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ ก็คือการตั้งมั่นฝึกปรือ ทางที่ดีก็รู้แจ้งท่วงท่าดาบก่อนวัยยี่สิบปี เช่นนั้นยังพอที่จะมีความหวังที่จะเข้าสู่เขาหยวนชูได้สักสามส่วน หากว่าสามารถเข้าเขาหยวนชูได้ นั่นย่อมสามารถสำเร็จเป็นเทพอสูรได้อย่างแท้จริง”
“เขาหยวนชู!” ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงรวมไปจนถึงเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนแต่ทอดวงตาเป็นประกาย
นั่นเปรียบเสมือนดั่งสถานที่แห่งการฝึกปรือที่เก่าแก่ที่สุดของทั้งใต้หล้าแล้ว
ทั้งลี้ลับและแข็งแกร่ง
เมืองตงหนิงในรอบร้อยปีมานี้มีแค่เพียงบรรพชนตระกูลจางเพียงคนเดียวเท่านั้น หากสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้เป็นที่สำเร็จ ตระกูลจางเองก็จะสามารถสำเร็จเป็นเสาหลักแห่งตระกูลเบญจาเทพอสูรเมืองตงหนิงได้
“หากว่าไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ เช่นนั้นเส้นทางการฝึกปรือของเมิ่งชวนก็จะเป็นได้อย่างยากลำบากยิ่ง” เมิ่งเซียนกูกล่าวต่อ : “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับด้วยวัยสิบหกปีท่วงท่า ก็ยังไม่อาจสามารถเข้าร่วมกับเขาหยวนชูได้ จะเป็นก็ได้แต่ศิษย์สายนอกของเขาหยวนชู ประสบพบพานกับอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงค่อยมีวาสนาสำเร็จเป็นเทพอสูรได้ ก่อนหน้านี้ข้าที่ยังอยู่ในกลุ่มกองกำลังเสริม คนเหล่านั้นล้วนแต่มีพรสวรรค์ใกล้เคียงกับข้า แต่กลับมีเพียงข้าแค่คนเดียวที่สามารถสำเร็จเป็นเทพอสูรได้ ส่วนที่เหลือทุกคนล้วนแต่ตายกันจนสิ้น”
“เมิ่งชวน ไม่เพียงแต่จะต้องมีท่วงท่าดาบ ผนึกโอสถ ฝ่าด่านผ่านเกณฑ์ความเป็นตายของสามสำนักใหญ่นี้ อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องรู้แจ้งท่วงท่าดาบให้ได้ก่อนวัยยี่สิบปีจึงจะสามารถนับว่าเข้าเกณฑ์การฝึกฝนของสำนักได้” เมิ่งเซียนกูกล่าวอย่างหนักแน่น
เหล่าผู้อาวุโสในที่แห่งนี้ก็ล้วนแต่เงียบเชียบกันขึ้นมา
สำเร็จเป็นเทพอสูรถึงกับยากลำบากมากจริงๆ
เมิ่งชวนในตอนนี้ จะว่าไปแล้ว ก็ยังเป็นเพียงความหวังที่เปรียบเสมือนดั่งต้นกล้าอ่อนสู่การเป็นเทพอสูรเท่านั้น ทำให้ในตระกูลสามารถมองเห็นความหวังกันได้เท่านั้น
“ต้าเจียง” เมิ่งเซียนกูกล่าวกำชับ : “เจ้าจงไปยังสำนักกระจกทะเลสาบเพื่อไปรับตัวเมิ่งชวน แล้วก็จงเตรียมพร้อมสู่การชุมนุมพิฆาตอสูรที่จะเกิดขึ้นในตำหนักหยกสุริยันเอาไว้ให้ดี รอจนกระทั่งหลังจากที่พ้นการชุมนุมพิฆาตปีศาจ เมิ่งชวนก็สมควรที่จะสงบลงได้แล้ว แล้วค่อยพามาพบข้า”
(T/L : ชุมนุมพิฆาตอสูร เปลี่ยนจากอสูร(魔) เป็น ปีศาจ(妖)จากคนแปลท่านก่อนให้ตรงตามต้นฉบับจีน)
“ขอรับ” เมิ่งต้าเจียงคารวะตอบ
“พวกเจ้าเองก็ไปกันได้แล้ว” เมิ่งเซียนกูกำชับ : “จงจำไว้ อย่าได้ปล่อยให้เมิ่งชวนหลงระเริงจนเกินไป การเปลี่ยนให้เขากลายเป็นลำพอง นั่นก็จะมีแต่เป็นการทำร้ายเขาเท่านั้น”
“ขอรับ” เหล่าผู้อาวุโสเปล่งเสียงตอบกลับมาอย่างหนักแน่น
ผู้ใดยังอาจหาญที่จะมาทำลายเมิ่งชวนอีกกัน นั่นแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับตระกูลเมิ่งกันได้แล้ว!
ไม่นานนัก เหล่าผู้อาวุโสต่างก็จากไปกันแล้ว ภายในเรือนนี้จึงเหลือไว้แค่เพียงเมิ่งเซียนกูกับท่านผู้นำตระกูลสองพี่น้อง
“พี่หญิงสาม ท่านเกือบจะทำให้พวกเขาแตกตื่นไปแล้ว” ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงยิ้มแล้วกล่าว : “ข้าเองก็รู้ว่าท่านเองก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง”
“ย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน” เมิ่งเซียนกูจึงค่อยกล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย : “ข้าสำเร็จเป็นเทพอสูรมาก็เกือบแปดสิบปีแล้ว อีกทั้งยังได้สะสมวาสนาที่มาจากเขาหยวนชูไว้มากมาย อีกทั้งยังได้เชื่อมสัมพันธ์เป็นมิตรกับคนอีกมากหลาย!หากว่าตระกูลไม่ได้มีต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ สิ่งที่ข้าสะสมเอาไว้ก็คงจะต้องสูญเปล่ากันแล้ว บัดนี้เมิ่งชวนมีพรสวรรค์เหนือล้ำ ข้าย่อมต้องช่วยเหลือเขาด้วยพลังทั้งหมดอีกครั้ง เขาจะต้องก้าวไปได้ไกลเสียยิ่งกว่าข้าในตอนต้นอย่างแน่นอน”
“อือ เขาจะต้องสำเร็จเป็นเทพอสูรได้อย่างแน่นอน” เมิ่งเหยียนผิงกล่าว
“ย่อมทำได้แน่นอน!” ภายในแววตาของเมิ่งเซียนกูเต็มไปด้วยความเฝ้ารอ
……
สำนักกระจกทะเลสาบ เมิ่งชวนที่กำลังเดินออกสู่ภายนอก บรรดาศิษย์ในสำนักที่อยู่โดยรอบตลอดทางล้วนแต่เรียกขานเขาว่า: “ศิษย์พี่เมิ่ง” มิหนำซ้ำยังดูสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นคำตอบ จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินไปยังด้านนอก
“อือ?”
พึ่งจะเดินมาถึงประตูทางเข้า ก็ได้พบว่าที่ด้านนอกประตูสำนักได้ยืนไว้ด้วยคนกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่อยู่ทางด้านหน้าก็คือเมิ่งต้าเจียงผู้อ้วนฉุ ที่ด้านข้างยังได้มีชายชราผอมแห้งหัวโล้น ชายชราผู้สง่างามและผู้อาวุโสภายในตระกูลอีกหลายต่อหลายท่าน
“ท่านพ่อ ผู้อาวุโส” เมิ่งชวนก็ได้เดินเข้าไป
“เจ้าเด็กคนนี้” เมิ่งต้าเจียงยื่นมือลูบหัวของเมิ่งชวน ยิ้มแล้วกล่าว : “ทำให้บิดาเจ้าแทบตกใจจนหัวใจกระเด็นกระดอนแล้ว”
การได้รับการลูบหัวจากบิดา เมิ่งชวนจึงได้แต่สะกดอดกลั้นอย่างเชื่อฟัง ดูไปแล้วแม้จะดูว่านอนสอนง่ายกันอยู่บ้าง แต่ตามความเป็นจริงกลับเบิกบานขึ้นมากเป็นพิเศษ
“ฮาฮา แม้แต่พวกเราก็ยังถูกทำให้ตกใจกันแล้ว”
“เมิ่งชวน ทำได้ไม่เลว” เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายท่านต่างก็ได้หัวเราะออกมาแล้วกล่าว เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น
“ไป กลับบ้านกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวออกมาด้วยจิตใจที่เบิกบาน การมีบุตรเช่นนี้ แล้วยังต้องไปต้องการสิ่งใดอีก?
“อือ”
เมิ่งชวนตอบรับ ติดตามบิดาบังเกิดเกล้าพวกเขากลับไปพร้อมกัน