ตอนที่ 5 หาวิธี
ติ๋ง... ติ๋ง...
มีสายลมพัดผ่านมาที่บั้นท้ายอันเปียกชุ่มของเธอ
หวิว! หวิว!
ในค่ำคืนอันมืดมิดและเงียบสงัดเช่นนี้ทำให้เสียงน้ำที่หยดลงบนรองเท้าหนังนั้นช่างคมชัดเสียจนทำให้เธอรู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ทว่าในชั่วพริบตาสภาพแวดล้อมก็สงบลงในทันใด โดยหลงเหลือเอาไว้เพียงแค่เสียงโหยหวนของสายลมในยามค่ำคืนเท่านั้น
แต่สิ่งที่ยังกลุ้มใจอยู่ในตอนนี้คือ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในวัยสิบแปดปีของเธอจะมีวันที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากเช่นนี้ได้
โดยมีคนมากมายเห็นเหตุการณ์นี้ แล้วต่อไปเธอจะกล้าสู้หน้าผู้คนได้ยังไง?
มิหนำซ้ำตอนนี้เธอยังอยู่ในอ้อมแขนของฮัวซุ่ยเฉิงอีก!
เมื่อเธอมองขึ้นไปก็เห็นใบหน้าของฮัวซุ่ยเฉิงที่เปลี่ยนไป ขณะที่เขาขบฟันกรามแน่นและดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างท่วมท้น ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความอดทนของเขามาถึงขีดสุดแล้ว
มันจึงทำให้คิ้วของฮัวลี่ลี่ย่นอย่างเคร่งเครียดด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้แต่มันกลับไม่มีน้ำตา
เพราะฮัวซุ่ยเฉิงนั้นเป็นคนโหดเหี้ยมและก้าวร้าวอีกทั้งยังเอาแต่ใจ โดยในช่วงก่อนที่จะตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในโลกธุรกิจนั้น เขาใช้วิธีที่สกปรกโดยถือคติที่ว่าปลาตัวใหญ่มักจะกินปลาตัวเล็ก จากนั้นปลาตัวเล็กก็กินกุ้งต่อไป
และด้วยวิธีนี้เธอไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มีกี่บริษัทแล้วที่ถูกผนวกเข้ามาเป็นของเขา อีกทั้งในช่วงเวลาต่อมาความทะเยอทะยานของเขาได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเขาได้ทำสิ่งที่เลวร้ายมากมายเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ในจุดสูงสุดของระบบอุตสาหกรรม หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาใช้วิธีหาเงินอย่างผิดกฎหมาย
และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ตอนนี้เธอกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะถูกพ่อของเธอโยนลงบนพื้น
ซึ่งบางทีเธออาจจะตายที่นี่ก็ได้!
แต่อย่าลืมสิว่าตอนนี้เธออายุแค่สามเดือนเท่านั้นนะ! แล้วจะให้เธออั้นฉี่เป็นเวลานาน ๆ ได้ยังไง?
ทำไมเขาต้องโกรธเธอด้วย?
เพราะเธอก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เหมือนกัน
ขณะฮัวลี่ลี่รู้สึกกลัวมากจนไม่รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ยังไงดี ทันใดนั้นเธอจึงใช้สิทธิพิเศษของความเป็นลูกโดยการเริ่มร้องให้ออกมาด้วยโทนเสียงที่สูงมากจนแสบแก้วหู
ท่ามกลางความเงียบสงบเช่นนี้ทำให้เสียงร้องของเด็กน้อยมีความชัดเจนและดังมาก อีกทั้งยังมีความแหลมเล็กที่ช่างรุนแรงดังกึกก้องในคืนที่เงียบงัน
ขณะที่จีซูหยางรู้สึกหนักใจมากเมื่อได้ยินเสียงร้องของฮัวลี่ลี่จึงกัดฟันและพยายามที่จะลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดเลือดที่มุมปากของตนเองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัวว่า
“ฮัวซุ่ยเฉิง! นี่เป็นลูกของน้องสาวฉัน ในเมื่อคุณไม่ชอบน้องสาวฉัน... ฉันก็จะดูแลเด็กคนนี้เอง คุณไม่ต้องกังวล เพราะฉันจะไม่บอกหรอกว่าพ่อของเธอคือใครและฉันจะไม่ให้เธอปรากฏตัวต่อหน้าคุณเด็ดขาด”
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสและมีรอยฟกช้ำอยู่ทั่วทั้งร่างกาย อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าพวกอันธพาลมีความเป็นมืออาชีพมาก เพราะอาการเหล่านั้นไม่ใช่การบาดเจ็บที่ร้ายแรงซึ่งมันเป็นเพียงบาดแผลที่ผิวหนังเท่านั้น
แม้ว่าชายตรงหน้าจะกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำแต่ฮัวซุ่ยเฉิงกลับทำเป็นไม่ได้ยินคำกล่าวของจีซูหยาง โดยก้มลงมองกางเกงของตนเองที่เปียกชุ่มกับแขนเสื้อที่มีรอยเปื้อนฉี่ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านที่ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
หลังจากส่งฮัวลี่ลี่ให้กับชายที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังตนเองแล้ว เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าหน้าอกเพื่อเช็ดหลังมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลังจากนั้นเขาถอดแจ็คเก็ตของตัวเองออกแล้วนำมันมาพันรอบตัวของฮัวลี่ลี่
ฮัวลี่ลี่ “…”
บะ.. เบา.. เบา
อย่ามาใส่ให้ฉัน !!!
เสื้อตัวนี้เปียกฉี่ของฉันแล้วนะ !!!
จากนั้นร่างของฮัวลี่ลี่ถูกห่อด้วยเสื้อสูทอย่างแน่นหนาจนแทบจะหายใจไม่ออก
เสื้อตัวนี้มันสกปรกแล้วนะ ทำไมถึงไม่โยนทิ้ง? ทำไมต้องเอามาห่อฉันด้วย?
คุณเป็นคนร้ายที่ใจคอโหดเหี้ยมแถมยังไม่ใช่พ่อที่ดีอีกด้วย!
ฮัวลี่ลี่กลั้นหายใจด้วยความรู้สึกหงุดหงิดและวุ่นวายอยู่กับความคิดภายในใจที่ยุ่งเหยิง และแทบจะเป็นลมเนื่องจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากจนเกินไป
และดูเหมือนตอนนี้กลิ่นที่คุ้นเคยกำลังโชยเข้าจมูก
ความรักของคนที่เป็นพ่อมันเป็นแบบนี้เหรอ?
อุเเว๊! อุเเว๊!
โอ๊ย…หายใจไม่ออก เหนอะหนะ...หงุดหงิดด้วย…ใครก็ได้ช่วยที!
เมื่อเห็นว่าฮัวซุ่ยเฉิงกำลังจะพาฮัวลี่ลี่ไปที่รถ จี้ซุยหยางก็คำรามขึ้นเสียงดัง
“ฮัวซุ่ยเฉิงคืนเด็กมาให้ฉัน! เธอยังไร้เดียงสาอยู่! ถ้าคุณไม่ชอบเธอก็ได้โปรดส่งเธอมาให้ฉัน... ฉันจะพาเธอไปเอง! ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอเลย!”
และเมื่อเห็นว่าคำกล่าวเหล่านั้นไม่สามารถช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาเลยเขาจึงกล่าวว่า “ฮัวซุ่ยเฉิง! ไม่ช้าก็เร็วแกจะต้องได้รับผลกรรมที่ก่อไว้!”
ประโยคที่จี้ใจดำเช่นนี้ทำให้ฮัวซุ่ยเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูและกำลังจะก้าวขาขึ้นรถพลันเบิกตากว้างขึ้นพร้อมฉายแววแห่งเย็นชาขณะที่ตะโกนออกไป
“หักขาของมันซะ!”
ฮัวลี่ลี่ “?”
…มันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเหตุใดจู้ซูหยางจึงเป็นตัวร้ายที่ไม่สามารถอยู่รอดได้จนถึงตอนจบของเรื่อง…
นั่นก็เป็นเพราะว่า เขาไม่รู้จักวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ย่ำแย่โดยเฉพาะในตอนที่ศัตรูมีจำนวนมากกว่าตนเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถที่จะสู้ได้ แต่เขาก็ยังคงดื้อรั้นและพูดจายั่วยุเช่นนี้!
และตอนนี้แม้ว่าเธอจะถูกบังคับให้ต้องผ่านประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นไปพร้อมกับเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นลุงหรือพ่อ เธอก็ไม่ต้องการให้ขาของใครหักทั้งนั้น!
เธอต้องหาวิธี…
ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ร้องจ้าขึ้น
อุแว้! อุแว้!...
*******