ตอนที่ 3 พ่อมาแล้ว
ตอนนี้เธอเป็นใคร? เธอคือฮัวลี่ลี่ที่มีอายุสิบแปดปีซึ่งกำลังอยู่ในร่างทารก
ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกคือการหัดที่จะคลานก่อนอื่น และหลังจากนี้ก็เริ่มเดินได้
เมื่ออายุครบหนี่งขวบ เธอต้องเข้าใจอักษรจีนให้ได้ทั้งหมด
เมื่ออายุสองขวบเธอจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการบวกลบคูณหารตัวเลข
ตอนอายุสามขวบเธอข้ามชั้นอนุบาลไปมัธยมต้น และตอนที่แปดขวบจะเรียนชั้นมัธยมปลายจากนั้นสิบขวบจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาในปักกิ่ง และตอนอายุสิบสามเธอจะไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต!
ฮัวลี่ลี่วางแผนอนาคตของตนเองอย่างชัดเจนอยู่ในใจ…
ยิ่งเธอเพ้อฝันมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น จึงพยายามดิ้นรนไปทางซ้ายด้วยมือและเท้าข้างขวา พร้อมกับเอื้อมมือไปจับที่ขอบเปลเพื่อพยายามยืดตัวเองขึ้นมา
อย่างไรก็ตามตอนนี้มือขวากลับห้อยอยู่ในอากาศ ขณะที่ท่อนหน้าของเธอสั่นสะท้าน ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่า เธอมีแขนกับขาที่สั้นจนเกินไป อีกทั้งพลังของเธอนั้นยังมีไม่เพียงพอ เป็นผลให้เธอล้มเหลวในการพลิกร่างกายและพลิกตัวกลับมานอนในท่าเดิมด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“…”
แน่นอนว่าทุกอย่างมักจะยุ่งยากในตอนเริ่มต้นเสมอ!
ถึงแม้จิตวิญญาณของเธอจะอายุสิบแปดปี แต่มันก็ยังไม่สามารถควบคุมร่างกายของเด็กแรกเกิดนี้ได้อยู่ดี
ลืมไปเถอะ! นี่เป็นเพียงวันแรกเท่านั้น ฉันจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับร่างกายนี้โดยเร็วที่สุด และฉันจะต้องมีพัฒนาการที่รุดหน้ากว่าเด็กในวัยเดียวกันที่ยังนอนตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ในเปล
ขณะที่ฮัวลี่ลี่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิด ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก
เอี๊ยด!
จากนั้นเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาก็ใกล้เข้ามาด้วยความเร่งรีบ เธอจึงคาดเดาว่า น่าจะเป็นคุณพยาบาลที่กำลังเดินมาหาเธอ
ฮัวลี่ลี่จึงหลับตาพริ้มและแสร้งทำเป็นนอนหลับ จากนั้นชั่วอึดใจต่อมาร่างของเธอก็ถูกใครบางคนยกขึ้นโดยที่เธอมองไม่เห็นใบหน้าของคนที่อุ้มเธอไว้ก่อนที่เธอจะถูกโอบเอาไว้อย่างแน่นหนาในอ้อมแขนของคนคนนั้น
เมื่อได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงจากหน้าอกและได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่ดูลุกลี้ลุกลน เธอก็สามารถกล่าวได้อย่างชัดว่า บุคคลนี้ ไม่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กมาก่อน
โจรขโมยเด็กเหรอ?
แล้วคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเด็กในห้องนี้หายไปไหนกันหมด?
เมื่อฮัวลี่ลี่กำลังพิจารณาว่าจะร้องไห้ออกมาดีหรือไม่ เสียงของผู้หญิงที่เข้ามาระงับเหตุโดยเจตนาก็ถามอย่างกังวลว่า
“จีซูหยางคุณกำลังทำอะไรอยู่?”
“ฟางจิงครั้งนี้ได้โปรดช่วยผมด้วยนะ เพียงแค่ทำเป็นว่าคุณไม่เห็นอะไรแค่นั้นเอง ผมจำเป็นต้องเอาเด็กคนนี้ไปจริงๆ”
“จะพาเด็กไป? คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?”
จากนั้นภายในห้องดูแลเด็กก็เงียบไปพักหนึ่ง ขณะที่หูของฮัวลี่ลี่ตั้งตรงขึ้นเพื่อให้สามารถได้ยินเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงซึ่งบ่งบอกว่ากำลังโกรธเคืองที่ด้านบนศรีษะของเธอ
“ผมไม่ได้บ้า! ลูกของน้องสาวผมจะต้องไม่เติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของฮัวซุ่ยเฉิง!”
“แต่…”
“คุณก็รู้ดีนี่ว่า ถ้าปล่อยให้ฮัวซุ่ยเฉิงเลี้ยงดูเด็กคนนี้ เธอจะต้องมีอนาคตที่ไม่ดีอย่างแน่นอน!”
อ๋อ! คนนี้เป็นลุงของฉันนั่นเอง!
อืม! ถ้าจำไม่ผิดคุณลุงของเธอคนนี้เป็นคนที่บู๊ล้างผลาญเช่นเดียวกันและไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงตอนจบของเรื่อง!
เขามีความน่าเชื่อถือหรือเปล่า?
แต่ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างเป็นจังหวะดังขึ้นที่บริเวณมุมห้องโถงด้านนอกประตู โดยที่เสียงรองเท้าหนังที่เหยียบลงบนพื้นนั้นส่งเสียงดังกรอบแกรบ และจากเสียงนั้นสามารถประเมินได้ว่าน่าจะมีคนมากกว่าหนึ่งคน
“คุณฮัวคะ ตอนนี้เด็กอยู่ในห้องดูแลเด็กค่ะ คุณมั่นใจได้เลยค่ะว่าเด็กมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถพาออกไปได้ทุกเมื่อค่ะ”
ตอนนี้จีซูหยางและฟางจิงต่างก็ชำเลืองมองกันและกัน ซึ่งในท้ายที่สุดฟางจิงก็พ่ายแพ้ต่อการแสดงออกของจี้ซูหยาง โดยเธอรีบดึงเขาไปอีกทาง ซึ่งมันเป็นทางไปที่บันไดหนีไฟ
เมื่อร่างทั้งสองหายไปจากทางเดินเข้าอาคารผู้ป่วย ในทันทีก็มีคนสี่หรือห้าคนในชุดสูทสีดำและสวมรองเท้าหนังอย่างเป็นทางการปรากฏตัวที่บริเวณประตู
และในตอนนี้ฮัวซุ่ยเฉิงกำลังยืนนิ่งอยู่ด้านข้างหน้าต่าง ขณะที่ดวงตาของเขาลึกล้ำด้วยความสงบ โดยความคิดของเขาไม่เคยปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขา
ชายผู้นี้ช่างดูเฉยเมยราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาได้ และแม้ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อรับลูกสาวกลับบ้าน แต่การแสดงออกของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งมันทำให้รู้สึกราวกับว่าไม่มีร่องรอยของความสุขในการแสดงออกนั้นเลย
และเมื่อคุณพยาบาลสาวเดินเข้าไปในห้องดูแลเด็กก็พบว่าเบาะที่อยู่ในเปลของฮัวลี่ลี่นั้นว่างเปล่า และเมื่อเธอเดินกลับออกมาโดยไม่ได้พาเด็กมาด้วย ฮัวซุ่ยเฉิงจึงกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบอย่างเย็นชาพลางเอ่ยถาม
“เด็กอยู่ที่ไหน?”
******