ARI ตอนที่ 3 สายเลือดไม่สามารถปฏิเสธได้ (2)
“หัวหน้าฮวาง”
แฮจินมาถึงย่านที่พักอาศัยของเมืองคูรี จังหวัดคย็องกีโดแล้ว
อาคารที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้มันพังยับเยิน พวกเขาเกือบจะเก็บเศษซากมันหมดแล้ว ดังนั้นขั้นตอนต่อไปของมันคือการทำให้พื้นแข็ง อย่างไรก็ตามตอนนี้ในสายตาของเขากลับไม่เห็นคนงานก่อสร้างอยู่เลยสักคน แต่มีชายในวัย50 และชายชราอายุประมาณ70กำลังรอเขาอยู่
“โอ้ นั่นคือปาร์ค แฮจินครับ แฮจินคนนี้คือคุณหยาง ซังมินเขาเป็นเจ้าของอาคาร”
ฮวางเขารู้จักผู้คนมากมายในคูรี ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสามารถรับงานก่อสร้างได้มากมาย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เธอเป็นชายหนุ่มที่ดูดีมากเลยนะ และเธอก็ดูไม่เหมือนคนที่จะมาทำงานอะไรแบบนี้ด้วย...”
หยาง ซังมิน มองแฮจินขึ้นลง
อย่างที่เขาพูด แฮจินเขาเป็นชายสูงหกฟุตและมีหน้าตาที่ดูหล่อเหล่า เหล่าคนที่เขาพบมักถามเขาว่าทำไมเขาถึงมาทำงานเป็นคนงานก่อสร้าง
ย้อนกลับไปเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ในขณะที่เขากำลังขับรถบรรทุกก่อสร้างอยู่ในฮงแด เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาถูกใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะเริ่มบทสนทนากับเธอ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้เบอร์ของเธอมา แต่ไม่กี่เดือนต่อมาพวกเขาก็เลิกกัน อย่างไรก็ตามแฮจินก็ยังเป็นผู้ชายที่หล่อมากคนหนึ่ง และส่วนมากมันก็จะเป็นฝ่ายหญิงเองมากกว่าที่มักจะมาขอเบอร์ของเขา
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ แต่ผมคิดว่าไม่ว่างานไหนมันก็สำคัญเท่ากันหมด งั้นตอนนี้ผมขอดูของก่อนได้ไหมครับ?”
“ได้สิ ตามฉันมา” ซังมินพูดพร้อมกับเดินนำแฮจินออกไปจากไซต์ก่อสร้าง
เขาตื่นเต้นและสงสัยว่ามันจะเป็นวัตถุโบราณแบบไหน อย่างไรก็ตามเขาพยายามที่จะไม่แสดงออก และพูดกับฮวางเหมือนปกติ
“แล้วคนอื่นอยู่ไหน?”
“หืม? อ๋อ...วันนี้เราไม่ได้ทำงานกันนะ ส่วนฉันก็แค่มารอรับนายเท่านั้น”
มันเคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นแล้วในอดีต แต่ฮวางก็ไม่ได้เก็บมันเอาไว้เป็นความลับ งั้นมันก็หมายความว่าครั้งนี้ ฮวางเขาอาจจะอยู่คนเดียวที่พบวัตถุโบราณ....
หลังจากที่พวกเขาเดินมาสักพักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ดูค่อนข้างซอมซ่อ ซังมินเปิดประตูด้วยกุญแจดอกเล็กๆและเดินเข้าไปข้างใน ดูแล้วที่นี่มันน่าจะเป็นที่ทำงานของเขา
“เธอสามารถนั่งตรงไหนก็ได้เลยนะ แล้วเธออยากดื่มกาแฟไหม?”
“ครับ รบกวนด้วยครับ”
“ทุกวันนี้มันง่ายเมื่อมีพวกกาแฟสำเร็จรูปพวกนี้ เมื่อก่อนน่ะนะ ฉันต้องถามแบบนี้กับลูกค้าทุกคนแล้วพาพวกเขาไปที่ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ริมถนน ซึ่งตอนนี้มันก็ปิดไปแล้ว...... แม้ว่าฉันจะจำชื่อร้านไม่ได้ แต่ที่ฉันจำได้แม่นเลยก็คือกาแฟที่ร้านทำนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
“เป็นแบบนั้นเหรอครับ?”
ซังมินยังคงพูดเรื่องไร้สาระของเขาไปเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็นำกาแฟสองถ้วยมาวางไว้ข้างหน้าแฮจินกับฮวาง
“เธอต้องได้ยินเรื่องของมันมาก่อนแล้วใช่ไหม? ฉันต้องการให้เธอสัญญาอะไรสักอย่างกับฉันก่อนที่ฉันจะเอาของให้ดู เธอจะต้องเก็บมันเป็นความลับ เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันกำลังพูดถึงอะไร?”
หากวัตถุโบราณอันนั้นมันไม่ได้สำคัญ ซังมินจะได้ให้ก่อสร้างต่อทันที มิฉะนั้นหากเขาแจ้งให้รัฐบาลทราบ และวัตถุโบราณมันเกิดไม่ได้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ขึ้นมา การก่อสร้างมันจะถูกหยุดทันที และเขาก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทนเพียงพอ ทำให้เขายอมเสียทุกอย่าง ถ้าจะพูดให้ละเอียดกว่านั้นคือเขาจะฝังทุกอย่างเว้นแต่สมบัติของชาติจำนวนมากจะหลุดออกมา
“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วง”
“ฉันเชื่อใจเธอนะ”
ซังมินจับมือของแฮจินเพื่อให้เขาเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปข้างใน และออกมาพร้อมกับเครื่องเคลือบลายครามสีขาวในมือ
“เอาละ ลองดูให้หน่อยสิว่ามันมีราคารึเปล่า?”
ซังมินถือของอย่างระมัดระวังราวกับว่ามันเป็นทารกที่สามารถแตกได้ตลอดเวลา ต่อมาเขาก็ค่อยๆวางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
เมื่อแฮจินเห็นมัน เขาก็สามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นของจริง
“ขอเวลาผมสักครู่”
เขาหยิบแว่นขยายขนาดเล็กออกมาเพื่อที่จะได้มองมันใกล้ๆ
เมื่อมองดูรอบๆแล้ว มันก็ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับเครื่องเคลือบลายครามสีขาวทั่วไปของเกาหลี อย่างไรก็ตามเมื่อมองมันจากด้านบน เราจะสามารถเห็นสิบสองเหลี่ยมที่สมบูรณ์แบบ
ความสูงของมันจะอยู่ที่ประมาณ 20ซม. ในขณะที่เส้นผ่าศูนย์กลางของทั้งด้านบนและด้านล่างอยู่ที่ประมาณ 12ซม. ดังนั้นขนาดของมันจึงไม่เล็กขนาดนั้น สิ่งที่แปลกคือดอกของต้นแอปริคอทและต้นไผ่ที่ถูกทาด้านข้างเป็นสีแดง
ของมันยังคงอยู่ในสภาพดี ดังนั้นมันไม่น่าจะถูกวางเอาไว้บนพื้นเฉยๆ มันอาจจะถูกเก็บเอาไว้ในกล่องเก่าๆ หรือไม่ก็ในโกดัง
“มันคือจุดแดง”
“จุดแดง? แล้วไอจุดแดงที่ว่ามันคืออะไร?”
“ที่มันถูกเรียกแบบนั้นเป็นเพราะว่าวิธีการทำของมัน ขั้นแรกคุณจะต้องระบายหรือเขียนบนเครื่องเคลือบลายครามสีขาวด้วยสีย้อมสีแดง จากนั้นก็เคลือบและนำมันไปอบ เครื่องเคลือบลายครามมันก็จะออกมาเป็นสีแดงแบบนี้ มันเคยถูกเรียกว่าลายครามจุดแดง แต่ทุกวันนี้เราเรียกมันว่า ลายครามสีขาวย้อมแดง”
“แล้วมันเก่าขนาดไหน?”
“คุณไม่มีทางที่จะรู้ว่ามันเก่าแค่ไหน.....เพราะว่ามันไม่ได้มีลวดลายหรือวันที่กำกับเอาไว้ แล้วไอเจ้าลายครามสีขาวย้อมแดงเนี่ย โดยปกติแล้วมันจะถูกทำขึ้นตั้งแต่ประมาณสมัยโครยอ จนถึงสมัยปลายโชซ็อน ดังนั้นผมจึงไม่สามารถบอกเวลาที่แน่นอนของมันได้”
“แต่เธอน่าจะต้องรู้สิ!”
เนื่องจากมันเป็นเครื่องเคลือบลายครามสีขาว ซังมินจึงกระตือรือร้นที่จะรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้น
“อืมม.... ถ้าจะให้พูดจริงๆละก็ ผมคิดว่ามันน่าจะมาจากช่วงปลายยุคโชซ็อน เครื่องเคลือบลายครามสีขาวย้อมแดงมันได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงประมาณระหว่างศตวรรษที่18 กับ19 เมื่อมองไปที่ลวดลายของมัน คุณจะสามารถเห็นนกที่กำลังเกาะอยู่บนดอกแอปริคอต มันเป็นลวดลายที่ใช้กันทั่วไป และมันก็ถูกนำมาใช้บ่อยมากขึ้นในช่วงหลังจากศตวรรษที่ 18 นอกจากนี้มันก็ยังอยู่ในสภาพดี ทำให้ไม่สามารถมองว่ามันเป็นของเก่าได้..... แน่นอนว่าถ้าคุณอยากได้รายละเอียดมากกว่านี้คุณต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญ”
จริงๆแล้วแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สามารถบอกได้อะไรได้มากนัก มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถตรวจหาอายุได้
แต่การที่จะหาอายุที่แน่นอนของพวกเครื่องเคลือบลายครามนั้น ผู้เชี่ยวชาญจะต้องวิเคราะห์ลวดลาย ตัวอักษร รูปร่าง สัน วิธีเคลือบ สียอม และโคลนที่ใช้ทำ อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ออกมาเป็นเวลาที่แน่นอนขนาดนั้นหรอก มันเหมือนการประเมินมากกว่าการกำหนดอายุของมัน
คนส่วนใหญ่จะคิดถึงวิธีดูวันที่ของคาร์บอนเมื่อจะค้นหาอายุของวัตถุ อย่างไรก็ตามเครื่องเคลือบลายครามนั้นมันทำมาจากอนินทรีย์ โคลน และถูกอบในอุณหภูมิสูง ทำให้มันไม่มีคาร์บอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถใช้วิธีนี้กับเครื่องเคลือบลายครามได้
“มันไม่ได้ถูกฝังเอาไว้ในดินโดยตรง มันมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ฝังอยู่ สาเหตุที่ตอนนี้มันยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เพราะว่ามันถูกเก็บเอาไว้ในตู้นั้น แล้วมันจะขายได้ประมาณเท่าไหร่?”
“ถ้าผมคิดถูกว่าของมันถูกทำขึ้นในช่วงระหว่างศตวรรษที่18 หรือ19 หากคุณขายมันให้กับพ่อค้าของเก่ามันน่าจะได้ราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000,000 ถึง 10,000,000วอน แน่นอนว่าคุณจะได้รับมากกว่านี้หากนำมันไปประมูล”
“จริงเหรอ? ฉันจะได้เงิน10,000,000วอนจริงๆใช่ไหม?”
มันเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมากก็จริง แต่ใบหน้าของซังมินมันสดใสมากเกินไปกับการที่จะต้องหยุดการก่อสร้าง เขาจะต้องมีวัตถุโบราณมากกว่าหนึ่งชิ้นแน่ๆ
ซ้ำร้ายดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะแจ้งกรมการบริหารมรดกทางวัฒนธรรมด้วย อืม มันก็สมเหตุสมผล หากวัตถุโบราณมันถูกฝังอยู่ในดิน ไซต์ก่อสร้างนี้ก็อาจจะถูกกำหนดให้เป็นโบราณสถาน แต่เนื่องจากมันถูกนำเอาออกมาจากตู้ ดังนั้นมันอาจจะเป็นของใครสักคนที่นำมันมาซ่อนเอาไว้ที่นี่
“ฉันคิดว่ามันค่อนข้างคุ้มค่า”
ปัจจุบันแฮจินเขาไม่ได้สนใจเรื่องจำนวนของเครื่องเคลือบลายครามสีขาวที่ซังมินมี
แต่เขากำลังนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมาแทน
‘เวทมนตร์…’
มันค่อนข้างเหมือนจริง
ที่เขารู้สึกว่ามันแปลกคือ ปกติแล้วเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาจะต้องลืมมันไปเมื่อเวลามันผ่านไปสักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามความฝันนี้มันต่างออกไป เขายังคงจำเนื้อหาของมันได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาคิดว่ามันมีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ หลังจากที่เขานำหนังสือที่พ่อของเขาให้ไว้ไปเผา เขาก็ถูกสาปมาตั้งแต่ตอนนั้น ดังนั้นเขาจึงกลัวที่จะใช้ภาษาของเจ้าคำสาปนั่น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะรู้เกี่ยวกับมันให้มากขึ้น
‘อ่านความทรงจำของวัตถุ...’
คาถาของคำสาปที่ถูกฝังเอาไว้ในใจของเขาเมื่อคืนระหว่างที่เขากำลังฝันอยู่ มันเกี่ยวกับการอ่านความทรงจำของวัตถุ
เขาคิดถึงเรื่องนี้มาสักพักแล้ว
เขานั้นรู้ว่าคาถามันทำงานยังไง เขาไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไงราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับมัน นั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกกลัวเกินกว่าที่จะพูดมันออกมาดังๆ
“ขอบคุณนะที่ช่วย นี้คือค่าตอบแทนของฉัน รับมันไปสิ”
ในขณะที่แฮจินกำลังคิดที่จะใช้คาถาบนลายเครื่องเคลือบลายครามดีไหม ซังมินก็ให้ซองจดหมายสีเหลืองที่ทุกวันนี้เขาไม่ค่อยใช้กันแล้วแก่เขา และด้วยครั้งนี้มันเป็นการประเมินวัตถุโบราณที่ต้องเก็บเป็นความลับ ดังนั้นแฮจินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
“ขอบคุณครับ”
แต่เดิมการประเมินวัตถุโบราณประเภทนี้จะมีราคาอย่างน้อยหลายแสนวอน อย่างไรก็ตามแฮจินเขาไม่ได้ถามว่าที่อยู่ในซองนั้นมีเท่าไหร่ เพราะแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซังมินเขาน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัตถุโบราณคืออะไร ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปนั่งอธิบายว่าขั้นตอนการทำงานมันมีอะไรบ้าง
แฮจินรับมันไว้และเริ่มคิดถึงคาถาอีกครั้ง แต่ฮวางก็ได้เข้ามาและบอกว่าพวกเขาหมดธุระกับที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยอมแพ้
แม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็น แต่ความอยากรู้ของเขามันก็ได้ละลายหายไปเหมือนหิมะเมื่อเขานึกถึงพ่อของเขาที่ตายด้วยความเจ็บปวด
เขาออกจากที่นั่นหลังจากพูดอีกไม่กี่คำ
หลังจากนี้ฮวางและซังมินคงจะไปขายเครื่องเคลือบลายครามและแบ่งเงินกัน
จากนั้นเมื่อแฮจินเปิดซองจดหมายดู เขาก็พบว่าในนั้นมันมีเงินอยู่300,000 วอน แม้ว่าซังมินจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวัตถุโบราณเลย แต่เขาก็ยังให้ค่อนข้างมาก
แฮจินแน่ใจว่าเขาจะต้องไม่รู้เรื่องเหล่านี้มากนักเพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่ขอให้เขามาดูให้ ในความเป็นจริง ถ้าพวกเขาเลือกที่จะขายให้ใครสักคน คนที่รับซื้อเองก็จะมีคนประเมินราคาให้อยู่แล้ว
แฮจินกลับบ้านของเขาและพักต่อ
เขาไม่ได้รับสายใดๆจากฮวาง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าพวกเขาคงดูแลเครื่องเคลือบลายครามด้วยตัวเองแล้ว
ในคืนนั้นเขาฝันประหลาดอีกครั้ง
ผมสีดำ ดวงตาสีแดงเลือดและเล็บสีดำ มันเป็นแม่มดที่น่าขนลุก เหมือนก่อนหน้านี้เธอนั้นพึมพำคาถาพร้อมกับเขย่าหัวของแฮจินไปด้วย
มันค่อนข้างเจ็บ
เสียงของเธอมันช่างน่ากลัวและน่ารังเกียจเสียจนเขาอยากจะโยนเธอออกไป จากนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นหลังจากความเจ็บปวดทั้งหมด เขาก็พบว่าเตียงของเขานั้นเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
เขายังคงมีฝันที่น่ากลัวเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่สิคาถาในฝันมันต่างออกไปเล็กน้อย ในขณะที่ความเจ็บปวดที่เขาได้รับมันก็รุนแรงขึ้น
หลังจากผ่านไปสามวัน เขาก็รู้สึกได้ว่าความฝันที่น่ากลัวของเขามันจะจบลงก็ต่อเมื่อเขาใช้คาถาเท่านั้น
เขาทำไม่ได้ ไม่หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของเขา
จากนั้นในวันที่สี่ของความฝัน ก็มีใครบางคนมาทุบประตูบ้านของเขา
ปัง! ปัง! ปัง!
“เฮ้! แฮจิน! นายอยู่ข้างในรึเปล่า?”
ตอนนี้แฮจินเขากำลังพยายามตั้งใจดูละครเพื่อที่จะได้ลืมความฝันของเขา เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขาก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธ เขาใกล้จะหมดความอดทนเต็มที และเสียงตะโกนมันก็ทำให้เขาแย่ลงไปอีก
“นั่นใคร?” แฮจินเปิดประตูด้วยความโกรธ
ฮวางก้าวถอยหลังด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ตอบว่า “อาว? นายอยู่บ้านงั้นเหรอ?”
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่?”
แม้ว่าแฮจินจะไม่รู้ตัว แต่น้ำเสียงของเขาตอนนี้มันเต็มไปด้วยความโกรธและความรำคาญ เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เสียงของฮวางก็ค่อยๆเบาลง
“นายก็น่าจะรู้.... มันเกี่ยวกับเครื่องเคลือบลายครามที่นายประเมินเมื่อวันก่อน...”
“แล้วมันทำไมละ?”
“มันเป็นของปลอมนะสิ! นายรู้อะไรเกี่ยวกับเครื่องเคลือบลายครามบ้างเนี่ย? หรือว่านายแสร้งทำเป็นตรวจสอบทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย?” ฮวางยกกำปั้นขึ้นมาและตะโกนราวกับว่าเครื่องเคลือบลายครามนั้นมันเป็นของเขา
“มันน่ะเป็นของจริงแน่นอน แล้วนอกจากนี้คุณก็อาจจะได้รอยหมัดสักแห่งบนหน้ากลับไป ถ้าไม่อธิบายว่าทำไมคุณถึงมาโกรธผม?”
“อะไรนะ? หมัด?”
“คุณเอาของออกมาและพวกเขาก็บอกว่ามันเป็นของปลอมใช่ไหม? จากนั้นคุณก็คงไม่ได้ไปที่โรงประมูล แต่ขายมันให้กับตัวแทนจำหน่ายในอินซาดงโดยตรง... หรือไม่จริง? และคุณก็เก็บพวกมันเอาไว้โดยไม่ได้แจ้งให้กรมการบริหารมรดกทางวัฒนธรรมทราบ”
ฮวางสะดุ้ง แล้วตะโกนออกมาอีกครั้ง “นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงว่าเราจะสูญเสียทุกอย่างถ้าเราบอกรัฐบาล! เราก็คิดอยู่แล้วว่ามันมีอะไรแปลกๆ จึงนำไปให้หน่วยงานประเมินดูให้! และผู้เชี่ยวชาญที่นั่นก็บอกว่ามันเป็นของปลอม!”
ส่วนแบ่งเท่าไหร่กันที่ถึงกับทำให้ฮวางรู้สึกโกรธได้ขนาดนี้?
“งั้นคุณก็อยากได้เงินคืนถูกไหม?”
“ใช่ นายคิดถูกแล้ว ฉันต้องการเงินคืน”
ที่เขารีบวิ่งมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน 300,000วอน อย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขาไม่มีที่ระบายความโกรธที่อื่นแล้วต่างหาก
แฮจินไม่ได้มีปัญหากับการคืนเงิน และคิดว่าจากนี้พวกเขาคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้เขารู้สึกโกรธมาก
ฉันคือ ปาร์ค แฮจินผู้ที่ได้เห็นวัตถุโบราณและของแปลกๆมาแล้วมากมายร่วมกันกับพ่อผู้ล่วงลับ แต่ตอนนี้มันกลับมีคนกล้าเรียกวัตถุโบราณที่ฉันเป็นคนประเมินว่าเป็นของปลอมงั้นเหรอ?