บทที่ 48 กำแพงพลังจิต
บทที่ 48 กำแพงพลังจิต
แน่นอนว่ารอยคงไม่ซื้อบื้อถึงขนาดที่จะกลืนกินวิญญาณอย่างเปิดเผยระหว่างการต่อสู้ เพราะถ้าเขาถูกเซรอนจับได้อาจจะเป็นปัญหาขึ้นมาก็ได้
ดังนั้นรอยจึงตัดสินใจว่าเขาควรใช้งานฟังก์ชันการจัดเก็บของระบบเพื่อแอบซ่อนวิญญาณที่เก็บมาได้ เนื่องจากระบบสามารถเก็บรวบรวมวิญญาณได้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เซรอนจะค้นพบเรื่องนี้
หลังจากกำจัดคณะอพยพจบแล้วแล้วกองทัพก็ออกเดินต่อไป เซรอนอยู่บนหลังม้าศึกฝันร้ายตัวใหญ่ราวกับภูเขาย่อยๆ มอร์ดิก้า ม้าศึกแห่งฝันร้ายตัวใหญ่ยักษ์นี้สวมเกราะหนาจนทำให้ในขณะที่มันย่างเท้าเดินกีบทั้งสี่ของมันก็ได้ทิ้งร่องรอยของหลุมเปลวไฟไว้ตลอดทาง เซรอนที่ควบขี่ม้าศึกของเขาในขณะที่ในมือยังถือเคียวสีดำสนิทท่ามกลางเหล่ากองกำลังปีศาจนับพันที่คุ้มกันจนเกิดเป็นภาพที่น่าเกรงขาม
และในไม่กี่วันก่อนหน้านี้กองทัพปีศาจได้ค้นพบกลุ่มอพยพเผ่าเอลฟ์มากขึ้นและเมื่อใดก็ตามที่พบพวกเขาเซรอนไม่รีรอที่จะแสดงธรรมชาติที่ปีศาจควรจะเป็น นั้นก็คือการทำลายล้างทุกชีวิตที่พวกมันเดินทัพผ่าน!
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตเพราะแม้แต่หมู่บ้านที่ว่างเปล่า กองทัพของเซรอนก็จะทำให้พวกมันลุกโชนจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่องรอยที่กองทัพปีศาจของเซรอนทิ้งไว้เบื้องหลังมีเพียงเลือดซากศพและขี้เถ้าที่ถูกเผาไหม้ ในที่แห่งนี้นั้นไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว..
เป็นธรรมดาที่การกระทำอันเลวร้ายเช่นนี้จะก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวของเหล่าเอลฟ์ตามมา ในวันที่เจ็ดของเดือนมีนาคมกองทหารสอดแนมของฝ่ายเอลฟ์ได้พบร่องรอยของกองทัพปีศาจจนได้ เอลฟ์เหล่ากลับไปรายงานเบาะแสของกองทัพปีศาจทันทีที่พบแต่พวกเขาทำได้เพียงแต่โกรธแค้นหลังจากได้เห็นศพของเพื่อนร่วมชาติ!
แถมที่น่ากลัวกว่าภาพของความโหดร้ายที่เจอแล้วนั้นกลุ่มสอดแนมยังค้นพบว่ากองทัพปีศาจยังเดินทางมาพร้อมกับอุปกรณ์ปิดล้อมเมืองจำนวนมากอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเร่งปล่อยนกพิราบเพื่อไปแจ้งเตือนให้แก่กองทัพของพวกเขาก่อนหน่วยสอดแนมที่เหลือจะเร่งรีบออกติดตามทัพปีศาจและเข้าจู่โจมพวกมันจากทางด้านหลัง!
หน่วยสอดแนมมีไม่มากนักมีเพียงประมาณหนึ่งร้อยคน แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นหน่วยสอดแนมที่ให้ความสำคัญกับความคล่องแคล่วดังนั้นหน่วยของกองทัพเอลฟ์จึงเป็นทหารหน่วยทหารม้าแต่ว่าพวกเขาพิเศษตรงที่พวกเขาเป็นอัศวินที่อยู่บนหลังของเพกาซัส!
เพกาซัสเป็นเอกลักษณ์ของเอลฟ์ฮาฟลี่พวกมันเป็นม้าที่มีปีกกว้างสองข้างที่ด้านหลังที่ช่วยให้พวกมันบินไปในอากาศได้ ซึ่งพวกมันไม่เพียงแต่วิ่งได้รวดเร็วบนพื้นดินแต่ว่าพวกมันยังบินได้อย่าคล่องแคล่วอีกด้วย เพกาซัสทุกตัวขี่นักรบเอลฟ์แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งมากนักแต่พวกเขากลับมีความเร็วที่สูงมากจนส่งผลให้การชาร์จพวกเขามักจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่ศัตรู
อัศวินเพกาซัสร่วมร้อยคนได้เปิดฉากโจมตีกองทัพปีศาจและเป้าหมายของพวกเขาก็ชัดเจนมันคือรถขนส่งอุปกรณ์ล้อมเมืองที่เหล่าปีศาจกำลังเคลื่อนย้าย!
อัศวินเพกาซัสโผล่ออกมาจากกลางอากาศและถลาลงมาโจมตีเครื่องยิงหินขนาดใหญ่ทันที เมื่ออัศวินเพกาซัสบินผ่านพวกเขาก็ตวัดดาบเฉือนโครงสร้างตรงจุดที่อ่อนแอของเครื่องยิงหินและทำลายพวกมันลงไปได้ถึงสี่เครื่องในการโจมตีเพียงรอบเดียว และเมื่อหเครื่องยิงหินที่ทำจากไม้หนักพังลงเศษไม้ก็ตกลงมาบดขยี้ร่างของปีศาจหลายตัวที่อยู่ใกล้ๆมัน
อัศวินเพกาซัสที่บินอยู่เหนือกองทัพปีศาจทำให้เซรอนโกรธขึ้นมา เขาอาจสูญเสียกำลังพลจำนวนมากไปได้เพราะเขาสามารถเรียกพวกมันมาเพิ่มได้เสมอ แต่ด้วยทักษะงานฝีมือที่ห่วยแตกของปีศาจมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซ่อมแซมอุปกรณ์ตีเมืองที่เสียหาย และหากไม่มีอุปกรณ์ปิดล้อมเมืองแล้วกองทัพของเขาจะต้องสูญเสียเป็นอย่างมากหากเข้าต้องการเข้าตีเมืองที่ถูกป้องกันอยู่หลังกำแพงสูง
จากการฉวยโอกาสในขณะที่หน่วยอัศวินเพกาซัสกำลังวนกลับมาอีกรอบเซรอนได้ยกเคียวปีศาจของเขาขึ้นและใช้มันร่ายเวทย์มนตร์จากการกระทำของเขาสายฟ้าปรากฏขึ้นเหนือหัวของเหล่าอัศวินเพกาซัสที่บินเข้ามา! จู่สายฟ้าก็ฟาดเข้าที่ใส่ร่างของอัศวินเพกาซัสคนหนึ่งก่อนจากนั้นก็พุ่งเข้าหาอัศวินเพกาซัสอีกคนที่อยู่หห่างออกไป
เส้นแสงของสายฟ้าพุ่งผ่านไปมาเจ็ดถึงแปดครั้งมันพาดผ่านไปทั่วจนทำให้อัศวินเพกาซัสไม่อาจตอบโต้ได้ทัน ร่างของอัศวินทุกคนที่ถูกฟ้าผ่านั้นไหม้เกรียมพร้อมกับเพกาซัสของพวกเขาที่ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าก่อนจะกลายเป็นซอสเนื้อเมื่อพวกเขากระแทกพื้นอย่างแรง
คาถานี้คือโซ่สายฟ้าและมันทรงพลังอย่างยิ่ง!
เมื่อได้เห็นฉากนี้แล้วรอยก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวแทนอัศวินเพกาซัสเหล่านี้ จากการสังเกตของรอยพบว่าเซรอนซึ่งเป็นปีศาจระดับสูงนั้นรู้จักธาตุเวทมนตร์ทั้งสี่ในโลกนี้และมีเวทมนตร์ขั้นสูงอย่างน้อยสองธาตุ หนึ่งคือธาตุดินและอีกธาตุหนึ่งธาตุลม เวทมนตร์ธาตุดินแสดงออกมาเมื่อภูเขาไฟถูกระเบิดซึ่งก็คือคาถาแผ่นดินไหว ส่วนเวทมนตร์ทางลมนั้นก็เป็นคาถาโซ่สายฟ้าในตอนนี้!
สำหรับเวทย์มนตร์ธาตุน้ำเซรอนแทบจะไม่ได้ใช้มันนอกไปจากตอนครั้งแรกที่รอยถูดเรียกตัวมาที่นี้ สุดท้ายเขาก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากคาถาอ่อนแรงที่ทรงพลังมากพอที่จะลบล้างทักษะกระหายเลือกของเขาดังนั้นเวทมนตร์น้ำของเซรอนจึงไม่ควรอยู่ในระดับต่ำเลย
สำหรับเวทย์ไฟนั้นรอยยังไม่เคยเห็นเซรอนใช้มัน แต่รอยแน่ใจว่าเขาสามารถให้มันได้เป็นเพราะปีศาจจากก้นบึ้งของโลกปีศาจมักจะเกิดมาพร้อมกับแมกมาและเปลวเพลิงตั้งแต่เกิดการไม่รู้จักเวทมนตร์ไฟแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเซรอน ซึ่งรอยคาดว่าเวทย์มตร์ธาตุไฟน่าจะเป็นธาตุที่เซรอนถนัดที่สุดแต่เซรอนก็ยังไม่เคยแสดงให้เห็น
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เซรอนยากที่จะจัดการ เขาไม่เพียงแต่รู้จักธาตุหลักทั้งสี่ แต่ยังมีความชำนาญอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงอีกด้วยรอยยังไม่เคยเห็นเซรอนใช้เวทมนตร์ด้านมืด เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวทมนตร์ทั้งสี่ธาตุเหมาะกับการต่อสู้ในกองทัพมากกว่าหรือเพราะโลกนี้มีกฎที่จำกัดประเภทของเวทมนตร์ที่สามารถเรียกใช้งานได้
รอยเดาว่ามันกฏของโลกนั้นไม่ได้บังคุบเวทย์มนต์ธาตุพิเศษอื่นๆเพราะรอยยังสามารถใช้ทักษะกระหายเลือดของเขาได้ทุกที่ที่เขาต้องการและไม่เคยรู้สึกว่าถูกสะกดข่มโดยกฎของโลกนี้เลย
สุดท้ายแล้วด้วยคาถาโซ่สายฟ้าที่ไม่อาจต้านทานได้ของเซรอน ก็ได้ทำให้อัศวินเพกาซัสตัดสินใจถอนกำลังออกมาหน่วยสอดแนมเป็นเพียงหน่วยขนาดเล็กและไม่มีฮีโร่ในหมู่พวกเขา ใครบางคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำตะโกนเสียงดังตัวเขารวมถึงเพกาซัสต่างสวมชุดเกราะสีเงินและภายใต้คำสั่งของเขาเหล่าอัศวินเพกาซัสก็เริ่มถ่อยออกจากระยะโจมตีของคาถา
เซรอนตะคอกใส่อย่างเย็นชาพลางโบกเคียวขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาร่ายคาถาโล่ป้องกันให้แก่กองทัพปีศาจของเขา
หลังจากนั้นเซรอนก็คำรามออกมาอย่างโกรธแค้น
“โจมตี!กำจัดพวกมันให้ข้าเดียวนี้!”
เหล่าปีศาจก๊อกซ์ลนลานพ่นน้ำลายใส่ฝ่ามือของพวกมันทันทีจากนั้นก็โยนใส่อัศวินเพกาซัสที่บินอยู่กลางอากาศ วินาทีต่อมาลูกไฟจำนวนมากก็ทำให้เกิดการระเบิดบนท้องฟ้า ลูกบอลเพลิงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีความแม่นยำ ตราบใดที่อัศวินเพกาซัสอยู่ใกล้จุดระเบิดเปลวไฟจะเผาไหม้ปีกขนนกของเพกาซัส และลากพวกมันให้ตกลงมาจากท้องฟ้าทันที เฮลฮาวด์ที่รออยู่ด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อจะรีบวิ่งไปข้างหน้าและฉีกทึงทั้งเพกาซัสทั้งผู้ที่ขี่มันออกเป็นชิ้นๆ
เมื่อเห็นสหายของพวกเขาถูกฆ่าก็ทำให้ดวงตาของอัศวินเพกาซัสปูดด้วยความโกรธ หัวหน้าอัศวินเพกาซัสสีเงินตะโกนว่า“แก้แค้น !!” ภายใต้การนำของหัวหน้าหน่วยได้พาเหล่าเปกาซัร่อนถลาลงมาบนพื้น จากนั้นทั้งเขารวมถึงอัศวินคนอื่นๆก็ถีบตัวกระโดดลงมาและเข้าร่วมการต่อสู้ภาคพื้นดินกับกองทัพของปีศาจ พวกเขาตั้งใจสละชีวิตไปแล้วและไม่มีความคิดที่จะกลับมามีชีวิตอีกดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวเพื่อแก้แค้นให้กับพวกพ้องที่ตายจากไป
หลังจากลงจากหลังเปกาซัสแล้วเหลาอัศวินก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งต่อสู้เพื่อป้องกันและในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งก็ยังคงพยายามฝ่าออกไปทำลายอุปกรณ์ปิดล้อมเมือง!
“อย่าปล่อยให้พวกมันสามารถทำลายเครื่องยิงที่เหลือได้รีบฆ่าพวกมันซะ!” เซรอนคำราม เขากระแทกขาของเขาลงบนร่างม้าศึกแห่งฝันร้ายพลางโบกเคียวปีศาจในมือของเขาเพื่อนำกองทัพออกไปข้างหน้าเพื่อสังหาร
รอยพุ่งตัวออกไปข้างหน้าเช่นเดียวกันเขาวิ่งรวมกลุ่มไปกับเหล่าเฮลฮาวด์เพื่อพบกับเสืออ้วนก่อนที่ทั้งสองจะต่อสู้กับอัศวินเพกาซัสด้วยกัน
เมื่อเทียบกับปีศาจระดับต่ำตัวอื่นๆแล้วรอยนั้นมีขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่ามากดังนั้นเขาจึงดึงดูดความสนใจของอัศวินเพกาซัสทันทีที่เขาปรากฏตัว หลังจากที่อัศวินเพกาซัสสองนายได้สังหารเฮลฮาวด์ลงพวกเขาพวกเขาก็โบกดาบยาวและแทงมันใส่รอยอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตามก่อนที่ดาบยาวของพวกเขาจะโจมตีได้สำเร็จดาบในมือนั้นกลับหยุดชะงักลงด้วยกำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็นที่ยากจะเอาชนะ!
การต่อต้านอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาเสียสมาธิจนส่งผลให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งคู่หยุดชะงักลงและผลที่ตามมาก็ถึงแก่ชีวิต เพราะวินาทีต่อมากรงเล็บของรอยก็ได้เอื้อมมาคว้าลำคอของอัศวินคนหนึ่งก่อนจะฉีกมันออกจากร่างของเขา!
อัศวินเพกาซัสเสียชีวิตอย่างน่าอนาถและเพกาซัสของพวกเขาก็ไม่รอดเช่นกัน รอยจับเพกาซัสด้วยมือข้างหนึ่งในขณะที่ฉีกปีกสีขาวของมันออกเป็นชิ้นๆโดยใช้มือเพียงข้างเดียว ทางด้านเสืออ้วนก็ได้พุ่งโจมตีอัศวินอีกคนที่รอยได้โยนลงไปบนพื้นนก่อนที่เสืออ้วนจะใช้คมเขี้ยวจากหัวทั้งสามลุมกัดจนตาย
รอยโบกมืออย่างระมัดระวังเพื่อเก็บวิญญาณของอัศวินเพกาซัสทั้งสองเข้าสู่ระบบ เขาแอบเหลือบมองด้วยหางตาและเห็นว่าเซรอนกำลังอาละวาดเข่นฆ่าโดยไม่สนใจสถานการณ์ใดๆ ซึ่งมันทำให้รอยรู้สึกสบายใจปีศาจตนหนึ่งและสุนัขของเขาไม่รีรอที่จะพุ่งเข้าสู่สนามรบ พวกเขาไม่เพียงแต่ฆ่าศัตรูที่โจมตีพวกเขาแต่เขายังได้รวบรวมวิญญาณที่ลอยอยู่ในสนามรบที่พวกเขาวิ่งผ่านอีกด้วย
โชคร้ายที่อัศวินเพกาซัสทุกคนที่เผชิญหน้ากับรอยต่างก็พบกับสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นเดียวกันเหมือนกับอัศวินเพกาซัสทั้งสองคนเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อพวกเขาเข้าโจมตีรอยในทุกครั้งมันเหมือนกับว่ามีโล่โปร่งใสที่ที่มองไม่เห็นอยู่รอบๆคอยต้านทางอาวุธของพวกเขาจนคล้ายกับว่าได้แทงอาวุธใส่กำแพงยางก็ไม่ปาน
เหล่าอัศวินไม่รู้ว่ารอยได้เปิดใช้ทักษะไซโคคิเนซิสของเขาอยู่ตลอดเวลา
ทักษะไซโคคิเนซิสของรอยเป็นผลพลอยได้จากการเสริมสร้างร่างกายด้วยที-ไวรัสที่สมบูรณ์แบบ เขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมาเองดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกำหนดและเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะได้ ในช่วงแรกนั้นทักษะพลังจิตนี้มันค่อนข้างอ่อนแอมาก ซึ่งนอกจากรอยจะใช้เพื่ออวดเบ่งกับคนอื่นๆแล้วเขายังไม่เคยใช้มันในการต่อสู้อย่างจริงจังมาก่อน
ในตอนแรกรอยคิดว่าความสามารถของไซโคคิเนซิสจะเกี่ยวข้องกับพลังทางจิตหรืออะไรทำนองนั้น แต่ปัญหาคือรอยไม่มีคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตเลยซักนิด ด้วยเหตุนี้เองตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจึงยังไม่ค้นพบวิธีที่จะเพิ่มความสามารถของทักษะนี้เลยเพราะแม้แต่การฝึกใช้งานซ้ำๆก็ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้น จนกระทั่งรอยค้นพบว่าวิญญาณสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างน้ำยาเพิ่มพลังเวทย์ได้ และภายหลังจากที่รอยดื่มพวกมันเข้าไปในจำนวนที่มากขึ้นจากนั้นเขาก็ค้นพบว่าทักษะไซโคคิเนซิสหรือทักษะพลังจิตของเขาได้เติบโตขึ้น
ในตอนแรกทักษะนี้สามารถควบคุมได้แค่เพียงวัตถุที่มีมวลน้อยได้เท่านั้น แต่ตอนนี้ไซโคคิเนซิสสามารถควบคุมสิ่งที่มองไม่เห็นได้เช่นมวลของอากาศ เขาสามารถใช้พลังพลังจิตในการบีบอัดอากาศและเพิ่มความหนาแน่นของมวลอากาศในพื้นที่นั้นๆเพื่อสร้าง "โล่อากาศ" ขึ้นมาเพื่อป้องกันการโจมตีได้
เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการเพิ่มขึ้นของพลังงานเวทย์มนตร์ของตัวเขาเอง เพราะตลอดมานั้นรอยเพิ่งตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิดไปไกลมาก โครงสร้างร่างกายของมนุษย์และปีศาจแตกต่างกันเป็นอย่างมาก มนุษย์อาจพลังพิเศษบางอย่างอย่างเช่นพลังทางจิต แต่สำหรับปีศาจแหล่งที่มาของพลังงานทั้งหมดของพวกเขานั้นก็คือหัวใจปีศาจ! หัวใจปีศาจเป็นจุดกักเก็บและเป็นแหล่งพลังงานของปีศาจทุกตน!
ดังนั้นเมื่อรอยได้ดื่มน้ำยาเพิ่มพลังเวทย์เพิ่มพลังงานเวทย์มนตร์เข้าไป มันก็จะทำให้หัวใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและเมื่อเขาได้บริโภคน้ำยาจนถึงจุดๆหนึ่งหัวใจปีศาจของเขาก็ได้พัฒนาจนมันเริ่มแข็งแกร่งและพลังของทักษะไซโคคิเนซิสก็แข็งแกร่งขึ้นตามมาเป็นลำดับ
หลังจากค้นพบความพิเศษของร่างกายของเขารอยก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข ในตอนแรกเมื่อเขาได้รับความสามารถ ไซโคคิเนซิสมา เขาเคยคาดเดาไว้ว่าการพัฒนาขีดจำกัดจนไปถึงจุดสูงสุดของพลังจิตนั้นอาจไม่ง่ายเหมือนอย่างที่อลิซได้ใช้ในเรซิเดนต์อีวิลแต่น่าจะเป็นเหมือนใน เซนต์ไซย่าอย่างเช่นเซนต์เอรีส นักษุญผู้ใช้พลังจิตแห่งราศีเมษา
** ในส่วนสุดท้ายผมไม่แน่ใจนะว่าแปลถูกไหมเพราะผมก็ไม่เคยดูเรื่องเซนต์ไซย่ามาก่อน