Chapter 8: เจ้าชายเป็นคนหัวหมอ -3
“ชาร์ลอตต์ รู้สึกยังไงบ้าง?”
คุณป้าคุณยายเข้ามาใกล้เพื่อตรวจดูอาการของชาร์ลอตต์ แล้วถามเธอ
“โอ้พระเจ้า....ดูเหงื่อพวกนี้สิ อ้ะ? ไข้ลดลงแล้วนี้ ค่อยโล่งอกหน่อย ทำไมหนูไม่นอนต่ออีกซักหน่อยหล่ะ?”
“หนูคงหิวสินะ เอานี่ อย่างน้อยก็มีมันฝรั่ง ตอนนี้พวกเรามีแค่นี้แหล่ะ”
คุณป้าส่งจานที่มีมันฝรั่งอยู่ลูกนึงให้เธอพร้อมกับมีดทำครัว ชาร์ลอตต์รู้สึกสับสนกับคุณนายเหล่านี้และการพยายามดูแลเอาใจใส่ของพวกเธอ
เกิดอะไรขึ้น? เธออยู่ที่ไหน? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้? แล้วแม่ของเธอหล่ะ? คุณพ่อด้วย...?
เมื่อความสับสนที่ถูกปลดปล่อยออกมาทวีความรุนแรงขึ้น เธอก็กุมหน้าผากของตัวเองจากอาการปวดศีรษะที่ประดังเข้ามา และในขณะที่เธอค่อยๆรู้สึกปั่นป่วนนั้นเอง...
“กรี๊ดดดด!!”
จู่ๆก็มีคนส่งเสียงร้องออกมา
ชาร์ลอตต์สะดุ้งตื่นแล้วเธอก็ลุกพรวดขึ้นมาจากที่เป็นการตอบสนอง
ผู้หญิงคนนึงกำลังชี้ออกไปข้างนอกหน้าต่างในขณะที่เดินถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว
“พวกมัน... พวกมันกำลังเข้ามา! ไม่สิ! พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว!”
ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ข้างในโบสถ์มองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ใกล้กับพวกเธอที่สุด ชาร์ลอตต์เองก็มองออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วและสังเกตดูสถานการณ์ในปัจจุบัน
เธอเห็นซอมบี้จำนวนมากกำลังเดินโซเซมาทางโบสถ์
สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในอาคารค่อยๆซีดเผือดจนเหมือนกับแผ่นกระดาษ บางคนส่งเสียงร้องออกมาในขณะที่บางส่วนมองสำรวจพื้นที่รอบตัวอย่างตาลีตาเหลือก เพื่อหาดูว่าเผื่อจะมีที่ซ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม ชาร์ลอตต์ตอบสนองแตกต่างจากพวกเธอ
‘ซอมบี้....!’
เธอตอบสนองด้วยการยื่นมือออกไปคว้ามีดทำครัวที่อยู่ข้างมันฝรั่ง และก่อนที่เธอจะเริ่มพุ่งออกไปยังทางออกของโบสถ์นั้น พวกผู้หญิงก็ตกตะลึงกับการกระทำของเธอแล้วรีบเข้ามาหยุดด้วยการกอดเธอเอาไว้จากข้างหลัง
“ชาร์ลอตต์ ข้างนอกมันอันตรายนะ!”
“เธอจะออกไปไม่ได้นะ!”
แม้ว่าพวกเธอจะพยายามห้ามเธอ แต่พวกเธอก็จบลงด้วยการถูกลากไปข้างหน้าแทน ดูเหมือนว่าชาร์ลอตต์จะค่อยๆแข็งแรงขึ้นในทุกๆก้าวที่เธอเดินออกไป
นี่คือการแสดงพละกำลังของร่างกายอันน่าทึ่งที่ไม่มีเด็กสาวอายุ 16 ปีคนไหนสามารถทำได้แล้ว เด็กผู้ชายที่กำลังดูสถานการณ์อยู่ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยและในที่สุดทุกคนก็สามารถหยุดเธอเอาไว้ได้
“อื้อ? อื้ออ?”
ชาร์ลอตต์สะดุ้งด้วยความตกใจและกำลังจะทรุดลงอย่างหมดสภาพ ส่วนนึงที่เป็นแบบนี้ก็เพราะในที่สุดเธอก็สูญเสียพละกำลังไป แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เธอก็ไม่อยากพลาดทำอันตรายคนอื่นด้วยมีดในมือเธอด้วย
นี่คือสาเหตุที่เธอหยุดขัดขืน แต่ถึงอย่างนั้น สายตาของเธอก็ยังคงจับจ้องไปที่ข้างนอกหน้าต่าง สายตาที่เบิกกว้างของเธอจดจ่อไปที่เด็กชายคนนึงที่กำลังยืนอยู่ข้างนอกอาคาร
เธอเห็นเขากำลังกระโดดสูงพร้อมกับยกพลั่วของเขาขึ้น
และในตอนนั้นเอง เขาก็ฟาดพลั่วลงมา
ศีรษะของซอมบี้ถูกเฉาะจนแยกในขณะที่มันล้มฟุบลงกับพื้น
“พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่!? เล็งไปที่หัวสิ! นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องการรักษาสภาพศพหรืออะไรพวกนั้นนะ!”
เสียงตะโกนของเด็กชายกระตุ้นชาวบ้านที่หวาดกลัวให้กัดฟันแน่นแล้วเริ่มเหวี่ยงอุปกรณ์ทำสวนของพวกเขา
ไม่นานนัก อุปกรณ์ทุกรูปแบบก็เริ่มฟาดใส่ซอมบี้
จนในที่สุด ก็มีคนที่พ่ายแพ้ให้กับการประชันกำลังกับซอมบี้และถูกกัด ซึ่งเด็กชายก็ได้กัดฟันของเขาแล้วคว้าหลังคอของชายคนนั้นเพื่อฝืนดึงเขาออกมา
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงพลั่ว มันฟาดลงไปที่ศีรษะของซอมบี้อย่างเหมาะเจาะ ทำให้มันเดินซวนเซก่อนที่จะล้มลงไปกับพื้น แล้วเด็กชายก็ยกพลั่วขึ้นจนสุดแขนพร้อมกับฟาดลงมาเพื่อแยกกระโหลกของสิ่งมีชีวิตที่ล้มลง
ภาพที่เห็นหนีทำให้ชาร์ลอตต์ตกตะลึงอย่างสุดๆ
เด็กชายที่มีอายุพอๆกับเธอ ไม่สิ บางทีน่าจะเด็กกว่าเธอปีสองปีด้วยซ้ำ กำลังก้าวนำไปล่าซอมบี้ก่อนที่พวกผู้ชายที่ทั้งแก่กว่าและมีกำลังมากกว่าจะทำได้ซะอีก
“อย่าผ่อนแรงสิ! ถ้ามีเวลาบ่นเรื่องบาดเจ็บ เอาเวลาไปฆ่าซอมบี้ให้มากขึ้นแทนจะดีกว่าไหม!”
ลักษณะการพูดของเขาเองก็ค่อนข้างจะไม่ไว้หน้าเลย พวกผู้ใหญ่จ้องเด็กชายตาเขม็ง แต่ก็ยังยอมโจมตีซอมบี้ต่อไปอยู่ดี
พวกเขากำลังลดจำนวนฝูงอันเด็ดไปได้ทีละตัวทีละตัว
ซอมบี้ที่ทั้งเดินซวนเซและเชื่องช้านี้ถูกกำจัดได้อย่างง่ายดายจนน่าเหลือเชื่อ
เด็กชายต้องรู้สึกเหนื่อยพอสมควรแล้วแน่ๆเพราะเขาแทบจะยืนไม่ไหวจนต้องใช้พลั่วพยุงตัวเองเอาไว้ แถมลมหายใจของเขาเองก็หนักหน่วงและไม่เป็นจังหวะด้วย
ซึ่งมันก็คือตอนนั้นเอง พวกคุณนายที่หยุดชาร์ล็อตต์เอาไว้ก่อนหน้านี้ก็เริ่มพูดคุยกัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? เจ้าชาย เขารู้วิธีล่าซอมบี้ด้วยหรอ?”
“ก็คงงั้นแหล่ะ เขาเป็นเจ้าชายจากจักรวรรดินะ มันก็แน่อยู่แล้วที่เขาจะรู้วิธีล่าซอมบี้”
พวกผู้หญิงที่ยังคงหวาดกลัวจับกลุ่มคุยกันต่อ แต่คำพูดของเธอก็ทำให้ชาร์ลอตต์ตกตะลึงอีกครั้ง
เขาเป็นเจ้าชายหรอ?
ตอนนี้เธอนึกออกแล้ว เธอเคยได้ยินข่าวลือมาว่ามีเจ้าชายตัวบัดซบมาพำนักที่โบสถ์ในเนินเขาเมื่อไม่นานนัก
จากนั้นเธอก็จับจ้องสายตาไปที่แผ่นหลังของเด็กชายอีกครั้ง
**
พวกชาวบ้านแผดเสียงออกมาเหมือนกับจะกู่ร้อง พวกเขาเหวี่ยงอุปกรณ์ทำสวนในมือเพื่อแทงและฟาดลงมา ในทุกๆครั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น กระโหลกของซอมบี้ก็จะถูกขยี้เป็นเสี่ยงๆ
ด้วยเนื้อเน่าๆที่กระจายไปทั่วทุกที่ ชาวบ้านที่ถอยออกมาข้างหลังก็แสดงสีหน้าไม่สบายใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าสิ้นหวัง
ลมหายใจของพวกเขาหนักหน่วงและไม่เป็นจังหวะ แต่สายตาของพวกเขาก็ยังคงตรวจสอบศพซอมบี้ประมาณ 100 ตัวหรือมากกว่าที่นอนเกลื่อนอยู่ทั่วทุกที่อย่างจริงจัง บางคนหย่อนก้นลงดังพลั่ก เรี่ยวแรงที่พวกเขาเหลือคงจะไม่พอสำหรับการลุกขึ้นยืนแล้วด้ยวซ้ำ
และก็มีบางส่วนที่โอบกอดศพไร้หัวในขณะที่ร้องไห้ฟูมฟายด้วย ศพที่แต่ละคนกอดอยู่นั้นต้องเป็นของสมาชิกในครอบครัวหรือคนรักของพวกเขาแน่ๆ แม้ว่าทุกคนจะเจ็บปวดจากความเศร้า แต่พวกเราก็สามารถป้องกันการโจมตีของซอมบี้สำเร็จแล้ว
ฉันยืนยันสภาพร่างกายของชาวบ้าน บางคนบาดเจ็บ แต่ไม่มีใครตาย
“ตอนนี้ก็โล่งใจได้แล้วสินะ”
ฉันปักพลั่วลงดิน แล้วใช้มันพิงหลัง พร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา
งานนี้หนักเอาเรื่อง หนักแบบหนักจริงๆเลยหล่ะ
ถ้าฉันรู้สิ่งที่จะต้องเจอในอนาคตหล่ะก็ ฉันคงเลือกอาชีพ ‘นักรบ’ ในช่วงที่ทำงานพิเศษทดสอบเกมส์แทนไปแล้ว มันดูน่าเลือกกว่าอาชีพ ‘เนโครแมนเซอร์’ ที่ฉันต้องมาระแวงสายตายของทุกคนกับแค่การใช้สกิลเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหนกันนะถ้าฉันมาถึงที่นี่ในฐานะซุปเปอร์แมน? แถมยังเป็นอาชีพที่ฉันอวดทักษะที่สูงลิ่วได้ด้วย
“เหนื่อยหน่อยนะครับ เจ้าชาย”
หนึ่งในชาวนาเข้ามาใกล้ฉันพร้อมกับส่งถุงหนังที่มีน้ำอยู่ข้างในให้
“อ้ะ ขอบใจ”
ฉันรับมันแล้วใช้ล้างมือล้างหน้าก่อนที่จะกระดกเข้าไปเพื่อดับกระหาย ในระหว่างนี้เอง ฉันก็จดจ้องชาวเจ้าคนนี้ และผ่านสกิล [เนตรจิต] ฉันก็ยืนยันชื่อของเขา
“เจ้าบอกว่าชื่อกริลใช่ไหม?”
ชาวนากริลสะดุ้งแล้วถามกลับด้วยสีหน้าสับสน “ผมเคยบอกชื่อกับท่านมาก่อนด้วยหรอครับ เจ้าชาย?”
“อา เคยสิ”
จริงๆแล้วก็ไม่ได้บอกหรอก
บางทีเขาคงมีความสุขที่ฉันจำชื่อของเขาได้ เพราะจู่ๆกริลก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา “ขอบคุณนะครับ เจ้าชาย”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก”
“แต่ว่า การที่ราชวงศ์จำชื่อชาวนาตัวเล็กๆอย่างข้าได้นั้น มันช่าง....”
“เห้ยพวก เจ้าควรภูมิใจกับอาชีพของตัวเองนะ ฉันจะบอกให้ อาชีพชาวนาก็ถือเป็นอาชีพที่สำคัญเหมือนกัน”
ดูเหมือนว่ากริลจะตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็พยักหน้าอย่างกระปรี้ประเปร่า เหมือนกับว่าเขากำลังตื่นเต้น
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว หมอนี่คือคนที่พาเด็กสาวติดเชื้อไปเมื่อตอนนั้นไม่ใช่หรอ?
“เด็กสาวคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? เธอรอดไหม?”
“เด็กสาวคนนั้น? อ๋อ หมายถึงชาร์ลอตต์ใช่ไหมครับ เจ้าชาย? เธอปลอดภัยดีครับ ผมคิดว่าพวกผู้หญิงข้างในโบสถ์น่าจะคอยดูแลเธออยู่
ถ้างั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย
ฉันมองไปทางโบสถ์ จากที่นั่น ฉันรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องมาที่ฉันจากหน้าต่างแต่ว่าฉันมองเห็นหน้าไม่ชัด
ฉันควรโทษสภาพจิตใจของฉันสำหรับความรู้สึกนี้รึเปล่านะ?
ฉันจ้องกลับไปยังซากซอมบี้ที่ตายเกลื่อนอีกครั้ง กลิ่นเหม็นรุนแรงมากจนฉันขมวดคิ้วแน่น ระดับของพลังมารนั้นมากเกินไปสำหรับศพที่กลายเป็นศพเดินได้ในชั่วข้ามคืน
“แปลกจริงๆ...”
“อะไรแปลกหรอครับ เจ้าชาย?”
“ฉันหมายถึงโรคระบาดนี้หน่ะสิ”
แม้ว่าจะมีโรคระบาดแพร่กระจายอยู่ในช่วงนี้ แต่การที่จู่ๆฝูงซอมบี้ระดับนี้โผล่มามันไม่ปกติเลย ให้ตายเถอะ ฉันกล้าพนันเลยว่าโรคระบาดในระดับคำภีร์ไบเบิ้ลคงไม่รุนแรงขนาดนี้หรอก
“ต่อให้พวกเราอยู่ใกล้กับดินแดนวิญญาณแห่งความตาย แต่การเห็นซอมบี้จำนวนมากขนาดนี้โผล่มามันแปลกเกินไป ครั้งนี้พูดได้เลยว่าเกือบไปแล้วจริงๆ ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเราได้ถูกกวาดล้างหมดแน่”
“ก....กวาดล้างหมดที่ว่านี่ ท่านหมายความว่ายังไงหรอครับ....?”
“ทุกคนจะตายหมดยกเว้นข้า”
สีหน้าของกริลซีดเผือด
“ถ้าพวกเราไม่รีบหาสาเหตุ เรื่องแบบนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆแน่”
ฉันพูดได้เลยว่าโรเนียคงต้องใช้เวลาสองสัปดาห์เป็นอย่างต่ำกว่าจะตรวจพบความผิดปกติแล้วส่งคนมาที่นี่ ฉันไม่มั่นใจว่าพวกเราจะทนได้นานขนาดนั้นหรือเปล่า
กริลรีบถามฉันด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “พ พวกเราจะทำยังไงต่อไปดีครับ?”
“ก็นะ พวกเราต้องหาทางทนเอาไว้ให้ได้ หรือไม่ก็หาต้นเหตุ แต่เรื่องพวกนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะ ฉันจะทำพิธีศพพวกเขา แล้วเริ่มเผาศพก่อน”
“ท่านหมายถึงตอนนี้เลยหรอครับ?”
ฉันมองพวกชาวบ้านก่อนที่จะจ้องกลับมาที่กริล ตอนนี้ทุกคนเหนื่อยกันมากแล้ว แม้กระทั่งเจ้านี่ก็ยังทำหน้าเหมือนกับกำลังบอกว่าขอพักผ่อนสักพักใหญ่ๆเถอะ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาพักตอนนี้ มันก็มีแต่จะทำให้ทำพิธีชำระล้างได้ยากขึ้นในภายหลัง
“พวกเรารีบทำให้จบในตอนที่ยังมีคนช่วยเยอะๆจะดีกว่านะ นอกจากนี้....” ฉันจ้องไปยังศพที่ไม่ไหวติงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “รู้รึเปล่าว่าแม้กระทั่งตอนนี้พวกเขาก็กำลังทรมานอยู่? พวกเราควรรีบปลดปล่อยพวกเขาจากความเจ็บปวดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ฉันสั่งให้พวกชาวบ้านขุดหลุมศพข้างสุสาน การฝังรวมนั้นง่ายและรวบรัด หลังจากที่รวบรวมศพมาแล้ว พวกเขาก็จะทำการเผา และจากนั้นก็เอาส่วนที่เหลือมาเทลงหลุมแล้วกลบโดยมีป้ายไม้โดดๆทำหน้าที่เป็นป้ายหลุมศพของพวกเขา
ในทุกวันนี้โดยปกติแล้ว ป้ายหินคุณภาพสูงจะถูกทำมาใช้แทน แต่น่าเสียดายที่พวกเราขาดคนที่มีแรงเหลือพอที่จะทำมันขึ้นมา
ในขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้าดู ฉันก็จ้องไปที่หลุมศพใหม่แล้วสวดภาวนาอย่างเงียบๆ มือของฉันยังคงจับพลั่วเอาไว้อยู่
นี่คือพิธีชำระล้างเพื่อรำลึกถึงผู้ที่จากไป และอธิษฐานให้พวกเขาเข้าสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์อย่างสบายใจ
ฉันทำงานจนกระทั่งเช้ากว่าจะเสร็จ หลังจากที่สวดภาวนาป้ายสุดท้ายจบ ฉันก็หันกลับมาพูดกับชาวบ้าน “พักกันซักหน่อยเถอะค่อยไปไล่ล่าพวกที่เหลือต่อ เราควรลดทอนจำนวนของพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
แม้ว่าฉันจะอยู่ในระหว่างการชี้แจง ฉันก็ไม่ลืมที่จะสังเกตปฏิกิริยาของชาวบ้าน
สายตาที่ฉันไม่อยากได้รับเข้ามาหาฉันก่อน บางคนดูค่อนข้างสับสนในขณะที่บางคนดูค่อนข้างตกใจ
ฉันเอียงคอ และนี่ก็ทำให้พวกชาวบ้านกระแอมออกมาอย่างกระอักกระอ่วนหรือไม่ก็หลบตาฉัน
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเรียกหัวหน้าหมู่บ้าน “นี่ คุณหัวหน้าหมู่บ้าน”
“ครับ เจ้าชาย มีอะไรกวนใจท่านรึเปล่าครับ?”
หัวหน้าเดินเข้ามาหาแล้วทำท่าทีลำบากใจแต่ก็ยังคงยิ้มออกมาไหลรื่นจนเห็นได้ชัด
บรรยากาศบางอย่างนี้ทำให้ฉันรู้สึกแปลก
ฉันเบ้ปากเป็นการตอบกลับ ซึ่งหัวหน้าก็ได้รอฉันพูดในสิ่งที่อยากพูด โดยไม่ได้สนใจว่าฉันชักสีหน้ารึเปล่าเลย
“ในช่วงไม่กี่วันมานี้มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า?”
“เหตุการณ์แปลกๆแบบไหนหรอครับ.....?”
“ก็อย่างเช่น มีของแปลกๆโผล่ขึ้นมาหรือไม่ก็อาจจะมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยมหมู่บ้านอะไรพวกนี้”
“อืมม นั่นสินะครับ ในความทรงจำของข้าไม่มีเรื่องพวกนั้นเลย โรคระบาดเริ่มขึ้นประมาณหนึ่งเดือนก่อน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัยนะครับ”
ถ้าอย่างนั้น หรือว่าโรคนี้จะแพร่กระจ่ายผ่านสัตว์ร้ายติดเชื้อหรือไม่ก็นกป่าจริงๆ? อย่างไรก็ตาม ฉันมีความสงสัยอย่างแรงกล้าว่าแทนที่จะเป็นเพราะธรรมชาติ น่าจะมีคนทำให้เกิดวิกฤตินี้มากกว่า
“แถวนี้มีเนโครแมนเซอร์อยู่รึเปล่านะ?”
ฉันพึมพำกับตัวเอง แต่คำพูดของฉันทำให้เกิดความตื่นตระหนักและความกลัวกระจายออกไป ซึ่งไม่ใช่แค่กริลกับหัวหน้าหมู่บ้าน แต่รวมถึงชาวบ้านคนอื่นๆด้วย
ในที่แห่งนี้ เนโครแมนเซอร์คือภัยพิบัติที่มีตัวตนอย่างแท้จริง
‘ยมทูตแห่งโรคระบาด’ ‘ปีศาจพรากวิญญาณ’ และชื่อเรียกอื่นๆอีกมากมาย ยกเว้นบางอาณาจักร คนอื่นๆในทวีปนี้ได้ตีตราพวกเขาว่าเป็นอาชญาการ
หนึ่งในกฏของดินแดนนี้ถึงกับกำหนดเอาว่าคุณจะไม่โดนข้อหาฆาตกรรมถ้าคุณฆ่าเนโครแมนเซอร์แม้คุณจะไม่ได้มีเหตุผลที่ดีพอก็ตาม พูดง่ายๆก็คือ มันถือว่าดีแล้วที่อาชีพเนโครแมนเซอร์ของฉันไม่ได้ถูกเปิดเผยที่นี่
“น เนโครแมนเซอร์หรอครับ?”
“โอพระเจ้า! ท่านคิดว่าพวกน่าเกลียดพวกนั้นจะแอบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านของเราหรอ?”
โถ่ ฉันขอโทษละกันนะที่น่าเกลียดขนาดนั้น การมาดูหมิ่นเจ้าชายแบบนี้หัวของเจ้าจะบินก็คงไม่แปลกหล่ะ
“มันก็แค่การคาดเดาของฉัน” ฉันตอบกลับไปอย่างใจเย็น
แต่ถ้ามีอยู่จริงๆ มันก็จะเป็นปัญหาอย่างแน่นอน เพราะถ้าเขาตัดสินใจว่าจะเก็บตัวอยู่แถวนี้ซักพักนึง ทุกอย่างก็คงจะแย่ลงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม มีโอกาสสูงมากที่เขาจะอยู่แถวนี้ เพราะการจะควบคุมซอมบี้นั้นเขาต้องอยู่ใกล้ๆ
แต่น่าเสียดาย ฉันไม่รู้ว่าจะค้นหาเขายังไง ถ้าไม่มีทีมค้นหาเฉพาะที่ประกอบด้วยนักบวชกับพาลาดิน การส่งชาวบ้านไม่รู้เรื่องพวกนี้ไปค้นหาก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งอาหารอันโอชะไปให้กับคนๆนั้น
เอาเถอะ.... ฉันอาจจะเดาผิดหมดและสถานการณ์ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแค่โรคระบาดตามธรรมชาติที่เกินควบคุมไปหน่อยก็ได้
แต่ไม่ว่าจะแบบไหน ปัญหาก็ยังอยู่ที่ว่าพวกเราจะหาต้นตอของมันยังไงดี?
“อยู่เฉยๆแล้วคอยสังเกตดูซักคืนนึงก็แล้วกัน ไปบอกทุกคนให้พักผ่อนซะ อ้ะ แล้วก็พวกเราต้องหมุนเวียนกับเฝ้ายามด้วยนะเผื่อเอาไว้ก่อน”
พวกเราทุกคนเหนื่อยจนไม่รู้จะเหนื่อยยังไงแล้วหล่ะ
พวกเราต่อสู้กับฝูงซอมบี้ จากนั้นก็ขุดดินและเคลื่อนย้ายศพตลอดทั้งวัน และในที่สุด พวกเราก็ต้องมาทำพิธีศพด้วย ดังนั้นขีดจำกัดทั้งด้านร่างกายและจิตใจของพวกเราจึงถึงขีดจำกัดแล้ว
ในตอนนี้ ไม่มีพวกเราคนไหนที่ทำอะไรได้จริงๆ
“ฉันจะไปงีบซักหน่อย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็เข้ามาปลุกแล้วกัน”
ฉันบอกทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและกริลก่อนที่จะหันหลับกลับแล้วตรงไปที่โบสถ์
**
“กรี๊ดด!”
เสียงกรีดร้องดังก้องควบคู่ไปกับเสียงฟ้าผ่า
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับฝันหวานข้างในโบสถ์ เสียงเปาะแปะของเม็ดฝนดังเข้ามาในหูของฉัน
ทัศนวิสัยของฉันมืดและพร่ามัว แต่ความสว่างชั่วขณะที่เกิดขึ้นจากฟ้าผ่าได้ส่องให้เห็นใบหน้าคนๆนึงต่อหน้าต่อตาฉัน
ผมสีขาวซีดและดวงตาสีแดงฉานควบคู่ไปกับสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับแผ่นน้ำแข็งพวกนี้เป็นของเด็กสาวคนนึง
เหมือนกับว่าเธอตกตะลึง คิ้วของเธอยักขึ้นในขณะที่จ้องมาที่ฉัน
“ตอนนี้อะไรอีกหล่ะ?” ฉันถามเธอ
“...”
เด็กสาวแสดงท่าทีสับสนในขณะที่เธอรีบหลบไปด้านข้าง ในตอนนั้นเอง ประตูโบสถ์ก็เปิดออกแล้วกริลก็วิ่งพรวดเข้ามา
“เจ้าชาย!”
“เจ้าพยายามทำให้ฉันหูหนวกรึไง?”
บางทีเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่เจอมา ทั่วทั้งร่างของฉันจึงหนักอึ้งเหมือนกับฟองน้ำเปียก แม้กระทั่งความคิดของฉันก็ยังง่วงซึม ซึ่งเสียงเรียกที่ดังเหมือนกับตะโกนได้เข้ามาในหัวฉันและมันก็ทำให้ฉันมึน
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันถามกริล แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็เหลือบมองไปที่เด็กสาว
เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่าในขณะที่นั่งยองๆอยู่ตรงมุม สายตาที่เธอมองมานั้นทั้งคมกริบและเย็นชา
เดี๋ยวนะ เด็กคนนี้....เธอคือคนที่กินพวกหนูซอมบี้แล้วรอดมาได้ไม่ใช่หรอ?
ดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง นี่เธอไม่ได้โทษฉันหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหม?
“เจ้าชาย!”
“ฉันฟังอยู่ โอเคไหม? สรุปเกิดอะไรขึ้น? ทำไมต้องเอะอะโวยวายขนาดนี้?”
จากนั้นชาวนากริลก็รีบอัพเดทตามสถานการณ์
“มีคนถูกซอมบี้ลักพาตัวไปครับ!”