Chapter 7: เจ้าชายเป็นคนหัวหมอ - 2
ใบหน้าของชาวบ้านต่างซีดเซียวทันที
พวกเขาคงตกใจกันมาก หลังจากที่เห็นหลายชายจักรพรรดิก่นด่าเทพีแบบนั้น ถ้าพวกนักบวชชั้นสูงอยู่ใกล้เคียงแถวนี้แล้ว ถ้าอย่างงั้นเขาคงไม่มีทางที่จะปกป้องตัวเองได้เลย ในการที่พวกเขาจะไล่จับฉัน
ฉันสามารถที่จะได้ยินเสียงกระซิบท่ามกลางพวกชาวบ้านด้วยซ้ำไป “หรือว่าเจ้าชายเป็นคนนำโรคระบาดนี้มาแพร่ให้กับพวกเรากัน?”
มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ชาวบ้านจะคิดว่าภัยพิบัติที่พวกเขาพบเจอนั้นมาจากการกระทำที่ดูถูกศาสนาของเจ้าชาย
ฉันทำได้เพียงไอแห้งๆออกมา และก็มองไปที่เบื้องหน้า ฝูงซอมบี้กำลังเคลือบคลานมาอย่างเชื่องช้า
[ชื่อ : ซอมบี้
อายุ : ???
ความสามารถพิเศษ : กัด , ข่วน
+ ปัจจุบัน อยู่ในสถานะ ‘หิวกระหายตามสัญชาตญาณ’]
เนตรจิตของฉันส่งข้อมูลรายละเอียดแบบไม่ค่อยชัดเจนกลับมา
ยังไงก็ตาม แค่นี้มันก็มากพอแล้ว เจ้าซอมบี้พวกนี้ต่างเป็นทาสของสัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกมัน มันทำได้เพียงแค่กัดและข่วนเท่านั้น ผู้คนจากหมู่บ้านน่าจะมากพอที่จะจัดการกับพวกมันแล้ว
“เหวอออ!!”
แต่ว่า…. ปัญหาเดียวที่มีคือพวกเขาต่างตกอยู่ในสถานะหวั่นกลัว พวกเขาต่างล่าถอย ในขณะที่ส่งเสียงอย่างไม่พอใจกลับมาให้กับฉัน
“ฝ่าบาท มันเป็นไปไม่ได้ครับ! ท่านจะให้พวกเราสู้กลับมันได้ยังไงกัน? พวกเราไม่ได้เป็นนักบวชเหมือนกับท่านสักหน่อย!”
ฉันเข้าใจดีถึงตำแหน่งของพวกเขา ถ้ามันไม่ใช่เพราะอาชีพของฉันเป็นเนโครแมนเซอร์แล้วละก็ฉันคงจะหวาดกลัวด้วยเช่นกัน ฉันก็เมินพวกเขาและจ้องไปที่พวกซอมบี้ การกระทำของฉันมันทำให้หนึ่งในชาวบ้านที่หวาดกลัวตะโกนออกมา
“ฉัน...ฉันทำมันไม่ได้! พวกเราอาจจะรอดก็ได้ถ้าวิ่งหนีไป! ถ้าฉันพาลูกสาวของฉันที่อยู่ในวัดวิ่งหนีแล้ว พวกเราอาจจะ....”
เขาหยุดตะโกนออกมาในทันที ตาของเขาโตขึ้น เนื่องจากว่าเขาสังเกตเห็นซอมบี้ตัวเมียตัวหนึ่งเดินโซซัดโซเซไปมาท่ามกลางฝูงซอมบี้
“นั่นมัน...ภรรยาของฉันนี่?!”
เขาตกอยู่ในความสิ้นหวัง น้ำตาไหลออกมาอาบทั้งสองแก้ม
ฉันสังเกตซอมบี้ตัวเมียที่อยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกฉีกกระชากออก เธอดูน่าสงสารอย่างมาก ส่วนที่สำคัญบนร่างกายของเธอต่างเต็มไปด้วยรอยกัด
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่โชคร้าย เธอคนนั้นก็ไม่ใช่ภรรยาของเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่สิ มันก็เป็นแค่ศพเดินได้อีกตัวแค่นั้นแหละ
ฉันเมินชายที่ร้องไห้ไปและยกพลั่วขึ้นพาดไหล่ ในขณะที่ฉันทำท่าทางนิ่งเฉยให้มากที่สุด ฉันก็พูดออกมาเสียงดังขึ้น “ว้าว มีซอมบี้อยู่เยอะแยะเลยแหะ เอาละ การปล่อยพวกมันไว้อย่างนี้มันคงจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นตามมาแน่ๆ ฆ่าพวกมันให้เร็วที่สุดและทำลายภัยพิบัตินี้ทิ้งซะ”
ฉันฝืนยิ้มออกมา แต่มันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด แม้แต่ฉันยังรู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด พวกเราไม่ได้พูดถึงซอมบี้แค่ตัวถึงสองตัว แต่พูดถึงซอมบี้หลายร้อยตัว
การโดนกัดก็ไม่ได้แค่เจ็บปวดเล็กน้อยอีกแล้ว คุณจะตายอย่างแน่นอนถ้าโดนพวกมันรุมกัด
ฉันหายใจเข้าลึกๆเพื่อที่จะผ่อนคลายความตึงเครียด แต่ว่า...
“ฉันทำไม่ได้!! ฉันทำไม่ได้จริงๆ!!” ชายที่ร้องไห้ตะโกนออกมาดังก้อง “ฉันรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกนายด้วยเหมือนกัน!”
เขาตะโกนใส่ชาวบ้านที่เหลือเหมือนกับการประท้วง เขาชี้ไปที่ฝูงซอมบี้ที่ปรากฏตัวขึ้นจากภายในป่า แล้วเขาก็พูดต่อ “พวกมันเคยเป็นครอบครัวของพวกเรามาก่อน! ทั้งเพื่อน ทั้งเพื่อนบ้าน! แล้วฉันจะฆ่าพวกมันทิ้งได้ยังไงกัน?!”
ฉันกวาดตามองชาวบ้านทุกคน พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความลังเลใจ นี่มันค่อนข้างจะเป็นปัญหาเลยสำหรับเขา ไม่เพียงแต่พวกเขาต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว พวกเขายังเริ่มสูญเสียความกล้าที่จะถืออาวุธต่อไปอีก
ฉันรีบพูดออกมา “พวกมันตายไปแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก ถึงแม้ว่าพวกนายจะเมินเฉยต่อความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ไป”
ชายที่ตะโกนออกมาตื่นตระหนก เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉัน เขาจ้องมาที่ฉัน และสายตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เริ่มที่จะแฝงเจตนาสังหารมาด้วย
ช่างน่าปวดหัวจริง ฉันพูดก่อนที่จะเดินไปที่ด้านหน้าพวกเขา ฉันตบไปที่ไหล่ของพวกเขาและพยายามพูดออกมาให้นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เอาเถอะ.... ตั้งแต่ที่เจ้าไม่ต้องการสู้ เจ้าก็จะวิ่งหนีไปใช่ไหมละ? เอาสิ ทำที่เจ้าต้องการเลย ฉันไม่ห้ามเจ้าหรอก”
เมื่อเขาได้ยินคำอนุญาตจากฉันแล้ว เขาเหลือบตากลับไปมองซอมบี้ที่เคยเป็นภรรยาของเขาและเริ่มที่จะเดินถอยกลับไป
“แต่ว่านะ เจ้าควรที่จะระมัดระวังตัวให้มากละกัน ไม่งั้นเดี๋ยวพวกมันจะทำร้ายลูกสาวเจ้าเอานะ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เขาหยุดก้าวเดินต่อ
ฉันเหลือบตามองไปที่เขาและพูดต่อ “ฉันพูดอีกรอบละกัน เจ้าพวกนั้นมันไม่มีชีวิตกันอีกแล้ว”
ฉันชี้ไปที่ซอมบี้ตัวเมียและเขาก็หันกลับไปมองอดีตภรรยาอีกรอบหนึ่ง
“สภาพเธอดูน่าสงสารมากเลยใช่ไหมละ? แต่แย่หน่อยนะ ด้านในเธอยังคงแย่ยิ่งกว่านั้นเสียอีก เจ้าคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันละ?”
เอาละ [เนตรจิต] ของฉันไม่ได้บอกแค่ ‘ความสามารถพิเศษ’ เพียงอย่างเดียวสักหน่อย
“ศพของเธอกำลังเน่าเปื่อยไปอย่างช้าๆ ในขณะที่จิตวิญญาณของเธอกำลังจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด”
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะการมีอาชีพเนโครแมนเซอร์ ฉันถึงสามารถเห็นว่าวิญญาณกำลังจากไปด้วยเช่นกัน วิญญาณที่เจ็บปวดที่ซ้อนเข้ากับซอมบี้นับร้อยตัวต่างกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้สร้างหลุมศพและทำพิธีชำระล้าง เมื่อปราศจากการทำพิธีชำระล้าง วิญญาณเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะถูกช่วยเหลือวได้ และทำได้เพียงกรีดร้องอยู่ทั่วทุกวัน
“เธอ...เธอกำลังเจ็บปวดอยู่เหรอครับ?”
ร่างกายของเขาสั่นเครือ
ฉันพยักหน้า “แน่นอน เธอกลายเป็นพวกอันเดทที่คอยทำร้ายผู้อื่น ใครก็ตามที่เป็นปกติ จะมีความสุขกับความรู้สึกแบบนี้ได้ยังไงกันละ?”
“...”
“ถ้าเจ้าปล่อยให้เธอเป็นแบบนี้ เธอก็จะล่องลอยไปทั่วกับการเป็นวิญญาณเร่ร่อน และไม่มีใครที่จะช่วยเธอได้อีก ศพของเธอก็จะเน่าเปื่อยและเหลือเพียงแต่กระดูกของเธอ เธอจะเป็นซอมบี้ไปเป็นอีกเวลานาน และไม่มีใครที่ไหนจะช่วยเหลือเธอได้อีกต่อไป” ฉันหยิบอุปกรณ์ทำนาที่ถูกทิ้งไว้และส่งมันคืนให้กับเขา “ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าควรที่จะลดความเจ็บปวดที่เธอได้รับจะดีกว่าไหม? ภรรยาของเจ้าคงต้องการตายตาหลับ โดยฝีมือของสามีเธอ ไม่ใช่แบบนั้นเหรอ?”
ชายคนนี้ไม่ได้มองมาที่ฉันอีกต่อไป เขาทำได้เพียงจ้องซอมบี้ที่เป็นภรรยาของเขาอย่างเงียบๆ มือของเขาจับไปที่อุปกรณ์ทำนาแน่นและแน่นมากขึ้นไป
น้ำตาของเขาหยดลงมามากกว่าเดิม
นี่คือใบหน้าที่เจ็บปวดรวดร้องของผู้ชาย ยังไงก็ตาม สายตาของเขาก็หยุดหวั่นไหวและตาของเขาก็จ้องไปที่ซอมบี้ที่เคยเป็นภรรยาของเขาอย่างมุ่งมั่น
เขาตัดสินใจได้แล้ว
ฉันตบไปที่หลังของเขา “คนตายควรอยู่ในที่ที่ของคนตาย ในขณะที่คนเป็นควรที่จะมุ่งหน้าก้าวเดินมีชีวิตอยู่ต่อไป” ฉันเหลือบตามองไปที่ชาวบ้านที่เหลือ “ฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจวิ่งหนีไปไหม แต่ว่า พวกเจ้าควรละทิ้งความคิดที่ว่าการที่วิ่งหนีไปมันจะการันตีได้ว่าพวกเจ้าจะรอดชีวิต พวกซอมบี้พวกนี้ไม่ได้เป็นพวกซอมบี้ไร้สมอง พวกมันฉลาดพอที่จะปิดกั้นทางออกทั้งหมด แล้วพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะหลบหนีซอมบี้พวกนี้ไปได้งั้นเหรอ? ไม่ละ ไม่มีทางเป็นไปได้”
พวกคนส่วนใหญ่ที่หนีไปจากวัดต่างกลายเป็นซอมบี้กันไปหมดแล้ว นั่นหมายความว่าการพยายามหลบหนีออกไปจากที่นี่ พวกเขาจะหนีไปได้ไม่ไกล
“ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้ว มันก็มีทางเดียวแหละที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้” ฉันยกพลั่วขึ้นและชี้ไปที่ซอมบี้ ตาของฉันกวาดมองไปที่พวกมันก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเราจับพวกมันและทุบพวกมันให้ตายไปอีกรอบ นี่คือหนทางเดียวที่จะปกป้องครอบครัวของพวกเจ้าได้ ทั้งเพื่อน คนที่รัก และช่วยวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นให้ไปสู่สุขคติด้วย”
ฉันพูดจบ พร้อมกับรอยยิ้ม และพวกเขาเริ่มที่จะกัดฟัน แม้ว่าพวกเขายังคงสั่นไปมาด้วยความหวาดกลัว มันก็ไม่มีทางหันหลังกลับอีกต่อไป นี่คือผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมาก
“ฉันเดาว่าพวกเจ้าตัดสินใจได้แล้วสินะ” ฉันทุบพลั่วลงไปบนพื้นและจับมันด้วยสองมือ ในขณะที่ยักไหล่ไปด้วย ฉันพูดต่อกับชาวบ้านว่า “รีบทำให้มันจบเร็วเข้าเถอะ งานของเรามันง่ายๆ ฆ่าซอมบี้ทิ้งและทำพิธีฝังศพพวกเขาดีๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนกัดหรอก ฉันก็จะเจ็บปวดด้วยเหมือนกัน และฉันจะช่วยพวกนายอีกอย่างหนึ่ง ฉันจะมอบน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้กับพวกนายด้วย”
หรือว่าการพูดของฉันมันดูเหมือนประชดประชันมากเกินไปกัน? ชาวบ้านเริ่มก่นด่าฉันออกมา
“เขาไม่ใช่มนุษย์แล้ว! เขากล้าที่จะพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง?”
“โอ้ ขอโทษทีนะ ฉันจะทำอะไรได้กัน ในเมื่อฉันมันก็เป็นแบบฉันแบบนี้นี่ ยังไงก็ตาม ฉันคือใครกันละ? พวกเจ้ารู้ไหม? ฉันก็เป็นตัวบัดซบของราชวงศ์ยังไงละ!”
“แค่มันเป็นเพราะไม่ใช่ครอบครัวของท่านนั่นละ....”
“อะ ฮ่าๆๆๆ....พวกเจ้าควรที่จะขอบคุณฉันนะที่อุตส่าห์ออกมานำพวกเจ้าให้ ถ้าเป็นคนอื่นแล้ว ไม่เพียงแค่เขาจะวิ่งหนีไป พวกเขายังจะไล่พวกเจ้าออกจากวัดแห่งนี้ด้วย!”
ฉันทำความอบอุ่นกับร่างกาย การเคลื่อนไหวไปพร้อมกับจิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดมากที่สุด
“รีบทำให้มันจบกันเถอะ” ฉันหยิบพลั่วขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง “คนตายคงปรารถนาที่จะพักอย่างสงบด้วยเช่นกัน”
ดังนั้น...
“อย่าถูกพวกมันฆ่าละ มันจะทำให้งานฉันมันเพิ่มขึ้น”
..
ชาร์ลอตต์เติบโตขึ้นมาในครอบครัวแสนสุข
เธอเป็นที่รู้จักกันในความซื่อตรงและทำงานหนักในหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งมันอยู่ทางเหนือของดินแดนวิญญาณแห่งความตาย
ในเช้าวันหนึ่ง เธอกำลังช่วยแม่ของเธอเตรียมอาหารเช้าและเดินไปเก็บน้ำที่ริมธาร ในตอนกลางวัน เธอจะช่วยพ่อของเธอเข้าป่าไปตัดไม้
วันวานอันแสนสุขแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนเดิมอยู่ทุกวี่ทุกวัน
แต่วันหนึ่งที่เหมือนกับทุกวันก็เริ่มต้นขึ้น
เธอช่วยแม่ของเธอเตรียมอาหารเช้าเสร็จและเดินไปยังริมธารที่อยู่ด้านนอกหมู่บ้าน ในขณะที่เหนื่อยล้าเล็กน้อยกับการแบกน้ำ เธอก็กลับมายังบ้านของเธอ
มันแค่ตอนนั้นเอง เสียงที่คุ้นหูก็ดังเข้ามาในหูของเธอ
-...โอวกก....แหวะ…
ชาร์ลอตต์ตื่นตัวกับเสียงที่เกิดขึ้นและเหลือบตามองไปที่ด้านข้าง
ลุงข้างบ้านเธอกำพุงของเธอไว้แน่น ในขณะที่อ้วกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในท้องของเขา ภรรยาที่อยู่ข้างเขาคอยตบหลัง พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
กลิ่นเหม็นสาบมันก็มากพอที่จะทำให้เธอปิดจมูก เธอก็เต็มไปด้วยความกังวลใจด้วยเช่นกัน
‘ลุงทอมป่วยเหมือนกันด้วย’
ฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวนี้มันเป็นช่วงเวลาของโรคระบาด แม้แต่พ่อของเธอก็ยังล้มป่วยและนอนเจ็บป่วยอยู่บนเตียงเหมือนกัน
-ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก เดี๋ยวฉันก็ดีขึ้น ขอแค่นอนพักสักสัปดาห์ เดี๋ยวก็หายแล้ว
ชาร์ลอตต์เชื่อในคำพูดของพ่อเธอ พูดตามจริงแล้วเธอก็เจอโรคร้ายนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อปีที่แล้ว เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้แล้ว แต่ดูสิ ขนาดยากลำบากแบบนั้น ตอนนี้เธอยังแข็งแรงดีอยู่เลย!
นี่มันไม่ได้แตกต่างไปจากบททดสอบ เพื่อที่พวกเธอจะได้แพลิดเพลินกับอีกปีอย่างสุขภาพแข็งแรง
ในขณะที่เธอเต็มไปด้วยความกังวล เธอก็พยายามที่จะทักทายกับชาวบ้านข้างๆเธอ
‘สวัสดีค่ะ’
ป้าข้างบ้านตกใจกับการทักทายของเธอ เธอไม่ได้ทำอะไรนอกจากทำหน้าบึ้งตึงกลับ เธอก็กลับเข้าไปในบ้านกับสามีของเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
เธอรู้สึกค่อนข้างโดดเดี่ยว
ปกติแล้วเธอนั้นยิ้มอยู่ตลอดและคอยทักทายเพื่อนบ้านอยู่ตลอด แต่ช่วงที่เต็มไปด้วยโรคระบาดเช่นนี้ ทุกคนต่างไม่เป็นมิตร แต่พวกเขาคงจะหวาดกลัวว่าจะติดโรคระบาดจากคนอื่น ซึ่งมันทำให้พวกเขาต่างเจ็บปวด
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอก็เดินเข้าไปในบ้านอย่างรีบร้อน
ชิก ชิก!
เธอก้มมองและเห็นหนูกำลังแทะรองเท้าหนังของเธออยู่ เธอขมวดคิ้วและเตะพวกมันออกไปไกล
เจ้าสัตว์พวกนี้ลอยพุ่งตรงไปยังคลังเก็บของด้านข้าง ซึ่งมันทำให้เธอพึ่งจะเห็นดวงตาหลายสิบดวงจ้องผ่านรูนั้นกลับมา
-ฟู่ววววว!
เสียงขู่นั้นดังออกมา ซึ่งมันไม่น่าจะดังออกมาจากร่างกายเล็กๆแบบนั้นได้
เธอตื่นกลัวกับเสียงกรีดร้องที่ดังจนหูเธอแทบหนวก เธอทำถังเหล็กที่แบกน้ำไว้ตกกับพื้น เธอหันหลังกลับและวิ่งหนี
เธอรีบวิ่งเข้าไปในบ้านและปิดประตูที่อยู่ด้านหลังของเธอ และรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ปึง! บึ้ม! ปัง!
หนูพวกนั้นต่างกระแทกประตูอย่างรุนแรง
-แม่! พ่อ!
ใบหน้าของเธอซีดขาวด้วยความตกใจกลัว เธอรีบถอยหนีจากประตู แม้จะเป็นแบบนั้น เธอยังคงตะโกนเรียกพ่อแม่ของเธอด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ
แต่โชคร้ายที่พวกเขาไม่ได้ตอบกลับ
แต่กลับมีเสียงกรีดร้องที่น่าหวาดกลัวกลับมาแทน
ชาร์ลอตต์ตกใจกับสิ่งที่เธอได้ยินและรีบวิ่งไปที่ห้องครัว เธอตัวแข็งทื่อแทบจะในทันที
แม่ของเธอกำลังถือมีดอยู่และกำลังเตรียมทอาหารเช้า แต่คอของเธอถูกฉีกกระชากออกด้วยฟันจาก..พ่อของเธอเอง
‘ทำไมกัน…’
แม่ของเธอพูดพึมพำออกมา มันทำให้ชาร์ลอตต์หลั่งน้ำตาออกมามากมาย
“วิ่ง…หนี…ไป…”
เธอมัวแต่ยืนแข็งทื่อ ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด แต่เธอยกคงส่ายหัวและไม่ขยับไปไหน
“วิ่ง.....หนีไป!”
“หนูจะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นนะ รอก่อนนะแม่!”
ชาร์ลอตต์มองไปทางประตู พวกหนูยังคงพุ่งชนประตูอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นหมายความว่าเธอไปทางนั้นไม่ได้ เธอรีบออกไปทางหน้าต่างที่ใกล้ที่สุด เธอรีบเดินไปยังหน้าต่างที่ใกล้ที่สุด
“ช่วยพวกเราด้วย!แม่ของฉัน...เธอ....ถูกพ่อ...!”
เธอเห็นคนอื่นมองออกมาจากในบ้าน แต่ก็เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาต่างปิดหน้าต่างและเมินเฉยเธอไป
‘อูวว….โอ.โอวววว
เธอเริ่มได้ยินเสียงมาจากด้านหลังของเธอ เธอสะดุ้งเล็กน้อย ชาร์ลอตต์รีบหันกลับไปดู
พ่อของเธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโซซัดโซเซ
ปากของเขาที่พึ่งจะฉีกกระชากคอแม่ของเธอไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน กำลังมีเลือดไหลหยดลงมา ตาคนตายที่ไม่ไหวติงจ้องมาที่เธอ
-อา...
ซอมบี้พ่อของเธอพุ่งเข้าใส่
เธอไม่สามารถจะจำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เธอมีความทรงจำเลือนรางหลงเหลืออยู่ เธอวิ่งไปในห้องครัวและหยิบมีดขึ้นมา ที่ซึ่งเธอพบกับซอมบี้แม่ของเธอ
เธอถือมีดของเธอเข้าไปและเมื่อเธอกลับมา พ่อและแม่ของเธอต่างนอนตาย และมีร่องรอยการโดนฟัน
เธอยืนอยู่ตรงนั้นและยืนมองศพที่ไม่ไหวติงอย่างมึนงง
“ช่วย...ช่วยด้วย...”
“แหวะ....ฉัน ฉันต้องการยา...”
เสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังก้องไปด้านนอกหน้าต่าง
เธอหันกลับยังประตู เจ้าหนูพวกนั้นต่างข่วนประตูจนเป็นรู เมื่อประตูพัง ฝูงหนูจำนวนมากพร้อมกับฟันที่เต็มไปด้วยเลือดคงพุ่งเข้าใส่เธอ
.....
....
“เฮือก!”
ชาร์ลอตต์เปิดตาขึ้นและลุกขึ้นจากเตียง เหงื่อเธอไหลไปทั่วบนใบหน้า เธอรีบหันไปมองรอบๆ มือของเธอไขว่คว้าอากาศที่ว่างเปล่า
แต่ไม่มีหนูสักตัวพุ่งใส่ตัวเธอ
ชาร์ลอตต์หายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ท่าทางของเธอซีดเซียวมาก
นี่มันที่ไหน?
เธอเหลือบตามองไปทั่วด้านในวัด
“เกิดอะไรขึ้นกัน?!”
....หญิงสาววัยกลางคนและหญิงแก่ต่างสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอตื่นขึ้น และพวกเธอต่างเดินเข้ามาหากับเธอ
[ 7. เจ้าชายหัวหมอ – 2 จบ ]