ตอนที่ 446 เมืองหยางเฉิง
ตอนที่ 446 เมืองหยางเฉิง
แม้ว่าเมืองฝอซานจะนับได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง แต่มันก็ไม่สามารถเทียบกับเมืองหยางเฉิงได้เลย หลังจากได้เพลิดเพลินกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหยางเฉิงแล้ว มู่อี้ก็ต้องยอมรับจริงๆว่าแม้แต่เมืองฉางโจวก็ยังไม่เจริญรุ่งเรืองเท่ากับเมืองหยางเฉิงแห่งนี้ อาจเป็นเพราะว่าเมืองฉางโจวอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากจึงมีความเข้มงวดน้อยกว่าและด้วยความที่เมืองนี้อยู่ใกล้ชายแดนจึงทำให้มีชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางเข้ามา ชาวต่างชาติเหล่านั้นต่างก็นำพาขนบธรรมเนียมหรือความบันเทิงที่แปลกใหม่มาด้วย จนทำให้เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น
เรื่องเช่นนี้จะนับว่าดีหรือไม่ดีนั้นมู่อี้ไม่ใช่คนกำหนดได้และที่เมืองหยางเฉิงแห่งนี้ก็มีวัดแห่งซวนหมิงด้วยเช่นกัน แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าวัดแห่งซวนหมิงที่อยู่ภายในเมืองฝอซาน นี่เป็นเพราะว่าเมืองหยางเฉิงแห่งนี้มีศิลปะและวัฒนธรรมที่แพร่หลาย
"พี่ชาย พวกเราอยู่ที่นี่สักหลายวันเลยได้หรือไม่?" หลังจากได้เห็นความคึกคักและความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนี้แล้วเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็รีบดึงแขนเสื้อของมู่อี้แต่สายตาของนางยังคงจ้องมองออกไปนอกรถม้าอยู่ตลอดเวลา
"ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นเด็กดีหรือไม่" มู่อี้พูดพร้อมรอยยิ้ม
"พี่ชาย" เนี่ยนหนิวเอ้อร์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ที่นั่งอีกทางด้านหนึ่งของรถม้านั้นสายตาของเยี่ยนอู๋ซวงเป็นประกายด้วยความอิจฉา ตลอดการเดินทางครั้งนี้นางได้เห็นสิ่งที่มู่อี้กระทำต่อเด็กหญิงน้อยคนนี้อย่างชัดเจนและนั่นทำให้นางต้องรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย แต่ยิ่งได้เห็นมันก็ยิ่งทำให้นางนึกถึงชีวิตในวัยเด็กของตนเอง
"นายท่านขอรับ พวกเราจะเข้าพักที่วัดแห่งซวนหมิงหรือโรงเตี๊ยมภายในเมืองนี้ดีขอรับ?" เสียงของอู๋เสี่ยวซื่อก็ดังเข้ามาจากด้านนอกรถม้า ไม่ใช่แค่มู่อี้เท่านั้นแม้แต่ฉงเจียอี่ก็ดูเหมือนจะชื่นชอบความเฉลียวฉลาดของอู๋เสี่ยวซื่อผู้นี้ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่มู่อี้พาอู๋เสี่ยวซื่อมาด้วย ในตอนนี้ฉงเจียอี่อยากจะรับอู๋เสี่ยวซื่อเป็นลูกศิษย์ของตนเองแต่เรื่องนี้เขาก็ต้องขออนุญาตมู่อี้เสียก่อน
มู่อี้ไม่ได้สนใจว่าฉงเจียอี่จะรับใครเป็นลูกศิษย์ เขาเพียงแค่บอกให้ฉงเจียอี่คอยเฝ้ามองและสั่งสอนอู๋เสี่ยวซื่อให้ดีเท่านั้น หากฉงเจียอี่อยากจะรับอู๋เสี่ยวซื่อเป็นลูกศิษย์เขาก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วอู๋เสี่ยวซื่อก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ดูแลธงวิหคเพลิงคนหนึ่ง นับได้ว่าเป็นคนของเขาเหมือนกัน
ส่วนมู่อี้นั้นเขาไม่ได้คิดจะรับใครเป็นลูกศิษย์อีกแล้ว ตอนที่เขารับเถี่ยหนิวเป็นลูกศิษย์ของตนเองนับว่าสถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ให้เถี่ยหนิวเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ในนามของตนเองเท่านั้น มันยังเร็วเกินไปที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นลูกศิษย์อย่างแท้จริง คงต้องรอให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 3 สำเร็จได้เสียก่อนแล้วค่อยมาคิดเรื่องการรับลูกศิษย์อีกครั้ง
เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสั่งสอนลูกศิษย์ของตนเองพร้อมกับใช้ชีวิตอยู่ที่ภูเขาฟุเนียวไปด้วย
"พักที่โรงเตี๊ยมเถอะ" มู่อี้ตอบกลับมาทันที เขาไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ตนเองควรไปเยือนวัดแห่งซวนหมิงที่อยู่ในเมืองนี่หรือไม่และครั้งนี้เขาเองก็ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า วัดแห่งซวนหมิงภายในเมืองนี้น่าจะอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาเขาไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก นอกจากนี้ที่เขาเดินทางมาที่นี่ก็เพราะผู้หญิงที่มีนามว่าจู๋ยิ่น ตราบใดที่เขาได้พบเจอผู้หญิงคนนี้เขาจะรีบออกจากที่นี่ไปทันที
"ท่านผู้ดูแลธงเจ้าคะ ตระกูลของพวกเรามีพื้นที่เล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในเมืองหยางเฉิงแห่งนี้ ที่นั่นค่อนข้างเงียบสงบพอสมควร หากท่านผู้ดูแลธงไม่รังเกียจสามารถไปพักที่นั่นได้นะเจ้าคะ" เยี่ยนอู๋ซวงที่นั่งอยู่ในรถม้าก็พูดขึ้นมาทันที
"ได้สิ" มู่อี้ตอบกลับมาหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะโรงเตี๊ยมภายในเมืองที่คึกคักเช่นนี้คงมีผู้คนพลุกพล่านมากเกินไป หากมีสถานที่ที่เงียบสงบคงเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากกว่า
เมื่อเห็นว่ามู่อี้ตอบตกลง เยี่ยนอู๋ซวงก็ยิ้มออกมาทันที เพราะการได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมู่อี้ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนาง ต้องรู้ก่อนว่าเพียงแค่คำแนะนำเดียวของมู่อี้ก็นับว่าเป็นประโยชน์สำหรับนางมากแล้ว หลังจากได้ออกเดินทางมาด้วยกันนางก็ทราบดีว่าคำแนะนำของมู่อี้นั้นมีค่ามากเพียงใด ในตอนนั้นเยี่ยนอู๋ซวงเริ่มบ่มเพาะอีกครั้งและลมหายใจของนางก็ไม่สงบนิ่ง ทุกครั้งที่นางทำการบ่มเพาะนางจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณตรงกลางหน้าอก เดิมทีนางคิดว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่ แต่หลังจากที่นางได้รับคำแนะนำจากมู่อี้และเปลี่ยนวิธีการบ่มเพาะอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่นางรู้สึกได้ก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง นี่ทำให้นางได้รู้ว่าคำแนะนำของมู่อี้มีค่ามากเพียงใด
และตลอดการเดินทางนางก็ได้ทราบตัวตนของมู่อี้มากยิ่งขึ้นและยังทำให้นางกล้าเล่นมุกตลกกับมู่อี้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง
เมื่อมีเยี่ยนอู๋ซวงนำทางมาทุกๆคนก็มาถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีอาณาเขตรอบด้าน ตามที่นางได้พูดไว้ก่อนหน้านี้สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีพื้นที่กว้างขวางเท่านั้นแต่ยังเงียบสงบอีกด้วย นี่ทำให้มู่อี้รู้สึกพึงพอใจ
หลังจากได้เข้ามาในบ้านแล้วเยี่ยนเฟยเฟยก็รีบมาแจ้งข้อมูลให้มู่อี้ได้ทราบ
ผู้หญิงที่มีนามว่าจู๋ยิ่นคนนั้นได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น จู๋ชิงเอ้อร์ และนางได้ผันตัวไปเป็นแม่เล้าของหอนางโลมในเมืองนี้ และด้วยการดูแลของนางลูกศิษย์ทุกๆคนของนางต่างก็เริ่มเปลี่ยนมาขายชื่อเสียงมากกว่าขายเรือนร่าง จู๋ชิงเอ้อร์นับว่ามีชื่อเสียงพอสมควรภายในเมืองหยางเฉิงและจากที่เยี่ยนเฟยเฟยได้ทราบมา ลูกศิษย์ของนางที่ได้รับการไถ่ตัวออกไปนั้นมีมากกว่า 10 คนแล้ว
จู๋ยิ่นหรือจู๋ชิงเอ้อร์จึงได้ชื่อว่าเป็นแม่เล้าผู้มีเมตตา ว่ากันว่านางดูแลลูกศิษย์แต่ละคนเป็นอย่างดีราวกับลูกสาวของนางเอง และลูกศิษย์หญิงทุกๆคนของนางนั้นนางจะเป็นผู้เลือกสามีให้ด้วยตนเอง นี่ทำให้ทุกๆคนรู้สึกชื่นชมนาง
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองฝอซานมู่อี้ก็รู้ดีว่านางทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร น่าเสียดายที่ชายหนุ่มเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังจะถูกสังหารด้วยมือของหญิงสาวที่พวกเขารักมากที่สุด
"นางต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ" สายตาของเยี่ยนเฟยเฟยแสดงความเจ็บปวดขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพราะนางคิดว่าจู๋ยิ่นคนนี้จะต้องเป็นลูกศิษย์ของศิษย์น้องจู๋อย่างแน่นอน ด้วยความกังวลว่ามันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นนางจึงไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบอีกฝ่ายมากนัก แต่จากข้อมูลที่ได้รับมานั้น จู๋ยิ่นมีความคล้ายคลึงกับศิษย์น้องจู๋อยู่หลายส่วน
ปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าศิษย์น้องจู๋แต่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของศิษย์น้องจู๋กำลังเลือกเดินเส้นทางเดียวกับนาง ท้ายที่สุดแล้วเส้นทางนี้ก็มีแต่ความสูญเสียเท่านั้น ยิ่งคิดเยี่ยนเฟยเฟยก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้าแต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย
"มันเป็นสิทธิ์ของนางที่นางจะเลือกเส้นทางเช่นนี้ ไม่มีใครสามารถบีบบังคับนางให้ทำเช่นนี้ได้" มู่อี้ส่ายศีรษะและพูดขึ้นมา
"เช่นนั้นแล้วท่านจะไปพบนางเมื่อไหร่?" เยี่ยนเฟยเฟยถามกลับมา
"ข้าจะไปพบนางเร็วที่สุด ข้าไม่อยากให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว" มู่อี้ตอบกลับมา ตอนนี้มีชายหนุ่มที่กำลังเสียชีวิตอีก 36 คนถ้าหากเขาช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แม้ชายหนุ่มเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่คนดีอะไรนักแต่อย่างน้อยก็ถือเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
"ข้าขอขอบคุณท่านมาก" เยี่ยนเฟยเฟยพูดกับมู่อี้จากใจจริง ทำไมนางถึงต้องขอบคุณคงมีเพียงแค่เยี่ยนเฟยเฟยเท่านั้นที่ทราบเหตุผลนี้
ในตอนบ่าย แม้ว่าหอนางโลมจะยังไม่เปิดให้บริการแต่ก็เปิดให้คนเข้าไปได้แล้ว มีชายหนุ่มมากมายเข้ามาจับจองสถานที่อย่างคึกคัก ส่วนหญิงสาวภายในหอนางโลมแห่งนี้ก็กำลังยุ่งอยู่กับการแต่งตัวและรอคอยให้ถึงช่วงเวลาทำการแสดงในตอนเย็น
มู่อี้พาแค่ฉงเจียอี่และเยี่ยนเฟยเฟยมาด้วยเท่านั้น ส่วนเยี่ยนอู๋ซวงและอู๋เสี่ยวซื่อทั้งสองคนนั้นไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนเนี่ยนหนิวเอ้อร์ในตอนบ่าย มู่อี้ย่อมไม่มีทางยอมให้เด็กหญิงน้อยเข้ามาในสถานที่เช่นนี้แน่นอน และเมื่อมีเยี่ยนอู๋ซวงไปด้วยเด็กหญิงน้อยจึงยอมแยกกับเขา
ฝากกดไลก์ กดติดตาม Facebook ของเราด้วยนะครับ https://www.facebook.com/HeavenlyCurseTH