WS บทที่ 8 ประติมากรรมนูน
ภายในรถม้าของกัตต์ เบาะรองนั่งได้ถูกปกคลุมไปด้วยขนสัตว์ทำให้เวลานั่งเมอร์ลินรู้สึกดีมาก แม้เขาจะไม่รู้ถึงค่าเงินในโลกนี้แต่เขาคิดว่าราคาของมันต้องสูงมากแน่นอน
แม้แต่เมอร์ลินผู้ที่เกิดในตระกูลขุนนางก็ต้องร้องอุทานกับความหรูหราของรถม้าของกัตต์ แม้ว่าขุนนางมีสถานะทางสังคมสูง แต่ในแง่ของความมั่งคั่งตระกูลวิลสันก็ยังล้าหลังกว่าตระกูลดั๊กแลนด์ซึ่งมีรายได้มาจากการค้าขายต่าง ๆ
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดพวกเขามาถึงที่หมาย
“เอาล่ะ ลงไปกันเถอะ” แอนสันดูเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเดินเข้าไปในร้านค้าเล็ก ๆ ที่ดูโล่ง ๆ ภายในมีสินค้าวางอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
เมอร์ลินไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แม้เขาจะรู้สึกสับสนแต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาได้แต่ตามแอนสันกับกัตต์ไปอย่างเงียบ ๆ
ส่วนแอนสันและกัตต์ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้ ทั้งคู่มุ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งมีเด็กสาวคนหนึ่งที่สวมชุดที่ดูแปลกตาและโดดเด่น เมื่อเธอเห็นแอนสันและกัตต์เธอก็ยิ้มใส่พวกเขาทันที
“ยินดีต้อนรับคุณชายแอนสัน คุณชายกัตต์”
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวรู้จักแอนสันและกัตต์เป็นอย่างดี
“เอาล่ะ รีบ ๆ พาพวกเราเข้าไปข้างในได้แล้ว ฉันได้ยินว่าเจ้านายของเธอได้ของมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้”
แอนสันถูมือของเขา ในระหว่างพูดกับเด็กสาว
“ใช่แล้วค่ะ เจ้านายของฉันมีของใหม่และทุกอย่างล้วนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แม้มันจะผ่านช่วงเวลาหลายร้อยปีแต่ฉันมั่นใจว่าเมื่อคุณชายแอนสันและคุณชายกัตต์เห็นมัน พวกท่านจะต้องพึงพอใจแน่นอนค่ะ” เด็กสาวกล่าวขณะที่เธอกดอะไรบางอย่างใต้เคาน์เตอร์ หลังจากนั้นผนังด้านหน้าของพวกเขาเริ่นขยับออกและเผยให้เห็นทางเดินที่มืดอยู่ข้างใต้
“ลินนี่ ไหนฉันขอเช็คดูสิว่าตอนนี้ เธอโตขึ้นมาแค่ไหน?”
กัตต์เดินไปเด็กสาว เธอมีชื่อว่าลินนี่ เขายื่นมืออันอวบอ้วนของเขาเข้าไปที่ยอดอกของเด็กสาวและคว้าตัวเธอเข้ามา
“เจ้าอ้วน รีบไปเข้าไปอย่ามัวเสียเวลา!”
แอนสันตะโกนอย่างเร่งรีบเมื่อเขาเห็นว่ากัตต์กำลังทำอะไร
“ฮิฮิ ก็ได้ ๆ เดี๋ยวตามไป”
กัตต์ล้วงไปหยิบเหรียญทองออกมาและเอาไปใส่ในมือของลินนี่ หลังจากนั้นเขาก็ตามแอนสันลงไป
ทางเดินลงไปข้างล่างนี้ค่อนข้างสลัวเล็กน้อย พวกเขาเดินเข้าไปเรื่อยลึก ๆ ทางเดินก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นจากแสงเทียนที่ติดตั้งอยู่ข้างฝาผนัง
เมอร์ลินรู้สึกไม่ค่อยดี เขาคิดว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะลึกราว ๆ 2.5เมตรได้
‘ทางเดินนี่มันลึกก่อนที่คิดนะเนี่ย’
หลังจากเดินต่อไปอีกประมาณร้อยเมตร ในที่สุดก็มีเสียงบางอย่างลอยมาหาพวกเขา ในไม่ช้าพวกเขามาถึงที่หมาย
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นห้องโถงที่กว้างมาก มันมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลสองแห่ง ภายในสถานที่แห่งนี้มีผู้คนค่อนข้างบางตา พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยเรื่องเกี่ยวศิลปวัตถุที่อยู่ในห้องโถงนี้
พอพวกแอนสันมาถึงห้องโถง พวกเขาก็ถูกจ้องจากทุกคนที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นก็มีชายวัยกลางคนในชุดดำเข้ามาหาเขา “อ้าว! ยินดีต้อนรับ คุณชายแอนสัน คุณชายกัตต์ วันนี้พวกคุณมาสายไปหน่อยนะ”
นั่นทำให้สีหน้าของแอนสันเปลี่ยนไปทันที เขาเปิดปากถามอย่างรวดเร็วว่า “อย่าบอกนะว่า มันถูกขายไปหมดแล้ว?”
ชายวัยกลางคนยิ้ม “ไม่ครับ...แต่มันใกล้จะหมดแล้ว รีบไปดูกันเถอะครับ ตอนนี้คุณคาริซกำลังดูของใหม่อยู่ตอนนี้”
“คุณคาริซก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ?”
ใบหน้าอันอวบอ้วนของกัตต์ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ใช่ครับ เธอเพิ่งจะมาถึงน่ะครับ”
ในขณะที่ชายวัยกลางคน นาธาน ได้เดินนำเมอร์ลินและพวกเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ที่แห่งนี้มีคนหนุ่มสาวประมาณห้าคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับศิลปวัตถุที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“สวัสดี คุณคาริซ คุณมาถึงที่นี่เร็วมาก”
ทันทีที่แอนสันก้าวเข้ามาในห้อง เขาก็ทักทายผู้หญิงในชุดเดรสสีเขียว เธอมีผมหยิกสั้นสีบลอนด์
กัตต์เดินเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็วและจ้องมองไปที่คาริซ
คาริซขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเธอเห็นว่าคนที่มาทักเป้นแอนสัน เธอก็เผยรอยยิ้มออกมา “แอนสัน คุณลองดูของพวกนี้สิ คุณภาพของมันดีที่เดียว”
จากนั้นสายตาคาริซก็เหลือบมามองเมอร์ลินแต่เธอไม่สนใจเขา ดูเหมือนว่าเธอมีความสนใจในศิลปวัตถุอย่างมาก จนทำให้ไม่ค่อนสนใจผู้อื่นเลย
แอนสันเดินตรงไปยังชั้นวาง ที่นั้นมีหยกขาวขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งแกะสลักเป็นรูปทรงประหลาด รูปของสิ่งที่มีชีวิตที่มีศีรษะเป็นปลาแต่ร่างกายเป็นมนุษย์ ท่าทางของมันราวกับจะพ่นน้ำออกมา
นอกจากนี้ยังมีรูปสัตว์ประหลาดที่มีหนามคมทั่วทั้งร่างกาย มันดูน่าสยดสยองมาก พวกมันถือแส้เหล็กและกำลังจะฟาดใส่คนที่แต่งตัวแปลก ๆ
รูปภาพแกะสลักพวกนี้ สำหรับเมอร์ลินถึงว่าแปลกตาอย่างมาก เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน
“ของพวกนี้ทั้งหมดนี้เป็นของโบราณจากยุคของจักรวรรดิมอลต้า”
แอนสันมีความรู้เกี่ยวกับศิลปวัตถุพอสมควร เขากวาดตามองเพียงครั้งเดียว เขาก็รู้ที่มาที่ไปของศิลปวัตถุพวกนี้ทันที
คาริซหยิบหยกสีเหลืองขึ้นมา มันถูกสลักเป็นรูปสัตว์ประหลาด เธอหันไปถามแอนสันว่า “คุณแอนสัน ศิลปวัตถุชิ้นนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ ดูจากลวดลายแล้ว ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนแต่ดูวัสดุและรูปแบบการแกะสลัก มันมาจากยุคของจักรวรรดิมอลต้าจริง ๆ ใช่มั้ย”
เมื่อแอนสันได้ยินอย่างนั้น เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกไม่แน่ใจเช่นกัน
นาธานได้กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “สินค้าเหล่านี้มาจากซากปรักหักพังของจักรพรรดิมอลต้า แม้ลวดลายของมันจะแตกต่างไปจากอันอื่นไปบ้างแต่ผมสามารถยืนยันได้ว่านี่เป็นศิลปวัตถุจากจักรพรรดิมอลต้าจริง ๆ”
เมอร์ลินได้หันไปมองของชื้นอื่น ๆ ที่วางอยู่ตามชั้นาง ตัวเขาไม่มีความรู้เรื่องศิลปวัตถุเลย จึงไม่สามารถร่วมการสนทนากับใครได้เขามองดูมองดูศิลปวัตถุที่แปลกประหลาดพวกนี้ เขาไม่รู้สึกกึงความสวยงามของมันเลย เขารู้สึกอึดอัดเวลามองมันมากกว่า
เมอร์ลินได้กวาดตาดูศิลปวัตถุที่ทำจากหยกพวกนี้ จู่ ๆ เขาก็ได้สะดุดกับประติมากรรมนูนพัง ๆ ชิ้นหนึ่ง
แต่เขาลองดูดี มันไม่น่าจะใช่ประติมากรรมนูน มันน่าจะเป็นชิ้นส่วนผนังที่ดถูกระเบิดออกมากกว่า
ประติมากรรมนูนนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ การแกะสลักของมันเป็นรูปของชายเปลือยกายที่นั่งอยู่บนพื้นที่อยู่ท่าทางแปลก ๆ
เมอร์ลินหยิบประติมากรรมนูนอย่างถนอมมือ แล้วมองไปที่ลวดลายของมัน
ทันใดนั้น เมอร์ลินก็รู้สึกว่า ประติมากรรมนูนในมือของเขาดูเหมือนจะมีชีวิต ชายเปลือยที่สลักอยู่บนนั้นกำลังเคลื่อนไหวและทำท่าบางอย่างอยู่
“นี่มัน…”
เมอร์ลินตกตะลึง ทันใดนั้น ภาพนั้นก็หายไปทันที
“เอ...หรือว่าฉันจะคิดไปเอง?”
เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาแล้วจ้องไปที่ประติมากรรมนี้อีกครั้ง เขาเพ่งมองที่ลวดลายอย่างจริงจัง เขาได้เห็นภาพเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเห็นชายเปลือยกำลังเคลื่อนไหวด้วยท่าทางแปลก ๆ อย่างช้า ๆ
“เมอร์ลินนายกำลังทำอะไรอยู่?”
แอนสันได้เข้ามาสะกิดไหล่เมอร์ลิน ทำให้เมอร์ลินได้หลุดออกจากภวังค์
นอกจากนี้ คนอื่น ๆ ในห้องได้มองเมอร์ลินด้วยสายตาแปลก ๆ
“นายรู้มั้ยว่าศิลปวัตถุชิ้นนี้คืออะไร?”
เมอร์ลินได้ยื่นส่งประติมากรรมนี้ไปที่แอนสันอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนที่เขาได้เห้นภาพลวงตาสองครั้งติดต่อกัน ต้องมีบางอย่างผิดปกติกับประติมากรรมนี้
แอนสันมองประติมากรรมนูนอย่างละเอียดแล้วพยักหน้า “มันเป็นประติมากรรมนูนที่งดงามมาก มันก็น่าจะมาจากยุคของ
จักวรรดิมอลต้าเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่และอีกอย่างที่นี่ก็มีประติมากรรมนูนอย่างนี้อีกมากมาย หรือว่านายสนใจมัน”
เมอร์ลินได้ถามแอนสันต่อไปว่า “มีแค่นี้เองเหรอ? มีอะไรที่พิเศษมากกว่านี้มั้ย?”
“พิเศษงั้นเหรอ?”
แอนสันตรวจสอบประติมากรรมนูนอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ส่ายหัว “มันมีการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร ตามความเห็นของฉันนะ แม้ว่าฉันจะชอบทุกอย่างที่ทำมาจากหยกของจักวรรดิมอลต้าแต่ฉันไม่ค่อยชอบประติมากรรมนี้เท่าไหร่”
หลังจากพูดจบ แอนสันคืนประติมากรรมให้กับเมอร์ลิน
เมอร์ลินก้มมองประติมากรรมนูน เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาเห้นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมคนอื่น ๆ ถึงมองไม่เห็นเหมือนเขา
‘เป็นไปได้ไหมที่ฉันจะเห็นมันได้คนเดียว’
“คุณนาธานครับ ประติมากรรมนี้มีราคาเท่าไหร่ครับ?” เขาหันไปถามชายวัยกลางคน
เมอร์ลินต้องการซื้อและศึกษามันอย่างละเอียด
นาธานไปมองแอนสันและเปิดปากถามว่า “คุณชายแอนสันนี่คือ...”
แอนสันยังไม่ทันได้ตอบ กัตต์ได้เข้ามาตบบ่าเมอร์ลินและพูดพลางหัวเราะ “ฮ่าฮ่า…คุณนาธานนี่คือเมอร์ลิน เมอร์ลิน วิลสัน”
ดวงตาของนาธานเบิกกว้างทันที แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นเมอร์ลินมาก่อน แต่ชื่อของวิลสันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร ในแบล็กวอเตอร์ซิตี้มีครอบครัวของขุนนางเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีหรือที่นาธานจะไม่รู้จักตระกูลนี้
“โอ้ ผมนึกออกแล้ว คุณคือคุณชายเมอร์ลินสินะครับ ถ้าหากคุณชายชอบประติมากรรมชิ้นนี้จริงๆ ทางเราจะคิดเพียง 10เหรียญทองเท่านั้นเองครับ”
แอนสันเข้ามาใกล้ ๆ และกระซิบกับเมอร์ลินและบ่นว่า “เยี่ยมเลย ราคาแค่ 10เหรียญทองถือว่าไม่แพงเลย ราคาคุ้มค่ามาก”
เมอร์ลินพยักหน้า เขาเชื่อแอนสัน จากนั้นเขาก็หยิบเหรียญทอง 10เหรียญจากกระเป๋าของเขาและซื้อประติมากรรมนูนอันนั้น