บทที่ 27 ดันเจี้ยนมรดกและราชาแห่งขุนเขา (2)
"ถูกต้อง"
ชไวเซอร์ยิ้มจาง ๆ แล้วควันก็หายไป
ครร
ประตูบานใหญ่เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เฟรย์ซึ่งอยู่ห่างออกเพียงหนึ่งก้าวยืนอยู่ที่นั่นและดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ในที่สุดภายในของดันเจี้ยนก็ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตามเฟรย์ดูเหมือนจะไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
“…”
หลังประตูที่เปิดมานั่นเป็นห้องที่ใหญ่แต่ว่างเปล่า
ไม่...มันไม่ได้ว่างเปล่า
มีโลหะสองตัวยืนอยู่ที่นั่นซึ่งดูเหมือนจะทำจากโลหะที่เขาไม่รู้จัก
พวกมันคือโกเลมเหล็ก
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกกำจัดไปได้ง่ายๆเพราะแท้จริงแล้วพวกมันคือผู้พิทักษ์แห่งดันเจี้ยนใต้ดิน
พวกมันมีพลังมากจนแม้แต่เฟรย์ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้
เดิมทีห้องนี้น่าจะมีคาถาที่ทรงพลังบันทึกการวิจัยเวทย์มนตร์หรืออุปกรณ์ที่น่าทึ่ง
เฟรย์เคยคิดว่าไม่น่าจะมีใครมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้มาก่อน แต่เขาลืมที่จะคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามันอยู่มานานถึง 4,000 ปี
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของในดันถูกเอาออกไปตอนไหน”
เฟรย์หยุดชั่วคราวขณะที่เขามองไปรอบๆ อย่างเงียบๆ
‘พื้นที่นี้…มันเล็กขนาดนี้เลยเหรอ?’
เมื่อเขาตรวจสอบเกาะแล้ว ดันเจี้ยนก็ดูเหมือนจะใหญ่กว่าที่เขาเห็นมาก
ขณะที่เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนสายตาของเขาก็ถูกดึงไปที่ประตูอีกบานที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องขนาดใหญ่
ทางด้านขวาของประตูบานใหญ่ซึ่งดูเหมือนกับประตูที่เพิ่งเปิดออกไปนั่นคือหินอ่อนอีกอัน
เฟรย์เดินเข้ามาหาหินอ่อนนี้และผสมด้วยมานาของเขา
ตุยยยยย
เหมือนก่อนหน้านี้ควันได้พวยพุ่งออกมาอีกครั้งก่อนจะกลายร่างเป็นคนผมสีเทา
ชไวเซอร์ปรากฏตัวอีกครั้ง
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุมากขึ้นเล็กน้อย
ภาพลวงตาครั้งแรกเป็นของเด็กผู้ชายคราวนี้เขาปรากฏตัวเป็นชายหนุ่ม
“สำหรับคำถามที่สอง”
“คำถามที่สอง?”
“อา..ฉันอาจจะอธิบายไม่ถูก ยิ่งคุณเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่คุณก็จะได้รับไอเทมที่หายากมากขึ้นเท่านั้น และโปรดทราบว่าคุณสามารถนำออกได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”
ชไวเซอร์ไม่ได้ตอบสนองเขาจริงๆ
เพียงแค่ว่าช่วงเวลาของคำถามของเขาสมบูรณ์แบบมากจนดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสนทนากันจริงๆ
ชไวเซอร์ชี้ไปที่โกเลมเหล็ก
“ฉันจะไม่รับผิดชอบหากคุณตัดสินใจที่จะฝ่าฝืนกฎนี้ ฉันอาจจะให้อภัยคุณได้ แต่พวกเขาคงไม่ยอมแน่นอน”
จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างสดใส
“ถ้าคุณตอบผิดคุณจะถูกส่งตัวไปทันทีดังนั้นทำใจให้สบาย”
* * *
“ถ้าอย่างนั้นเรามาดูคำถามต่อไปกันดีกว่า”
ในขณะนั้นเฟรย์เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าเขารู้หลายเรืองเกี่ยวกับชไวเซอร์ แต่เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขารู้ทุกอย่างจริงๆ
เพราะทุกคนต่างก็มีบางสิ่งที่พวกเขาอาจไม่ต้องการที่จะเปิดเผย
นี่ก็คงเหมือนกันสำหรับลูคัสที่ถูกเรียกว่ามหาจอมเวทย์และชไวเซอร์ที่ถูกยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์
“แม่มดดำ ไอริสไพลส์ฟาวเดอร์ ฉันละไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
“…”
มันเป็นคำพูดลอยๆออกมา
เฟรย์เอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสับสน
เขารู้ว่าไอริสและชไวเซอร์ไม่สามารถเข้ากันได้เป็นพิเศษ แต่ ...
‘ไอริสมีปัญหาหรือเปล่า?’
เฟรย์หรี่ตาลงเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเป็นตัวเป็นตนของปริศนา เธอชอบที่จะซ่อนหลายๆอย่างและเธอก็ยังทำมันได้ดีอีกด้วย
ในขณะที่เฟรย์กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังชไวเซอร์ก็พูดต่อ
“เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจในขณะที่เรากำลังปกป้องโลก ในตอนแรกฉันไม่ชอบแม่มดคนนั้นมากเพราะฉันไม่เข้าใจวิธีคิดของเธอ ทำไมเธอต้องมามีความรักทั้งที่ทวีปกำลังจะกลายเป็นทะเลเพลิง?”
“ฮู…”
สิ่งนี้น่าสนใจ
เฟรย์เริ่มจำไอริสได้
เธอเป็นผู้หญิงที่มักจะมีรอยยิ้มลึกลับซึ่งเข้ากันได้ดีกับผมสีเข้มของเธอ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอพยายามยั่วยวนเพราะเธออดอยากความต้องการทางเพศจริงๆ หรือเป็นเพียงนิสัยทั่วไปของแม่มด
แต่เขาหมายความว่าอะไรนะ? มีผู้ชายที่ไอริสชอบหรือ?
ไม่เคยมีการนินทาใดๆ เกี่ยวกับการที่เธอมีความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนๆของเธอ
“ลูคัสไอ้บื้อนั่น เขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเห็นเลยว่าเธอกำลังอ่อยเขาอย่างโจ่งแจ้ง”
"…ฮะ?"
ใบหน้าของเฟรย์ซีดลงเล็กน้อยเมื่อชไวเซอร์พูดคำเหล่านั้น
“นายกำลังพูดถึงอะไร…?”
“อย่างที่ฉันพูดไปฉันไม่ชอบไอริสจริงๆ แต่เมื่อฉันเห็นใบหน้าของลูคัสซึ่งไม่แม้แต่เลิกคิ้วด้วยความเสน่หาของเธอแม้แต่ฉันก็โกรธเขา ฉันแน่ใจว่าพวกโกเลมหินพวกนี้จะสังเกตเห็นมันได้เร็วกว่าเขาอีก”
“…”
ในขณะที่เฟรย์ยังคงตกตะลึงจากการเปิดเผยหลังจากผ่านไป 4,000 ปีชไวเซอร์ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"อา....ฉันคงต้องพูดจนเมื่อยแน่ถ้าฉันต้องพูดอะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ชื่อไอริส มีปีศาจที่ทรงพลังสามตนที่เธอได้ทำสัญญาด้วย ในหมู่พวกเขามีคนหนึ่งที่ถืออาวุธที่แตกต่างกันในแต่ละมือและเป็นตัวแทนของการดำรงอยู่ของความดีและความชั่ว…”
“…อาชูร่า”
"ถูกต้อง!"
ครร
ประตูบานใหญ่ค่อยๆเปิดออกและฝุ่นก็ลอยขึ้น
ร่างของชไวเซอร์หายไปอีกครั้งหลังจากยิ้มที่สดใส
แทนที่จะก้าวไปข้างหน้าเฟรย์ลังเลในขณะที่แสดงออกอย่างซับซ้อน
‘…อย่าบอกนะว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรือยๆ?’
มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแอบดูไดอารี่ของเพื่อน
เขาคิดอยู่สักพักว่าเขาควรจะเข้าไปดีหรือเปล่า
เฟรย์รู้สึกหนักใจอย่างมาก
* * *
ห้องถัดไปก็ยังใหญ่เช่นเดิม แต่ไม่เหมือนห้องแรกคือมันไม่ได้ว่างแล้ว
อย่างไรก็ตามมีเพียงสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นของวิเศษ
[สร้อยข้อมือหิมะนิรันดร์]
มันเป็นเครื่องมือวิเศษที่ให้ผู้ใช้สามารถร่ายคาถาระดับ 7 ดาว ‘บลิซซาร์ด’ ได้สัปดาห์ละครั้ง
เรียกได้ว่าเป็นไอเทมสุดล้ำ
แต่เฟรย์ก็ผ่านมันไปทันทีโดยไม่ได้มองต่อแม้แต่วินาทีเดียว
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เฟรย์เดินเข้ามาอีกประตู
หลังจากเติมมานาของเขาใส่หินชไวเซอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
รอยยิ้มร่าเริงปรากฏบนใบหน้าของเขาดูเหมือนว่าเขามีอายุเพียงไม่กี่ขวบ
“แล้วคำถามต่อไป…”
“…”
ดันเจี้ยนใต้ดินนั้นยาวมาก โชคดีที่ไม่มีคำถามใดที่เฟรย์ไม่สามารถตอบได้
อย่างไรก็ตามคำถามส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะรู้
เขารู้ว่าชไวเซอร์เป็นคนแปลกๆ แต่เฟรย์ไม่คาดคิดว่าเขาจะตั้งคำถามในดันเจี้ยนใต้ดินเช่นนี้
คำถามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้ทางด้านเวทย์มนตร์เลย
เมื่อมาถึงห้องที่ห้าชไวเซอร์ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“คุณเป็นคนแรกที่มาได้ไกลถึงขนาดนี้”
แน่นอนที่สุด
ในห้องนี้มีไอเทมเวทมนตร์คาถาและหนังสือวิจัยมากมายของชไวเซอร์ซึ่งมีค่าอย่างมากหากนำออกไปข้างนอก
มีแม้แต่หนังสือเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้และม้วนหนังสือที่อัศวินหรือนักรบเวทย์มนต์สามารถใช้ได้
‘รองเท้าลาวา, เสื้อคลุมบินได้, หินอัญเชิญของโกเลมเหล็ก, ดาบแสงจันทร์…’
แม้ว่าจะเป็นพ่อมดทหารรับจ้างหรืออัศวิน แต่ของที่พวกเขาสามารถหาได้ที่นี่คือของที่พวกเขาจะยอมแม้กระทั่งขายวิญญาณของพวกเขาด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามเฟรย์เพียงเดินต่อไปในขณะที่เขามองไปที่มัน
ห้อง 5 ผ่านไป
ห้อง 6 ผ่านไป
ห้องอื่นๆผ่านอีกครั้ง
จนถึงจุดๆหนึ่งเฟรย์สูญเสียการนับจำนวนห้องที่เขาผ่านไป
‘นี่คือห้องที่สิบ’
“นี่คือห้องสุดท้าย”
ชไวเซอร์สวมรอยยิ้มตามปกติ แต่เฟรย์อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา
นี่คือชไวเซอร์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เคราสีขาวยาว หน้าตาที่มีริ้วรอยมากมายและตอนนี้เสื้อคลุมสีขาวของเขาดูเหมือนจะเข้ากับลักษณะโดยรวมของเขา
ครั้งสุดท้ายที่เฟรย์ได้เห็นชไวเซอร์ เขาอยู่ในวัยกลางคน
เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเก่าคนนี้ ‘แก่’ ขนาดนี้มาก่อน
เฟรย์อดไม่ได้ที่จะพึมพำแม้ว่าเขาจะรู้ว่าชไวเซอร์ไม่ได้ยินเขาก็ตาม
“แต่นั่นหมายความว่านายมีชีวิตอยู่นานกว่าที่ฉัน”
ร่างของเฟรย์เสียชีวิตเมื่อเขาอายุห้าสิบปีและวิญญาณของเขาก็ติดอยู่ในอเวจี
ตอนนี้ชไวเซอร์ดูเหมือนจะอยู่ในอายุประมาน 70 ปี ไม่มีท่าทีซุกซนก่อนหน้านี้ของเขาให้เห็นอีกเลย
แต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข และดูเหมือนกับรอยยิ้มแสนใจดีของชายผู้สูงอายุมากกว่า
เฟรย์ฟังสิ่งที่ชไวเซอร์พูด
“ลูคัสโทรว์แมน”
เมื่อพูดคำเหล่านั้นร่างกายของเฟรย์ถึงกับสั่นสะท้าน
เพราะชื่อของเขาถูกเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะมีความรู้สึกเศร้าอย่างสุดจะพรรณนา
“มหาจอมเวทย์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกด้วยเพียงอายุสี่สิบปี! ปรมาจารย์ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนในโลก! การได้เป็นเพื่อนกับเขาเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดในชีวิต”
"…ฉันเองก็ด้วย"
ริมฝีปากของเฟรย์กระตุกและเขารู้สึกคันในตา
"ฉันก็เองเช่นกัน"
“ฉันจะถามคุณเป็นคำถามสุดท้าย ชื่อจริงของฉันคืออะไร?”
“…!”
เฟรย์ตัวสั่น
เขารู้สึกเหมือนชไวเซอร์กำลังยิ้มและมองมาที่เขา
'คำถามนี้…'
บางทีในโลกทั้งใบอาจมีเพียง "ลูคัส" เท่านั้นที่จะรู้คำตอบสำหรับคำถามนั้น
ในเวลานั้นเฟรย์เริ่มรู้สึกว่าชไวเซอร์กำลังมองมาที่เขาจริงๆ
เหมือนเขากำลังมองเฟรย์ด้วยสายตาที่คาดหวัง
“ชไวเซอร์ไวลส์แมน”
ชไวเซอร์หัวเราะ
มันดูทั้งสดใสและสดชื่น
"ถูกต้องและ ... ทุกสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเป็นของนายนะลูคัส "
"นายรู้ด้วยหรอ? รอก่อน"
เฟรย์ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโหยหา เขารีบถามทั้งๆที่รู้ว่าเสียงของเขาไม่สามารถเข้าถึงได้
ชไวเซอร์ยังคงยิ้มและขยับริมฝีปาก
“…”
"เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรอะไร?"
เฟรย์ไม่ได้ยินคำพูดนั้น
ร่างของชไวเซอร์ค่อยๆหายไปราวกับผี