บทที่ 20 คำแถลง
สถาบันไซรัสเป็นสถาบันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งที่สุดสำหรับบรรดานักเวทย์ที่มีทั้งภูมิหลังและความสามารถที่ดีพอที่จะเข้ามาได้ มีสถาบันการศึกษาอื่นๆ อีกหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักรเซปิน แต่ไม่จำเป็นต้องพูดระดับระหว่างโรงเรียนระดับสองเหล่านั้นเมือเทียบกับไซรัสนั้นเพราะมันเทียบกันไม่ได้
ไซรัสเป็นเหมือนกับไททัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะสำเร็จการศึกษาจากสถาบันนี้จะได้รับการประกันอนาคตและชีวิตที่รุ่งเรือง มีข่าวลือว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับสูงสามารถเป็นองครักษ์ผู้ฝึกสอนหรือผู้นำเหล่าทหารของราชวงศ์ของราชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดในทวีปนี้ แน่นอนว่าบางคนเลือกที่จะไปในเส้นทางที่ต่ำต้อยกว่าและมุ่งเน้นไปที่การค้นคว้าวิจัยโดยเข้าร่วมกิลด์ของนักเวทย์ อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่านักเรียนของสถาบันไซรัสได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลของชนชั้นสูงที่แท้จริงแม้แต่ในหมู่ขุนนาง
ตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าผู้อำนวยการสถาบันดังกล่าว โดยปกติแล้วเด็กอายุแปดขวบคนใดคนหนึ่งจะมีความสุขมากที่ได้อยู่ต่อหน้าใครบางคนที่โด่งดังขนาดนี้ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรำคาญกับแขกที่ไม่คาดคิด
เธอเป็นผู้หญิงที่สูงมากยืนประมาณ 1.7 เมตรซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยสำหรับผู้หญิงที่นี่ เธอดูสุขุมและเที่ยงตรงในท่าทางของเธอ เธอสวมเสื้อคลุมสีกรมท่าเรียบง่าย แต่ดูสง่างามประดับด้วยด้ายสีทอง เธอสวมหมวกคอนเจอะเรอร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ดูเหมือนกรวยจราจรขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมของมานารอบๆ แต่บ่อยครั้งก็มาพร้อมกับฟังก์ชันอื่นๆด้วย
สายรัดที่ด้านข้างของเสื้อคลุมของเธอคือไม้กายสิทธิ์ที่เป็นผลึกสีขาวที่มีอัญมณีเรืองแสงติดอยู่ แม้แต่ดวงตาที่โง่เขลาของฉันก็สามารถบอกได้ว่าไม้กายสิทธิ์นี้มีค่ามาก
น่าแปลกที่ใบหน้าของเธอมีลักษณะที่นุ่มนวลซึ่งทำให้ฉันนึกถึงคุณยายที่เป็นมิตรข้างบ้านมากกว่าผู้มีอำนาจสำคัญๆทั้งหมด แต่ออร่าที่เธอมีอยู่รอบๆตัวทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้า
ริ้วรอยของเธอไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่สวยงามที่เธอมีได้ รอยตีนกาที่ฝังอยู่ที่ปลายด้านนอกของดวงตาสีน้ำตาลของเธอช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับรอยยิ้มของเธอเมื่อเธอแนะนำตัวเอง
“ยินดีที่ได้พบกับคุณในที่สุดอาเธอร์”
เธอพูดพลางยื่นมือออกไป
ฉันควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้? ฉันควรจะจับมือเธอหรือว่าคนที่มีอำนาจอย่างเธอคาดหวังให้ฉันจูบมือเธอ?
ฉันเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยและเลือกที่จะจับมือเธอ
“เอ่อ…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับผู้อำนวยการ”
ผู้อำนวยการดูตกใจเล็กน้อยกับการแนะนำของฉัน
“อาเธอร์! ลูกหยาบคายมากนะ! ดิฉันต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยค่ะท่านผู้อำนวยการ กู๊ดสกี้ เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านและไม่รู้เรื่องธรรมเนียมอย่างเป็นทางการ”
แม่ผลักหัวฉันลงด้วยมือของเธอขณะก้มตัวคุกเข่าข้างหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเมื่อพบคนที่มีฐานะสูงกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วจับมือในขณะที่โค้งคำนับ
ฉันนี่โง่จริงๆ
“คุคุคุ ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่รู้สึกว่าเค้าจะตั้งใจเสียมารยาทเลย และได้โปรดอาเธอร์เรียกฉันว่าซินเทียเถอะ”
เธอหัวเราะอย่างสุภาพโดยใช้มือข้างที่ว่างปิดปากไว้
“ฉันขอโทษที่ต้องรบกวนคุณในเวลาที่ค่ำเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เวลาว่างที่ฉันหาได้คือหลังจากการประชุมของคืนนี้ ฉันหวังว่าคุณจะไม่รังเกียจนะ”
เธออธิบายพร้อมมองไปที่พ่อแม่ของฉัน “ไม่ไม่ไม่ เรารู้สึกขอบคุณมากที่คุณเต็มใจสละเวลามาเยี่ยมลูกชายของเรา”
พ่อของฉันเป็นคนพูดในครั้งนี้
จากการพูดคุยด้วยท่าทางเป็นทางการฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าคุณยายคนนี้สามารถเทียบกับคุณปู่วิริออนได้หรือไม่
ผู้อำนวยการซินเทียพยักหน้าในเรื่องนี้
“จริงอยู่ไม่บ่อยนักที่ฉันจะเดินทางเพื่อมาเยี่ยมนักเรียนที่มีศักยภาพ มิฉะนั้นแม้จะมีร่างกายเป็นร้อย ฉันก็ไม่สามารถจัดการกับมันได้ทั้งหมด”
“อย่างไรก็ตามวินเซนต์เป็นเพื่อนที่ดีและมีส่วนร่วมอย่างมากกับสถาบันไซรัส ดังนั้นเมื่อเขาพูดคุยกับฉันด้วยความตื่นเต้นเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่อาศัยอยู่ในบ้านของเขาฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน ฉันต้องบอกว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นของฉันก็ได้ คุณช่วยพาฉันไปยังพื้นที่เปิดโล่งเพื่อที่ฉันจะได้ดูการสาธิตได้มั้ย?”
เธอพูดต่อไปสายตาของเธอจับจ้องมาที่ฉันอย่างประเมิน
“อย่างน้อยผมก็ขอทานข้าวเย็น…อุ๊ย!”
แม่ตบก้นฉันก่อนที่ฉันจะพูดจบประโยค
"แน่นอนค่ะ! เชิญคะท่านผู้อำนวยการซินเทีย”
แม่ของฉันทำหน้าที่ต้อนรับและนำฉัน ผู้อำนวยการซินเทียในขณะที่คนอื่นๆ ค่อยๆ ตามมา
ไม่นะอาหารเย็นของฉัน…
ซิลวีที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะอาหารค่ำจากมนุษย์ที่ไม่คุ้นเคยเดินมาข้างหลังฉันทำให้ผู้อำนวยการซินเธียเลิกคิ้ว
“โอ้นั้น…เป็นสัตว์มานาที่น่ารักจริงๆ ฉันคิดว่ามันเป็นสัตว์ที่ทำสัญญากับคุณใช่ไหมอาเธอร์?”
เธอถามฉันอย่างอยากรู้อยากเห็นในขณะที่คุกเข่าลงเพื่อดูซิลวีอย่างใกล้ชิด
“ใช่ครับ เธอฟักออกมาเมื่อสองสามเดือนก่อน เธอมีชื่อว่าซิลวี”
ฉันตอบกลับไปมือของแม่ยังคงจับที่ด้านหลังของเสื้อเพื่อไม่ให้ฉันหนี
“ฉันต้องบอกว่าในขณะที่พวกขุนนางชอบซื้อสัตว์มาทำเพื่อสัญญานั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ฉันไม่เคยเห็นสัตว์มานาแบบคุณเลย”
ฉันยักไหล่และอธิบายว่า
“ผมไม่แน่ใจว่าเธอเป็นตัวอะไรเหมือนกัน แม่ของเธอดูเหมือนจะเป็นหมาป่าที่มีเกร็ด เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วเมื่อผมบังเอิญเข้าไปในรังของเธอ เธอกำลังปกป้องไข่ของเธออยู่”
เธอเอื้อมมือเพื่อที่จะลูบซิลวีแต่เธอหนีไปและปีนขึ้นไปบนหัวของฉัน
“ขอโทษครับเธอขี้อายนิดหน่อยกับคนแปลกหน้า”
"ฉันเข้าใจละ เรามาหยุดเรื่องของสัตว์มานาแล้วมาดูว่าสิ่งที่วินเซนต์พูดนั้นไม่ใช่แค่การพูดเกินจริง เขาไม่ได้บอกอะไรฉันมากนอกจากว่าคุณเป็นออกเมนเตอร์และบอกว่าส่วนที่เหลือจะทำให้ฉันต้องประหลาดใจ”
เธอยิ้มออกมาทำให้วินเซนต์ถึงกับหน้าแดง
เรามาถึงสวนหลังบ้านและทุกคนต่างก็จับจองที่นั่งทำให้เรามีที่ว่างเพียงพอ ซิลวีพยายามดิ้นรนเพื่อหลบหนีจากเงือมมือของน้องสาวคนเล็กของฉันซึ่งฉันมอบหมายให้ดูแล
“คุณจะไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ของคุณหรือ”
ฉันพูดและเริ่มยืดเส้นยืดสาย
“มันคงจะไม่ยุติธรรมสำหรับฉันที่จะใช้อาวุธในขณะที่คุณเองก็ใช้แค่มือเปล่าเช่นกันใช่ไหม”
เธอขยิบตาให้ฉัน
เธอชี้ไปตรงจุดทันที
ฉันย่ำเท้าขวาของฉันลงไปที่พื้นและชิ้นส่วนของพื้นดินขนาดเท่ากับร่างกายของฉันก็พุ่งขึ้น มือของฉันอยู่ในกระเป๋าอย่างเกียจคร้านดังนั้นฉันจึงเตะหินไปที่ผู้อำนวยการซินเทีย
กำแพงลมปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอทันทีเคาะหินที่ฉันเพิ่งเตะขึ้นไปในอากาศ
โอ้การร่ายเวทย์ในทันที
ฉันเดาว่าเธอไม่ได้เป็นแค่ผู้อำนวยการที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
คิ้วของเธอเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจจากการโจมตีอย่างกะทันหันที่ฉันขว้างใส่เธอ แต่เธอก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ฉันบอกได้เลยว่าเธอไม่ได้คาดหวังการโจมตีจากฉันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ว่าฉันเป็นออกเมนเตอร์
ฉันบังคับให้ลมกระโชกใต้เท้าของฉันและขับเคลื่อนตัวเองไปหาเธอ
การแสดงออกของเธอทำให้ประหลาดใจมากขึ้นเมื่อฉันกระโดดขึ้นไปในอากาศสูงถึงสามเมตรได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือของทักษะธาตุลมของฉันและรวบรวมลมหมุนโอบล้อมที่กำปั้นขวาของฉัน ด้วยการใช้ก้อนหินที่ผู้อำนวยการพลักออกในการรักษาสมดุลฉันกระโดดออกไปเพื่อให้ได้แรงผลักดันเพียงพอที่จะฝ่าเวทย์ป้องกันของเธอไปได้
การปะทะกันของคาถาทั้งสองของเธอทำให้เกิดกระแสลมที่ไม่แน่ไม่นอนบังคับให้ผู้ชมต้องหาอะไรสักอย่างมาบังหน้าตัวเอง
การปะทะกันทำให้ฉันต้องถอยหลัง แต่ผู้อำนวยการซินเทียยังคงยืนนิ่ง ก่อนที่ฉันจะสามารถเตรียมตัว ผู้อำนวยการได้ดำเนินการเสร็จไปแล้ว โดยที่มันเป็นลมพายุหมุนสี่ลูกขนาดเท่าต้นไม้เล็กๆ ทั้งๆที่ไม่มีคำสั่งที่เห็นได้จากเธอพายุพวกนั้นก็วิ่งเข้ามามาทางฉัน
ฉันรวบรวมมานาแอตทริบิวต์ลมรอบตัวฉันเพื่อที่จะมีพายุทอร์นาโดขนาดเล็กก่อตัวรอบๆตัวฉันที่หมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคาถาของผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ ด้วยแรงเหวี่ยงที่เกิดจากพายุหมุนของฉัน ฉันเริ่มหมุนไปพร้อมกับมันโดยใช้มือของฉันสร้างใบมีดของลม
การปะทะกันระหว่างพายุทั้งสี่และพายุไซโคลนของฉันทำให้เกิดรอยแยกที่พื้นขนาดเล็ก แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ กับฉันนอกจากทำให้ฉันเวียนหัวมาก
“น่าประทับใจ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเอาจริงกับคุณมากกว่านี้สักหน่อย”
ทันทีที่ฉันถอยหลังหูของฉันก็ดังขึ้นและการมองเห็นก็ไม่มั่นคง
เธอเป็นดีวีเอินท ... นักเวทย์ที่ใช้เวทย์เสียง
ฉันยืนขึ้นเองอย่างมั่นคงโดยมองไปที่คู่ต่อสู้ของฉันที่จ้องมองกลับมาที่ฉันด้วยสีหน้าประทับใจเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ
หัวของฉันเริ่มปั่นป่วนพยายามคิดถึงการเคลื่อนไหวที่เป็นไปได้ต่างๆที่ฉันสามารถทำได้เพื่อชนะ แต่เธอรุกฆาตฉันไปแล้ว ฉันลดความภาคภูมิใจและความดื้อรั้นของฉันและนั่งลงบนพื้นยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
“นั่นน่าจะเพียงพอสำหรับการสาธิตใช่ไหมครับผู้อำนวยการ”
ฉันลูบขมับของฉัน
“ใช่…นั่นก็เพียงพอแล้ว”
เธอพึมพำ หยุดพักไปนานเมื่อเธอเริ่มศึกษาฉันด้วยความสนใจที่เพิ่งค้นพบ
เธอฟื้นคืนสติและเดินมาหาฉัน เมื่อฉันได้ยินเสียงของพ่อ
“อา - อาเธอร์…ลูกรู้วิธีใช้คาถาธาตุดินและลมด้วยหรือ?”
"คุณหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า 'ด้วยหรือ' ? "
ผู้อำนวยการซินเทียหยุดชะงักท่าทางที่ดูเรียบเฉยของเธอกลายเป็นความสับสน
แม่พ่อต่อจากพ่อที่กำลังงุนงง
“เขาลูกชายของฉันเราคิดว่าเขาใช่ได้แค่ธาตุไฟ เขาเป็นดีวีเอินทที่สามารถใช้เวทมนตร์สายฟ้าได้เช่นกัน!”
ฉันได้ยินเสียงหายใจของผู้อำนวยการซินเธียสั้นๆ และเป็นครั้งแรกที่เธอแสดงออกถึงความตกใจอย่างแท้จริง
“คะะ คุณพูดเล่นใช่ไหม…คุณหมายถึงว่าเขาสามารถควบคุมธาตุทั้งสามอย่างได้?”
“อันที่จริงสี่ ผมควบคุมได้ทั้งสี่ธาตุ”
ฉันพูดตัดบท ในเมือสุดท้ายแล้วทุกคนก็จะต้องรู้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการซ่อน
“ดินและลมเป็นองค์ประกอบที่แย่ที่สุดของผม ผมเชี่ยวชาญในการควบคุมไฟและน้ำมากกว่า ผมเป็นดีวีเอินททั้งสองธาตุแม้ว่าผมจะเพิ่งเริ่มฝึกฝนในองค์ประกอบเหล่านั้นก็ตาม”
ฉันลุกขึ้นยืนเพื่อสลัดอาการวิงเวียนศีรษะจากการโจมตีครั้งก่อน ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะมีนักเวทย์เสียงดังนั้นฉันจึงไม่สนใจที่จะเสริมมานาไปที่หูของฉัน ผู้อำนวยการค่อนข้างโหดร้าย ถ้าหากร่างกายของฉันไม่ได้ผ่านการดูดซึมการได้ยินของฉันคงจะเสียหายไปมากทีเดียว
ไม่มีใครตอบกลับในสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไปมีเพียงเสียงเดียวที่อยู่ใกล้ๆ คือเสียงของจิ้งหรีดร้องแบบโบราณ เป็นที่เข้าใจว่าพวกเขาต้องประหลาดใจ แต่ฉันเริ่มเบื่อกับการแสดงออกที่น่าตกใจ
ร่างอันสูงศักดิ์ที่ควบคุมโรงเรียนที่โดดเด่นที่สุดในทวีปเดินเซไปข้างหน้าแทบจะไปไม่ถึงเก้าอี้ จากนั้นเธอก็เริ่มหัวเราะโดยไม่คาดคิด เธอเริ่มต้นด้วยการหัวเราะเบาๆ แต่ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นการหัวเราะอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าเธอมีความสุขอย่างแท้จริง
ในที่สุดเธอก็หันกลับมาหาฉัน
"อาเธอร์ถ้าฉันขอพูดซ้ำ คุณใช้ธาตุได้สี่รูปแบบและยังสามารถควบคุมองค์ประกอบที่สูงกว่าได้สองอย่างถูกต้องหรือไม่?"
ฉันยังเป็นผุ้ฝึกมังกรอีกด้วย แต่สำหรับเรื่องนี้ ฉันสงสัยว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไรถ้าฉันบอกพวกเขาไป
“ถูกต้องครับ”
ฉันตอบทันทีโดยไม่ต้องอธิบายให้ละเอียด
“ทำให้ฉันดูหน่อย”
ดวงตาของผู้กำกับซินเทียกลายเป็นดุร้าและคราบคุณยายใจดีได้มีรูปลักษณ์ของนักฆ่าที่มีประสบการณ์ ขณะที่เธอยกมือขึ้นมานารอบๆตัวเธอก็ผันผวน
ทันใดนั้นลมสุญญากาศก็เริ่มดูดฉันเข้าหาเธอขณะที่มีลมที่มองเห็นได้ก่อตัวขึ้นในฝ่ามืออีกข้างของเธอ
ผู้หญิงคนนี้…
ฉันร่ายเวทย์น้ำใส่ฝ่ามือขวาและลูกบอลเพลิงที่ควบแน่นทางซ้ายของฉัน ถ้าเธออยากเห็นมาก ฉันก็จะแสดงให้เธอเห็น
เมื่อรวมทักษะการต่อต้านทั้งสองเข้าด้วยกันฉันได้สร้างไอน้ำก้อนใหญ่ขึ้นมาปกคลุมเราทั้งคู่จากสายตาของคนอื่น
เมฆไอน้ำมีผลกับนักเวทย์ลมได้ไม่นาน แต่มันทำให้ฉันมีเวลามากพอที่จะสร้างหอกน้ำแข็ง ฉันเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองอย่างรวดเร็วหลังจากขว้างหอกน้ำแข็งในขณะที่ไอน้ำสลายไป ตามที่คาดไว้ผู้อำนวยการบล็อกหอกน้ำแข็งของฉันได้อย่างง่ายดายก่อนที่ฉันจะอยู่ในระยะที่จะปล่อยหมัดที่ห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้า อย่างไรก็ตามเหมือนกับก่อนหน้านี้ฉันถูกคลื่นเสียงอันทรงพลังพัดกระเด็นกลับ โชคดีที่ฉันได้เสริมมานาไปที่หูของฉัน แต่ไม่มีทางที่ฉันจะเข้าใกล้เธอได้
“ต๊าย! ต้องบอกเลยว่าคุณทำให้ฉันมั่นใจได้เลย! คุณผ่านแล้วละอาเธอร์เลย์วิน”
เธอปรบมือและทำลายความเงียบ
ฉันลุกขึ้นมาและปัดฝุ่นตัวเอง การสาธิตนี้ทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน ฉันรู้สึกหงุดหงิดที่มีคนที่ฉันสัมผัสตัวยังไม่ได้เลยนับประสาอะไรกับการเอาชนะ อย่างไรก็ตามนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มพิจารณาคุณค่าที่จะได้เรียนรู้ที่ สถาบันไซรัสอย่างจริงจัง ถ้าฉันมีศาสตราจารย์ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ เวทมนตร์ของฉันก็จะก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
“ขอโทษที่ซ่อนเรื่องนี้จากพวกคุณนะครับ”
ฉันพูดพร้อมกับหันไปหาพ่อแม่ ฉันค่อนข้างกังวลว่าพ่อแม่ของฉันอาจจะโกรธที่เก็บเรื่องนี้ไว้จากพวกเขา แต่โชคดีที่พ่อของฉันรับมือได้ดี
“ลูกชายของฉันเป็นนักเวทย์ควอดราคนแรก!” (ควอดราแปลว่า 4)
เขาโอบรักแร้ฉันแล้วเหวี่ยงฉันไปรอบๆ เหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก
ทันใดนั้นความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจก็เริ่มกลับมา
“ได้โปรดนะลูกไม่มีความลับกันอีกแล้ว”
แม่ของฉันยิ้มเบาๆ ความกังวลยังคงฝังอยู่บนใบหน้าของเธอ
ฉันไม่สามารถสัญญากับเธอได้ แต่ฉันอยากจะเธอเชื่อว่ามันเป็นการปกป้องเธอไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบายของฉัน
“อย่าว่าแต่นักเวทย์ควอดราในทวีปนี้เลย แม้แต่นักเวทย์ทริปเปิ้ลยังมีน้อย นอกจากนี้อาร์ท…”
ทาบิธาพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“พี่ชายแข็งแรงไหมคะ?” น้องสาวของฉันเดินเข้ามาโดยยังคงจับซิลวีอยู่
ผู้อำนวยการพยักหน้า
“พี่ชายของคุณมีความสามารถที่จะแข็งแกร่งไปมากกว่านี้นะเด็กน้อย”
"ฮิฮิ!"
เธอมีสีหน้าที่ภาคภูมิใจราวกับว่าเธอเป็นคนที่ถูกชมเชย
ใบหน้าของวินเซนต์ยังคงไม่เชื่อสายตาตัวเองในขณะที่เขายังอยู่ระหว่างการประมวลผลทุกอย่าง เมื่อลิเลียแน่ใจว่าพ่อของเธอไม่เป็นไรเธอก็เหลือบมองไปยังทิศทางของฉันอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจและความกลัวเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ
ฉันไม่ได้ตำหนิเธอ
พ่อของฉันวางฉันลงและฉันหันไปหาผู้อำนวยการซินเทียและจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดัน ฉันรู้ว่ามันไม่เหมาะสมสำหรับเด็กอายุแปดขวบ
“ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ครับ จริงๆแล้วมีเหตุผลที่ผมไม่ซ่อนความสามารถของผมในวันนี้”
เธอพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“ฉันมีลางสังหรณ์ว่าคุณไม่ได้อยากจะอวดทักษะของคุณเท่านั้นนะอาเธอร์ คุณดูเฉียบคมเกินไปสำหรับเรื่องนั้น”
ฉันตอบตกลงกับเธอว่า
“มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ผมจะได้รับจากการเข้าเรียนในโรงเรียนของคุณ สิ่งหนึ่งคือการเรียนรู้วิธีใช้องค์ประกอบสายฟ้าและน้ำแข็งของผม อย่างไรก็ตามนั่นเป็นสิ่งที่ผมสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตามกาลเวลา ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมจะเข้าเรียนในสถาบันของคุณ ถ้าผมเลือกที่จะไปก็เพราะเพื่อการคุ้มครอง ตอนนี้ผมไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องทุกคน อย่างไรก็ตามคุณดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจและอิทธิพลที่สามารถรับรองความปลอดภัยสำหรับครอบครัวของผมและตัวผมอย่างน้อยก็จนกว่าที่ผมจะแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องพวกเขาด้วยตนเอง”
“อาเธอร์! ลูกกำลังพูดจาหยาบคายกับผู้อำนวยการกู๊ดสกี้นะ! ลูกพูดเช่นนั้นได้อย่างไร…”
“ไม่เป็นไรหรอกอลิซ”
ทันทีที่เธอพูดจบผู้อำนวยการก็พึมพำเบาๆ ก่อนที่จะพูดอีกครั้ง
“อาเธอร์ฉันเชื่อว่าคุณมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ด้วยเหตุนี้หากคุณยินดีที่จะเข้าร่วมสถาบันไซรัสและกลายเป็นพลเมืองที่ดีซึ่งจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องดินแดนของเขาฉันก็จะปฏิบัติตามที่คุณขอไว้”
เสียงของผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ชัดเจนและมุ่งมั่น
“ดีมากผมจะเรียนรู้สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามีค่าจากชั้นเรียนที่โรงเรียนของคุณมอบให้และฝึกฝนพลังของผม ตราบใดที่คุณให้เครื่องมือและอิสระในการทำเช่นนั้นรวมทั้งดูแลคนที่รักของผมให้ปลอดภัย ผมจะถือว่าคุณเป็นผู้มีพระคุณที่สำคัญ”
ฉันสัญญา
ริมฝีปากของผู้อำนวยการกู๊ดสกี้โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะที่เราจับมือกัน ทันใดนั้นฉันก็ได้เริ่มยินเสียงของคนอื่นๆ อีกครั้ง ฉันมองไปที่ผู้อำนวยการและเธอก็ขยิบตาให้ฉัน
จากรูปลักษณ์ที่สับสนของทุกคนรอบๆตัวเราฉันสามารถสันนิษฐานได้ว่าสิ่งที่ผู้อำนวยการกู๊ดสกี้ทำนั้นทำให้คนอื่นไม่ได้การสนทนาของพวกเรา
เพื่อชี้แจงให้กับคนที่ไม่ได้ยินฉันเลยพูดออกมาดังๆ ว่า
"ผมจะปฏิบัติตามข้อตกลงของเราเมื่อผมลงทะเบียนเรียนในสถาบันของคุณครับ"
“โอ้? คุณยังไม่ได้วางแผนที่จะสมัครเข้าเรียนในสถาบันของฉันในตอนนี้หรือ?”
ผู้อำนวยการและผู้ใหญ่คนอื่นๆ ทุกคนมีใบหน้าที่ดูเป็นปริศนา
“ผมไม่ได้วางแผนที่จะเข้าเรียนที่สถาบันไซรัสจนกว่าผมจะเข้าสู่วัยทั่วไปครับ ไม่สิผมได้ตัดสินใจว่าจะเข้าเรียนที่สถาบันของคุณในวันเกิดที่สิบสองซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยที่ได้เข้าเรียนที่สถาบันของคุณ ผมคิดว่าจะไม่เป็นปัญหานะครับ?”
ฉันเอียงศีรษะ
“โอ้ว! แต่นั้นคือเวลาอีกสามปีเลยนะ อาเธอร์ลคุณมีแผนว่าจะทำอะไรจนถึงตอนนั้นไหม?”
ฉันคิดว่าผู้อำนวยการกู๊ดสกี้คงไม่ยอมรับที่จะยืดเวลาการศึกษาออกไปนานถึงสามปี
ฉันหันไปเผชิญหน้ากับพ่อแม่อีกครั้งเพราะมันขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะอนุญาตหรือไม่
ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวที่ส่องแสง ซึ่งแตกต่างจากโลกเก่าของฉัน การไม่มีแสงไฟทำให้ท้องฟ้าตอนกลางคืนส่องแสงดาวสวยงามอย่างแท้จริง ฉันหันกลับไปมองว่าครอบครัวของฉันอยู่ตรงไหนและฉันตอบ
“ผมอยากจะเป็นนักผจญภัยครับ”