WS บทที่ 6 ศิลปวัตถุ PART 2
เมอร์ลินยังพอจำได้ว่าชายร่างอ้วนคนนี้มีชื่อว่า กัตต์ เขาได้พยายามนึกเรื่องของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยที่ยังคงสีหน้านิ่งเอาไว้
กัตต์มีชื่อเต็มว่า ของเขาคือกัตต์ ดั๊กแลนด์ ครอบครัวดั๊กแลนด์ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนักแต่ที่พวกเขามีสถานะอย่างตอนนี้ได้เป็นเพราะบรรพบุรุษของพวกเขาได้เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว เปลี่ยนสถานะจากคนธรรมดากลายเป็นเศรษฐีในเมืองแบล็กวอเตอร์ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ
โดยอัญมณีในเมืองแบล็กวอเตอร์กว่า 90% ได้รับซื้อขายโดยครอบครัวดั๊กแลนด์ ดังนั้นกัตต์ใช้จ่ายเงินซื้อของต่าง ๆ อย่างสุรุ่ยสุร่าย นี่จึงทำให้เขาสนิทกับคนอย่างเมอร์ลินและแอนสันได้อย่างรวดเร็ว
กัตต์นั้นอ้วนมากจนกินที่นั่งเพิ่มอีกหนึ่งที่ เขามีชั้นเดียวที่เรียวเล็กจนแทบจะเป็นเส้นตรง
เมื่อเขาได้เห็นเมอร์ลินกับแอนสัน เขาก็ดูร่าเริงขึ้นมาทันที เขารีบพูดว่า
“เร็วเข้า ๆ ฉันจองที่นั่งไว้ให้พวกนายแล้ว”
เมอร์ลินและแอนสันเดินไปยังที่นั่งและนั่งลง จากนั้นทั้งคู่เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับครูสอนประวัติศาสตร์คนใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง
เมอร์ลินส่ายหัวเล็กน้อยมองไปที่แอนสันและกัตต์หัวข้อที่พวกเขาคุยกันทั้งหมดนั้นมีแต่เรื่องผู้หญิง จึงไม่แปลกใจเลยที่เมซี่ส์ถึงห้ามเขาไปเที่ยวกับพวกเขา
ถึงอย่างนั้น เขาได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์จากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้เขาได้เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองคร่าว ๆ นี่เป็นชั้นเรียนมารยาทและสังคมสำหรับพวกขุนนางที่จัดตั้งขึ้นโดยพวกขุนนางในเมืองแบล็กวอเตอร์ จุดประสงค์ของคลาสนี้คือเพื่อสอนมารยาทของชนชั้นสูงโดยเฉพาะสำหรับคนอย่างพวกเขา
มารยาทของชนชั้นสูงนั้นประกอบไปด้วย ดนตรี ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศิลปะและอื่น ๆ
คนที่มาเรียนนั้นนอกจากพวกลูกขุนนางแล้วยังมีลูกของพวกเศรษฐีอย่างกัตต์ด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช้พวกขุนนางแต่การที่มาเรียนมารยาทที่นี่มันจะช่วยทำให้เขามีคอนเนคชั่นไว้ติดต่อกับพวกขุนนางได้ง่ายขึ้นในอนาคต
หลังจากนั้นไม่นานห้องทั้งห้องก็แออัด ผู้คนได้หลั่งไหลเข้ามาห้องอย่างต่อเนื่อง จากห้องที่ว่างเปล่าได้เต็มแล้วตอนนี้
เมอร์ลินคิดว่าทั้งห้องน่าจะมีราว ๆ 40คน
ในระหว่างนั้นได้มีชายร่างผอมบาง ผิวซีด เขาเดินผ่านประตูหน้าและดูเหมือนเขาจะตั้งใจเดินผ่านเมอร์ลิน เขามองไปที่เมอร์ลินและส่งเสียงไม่พอใจออกมา ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบเมอร์ลินมาก ๆ
เมอร์ลินได้มองเขาอย่างงง ๆ อยู่สักหนึ่ง เมื่อเมอร์ลินไม่ได้พูดอะไร เขาได้ส่งสายตารังเกียจและเดินไปนั่งในแถวหลัง
เมอร์ลินจำอะไรเกี่ยวกับชายคนนี้ไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้ไม่เป็นมิตรกับเมอร์ลิน
“เจ้าทีรอธอีกแล้วหรอ เมอร์ลินอย่าไปสนใจเขาเลย การแต่งงานระหว่างนายกับแอวริลได้ตัดสินไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะไม่พอใจยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก” แอนสันพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
เมอร์ลินพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขากำลังจะนึกเรื่องของทีรอธ โชคดีที่เขามีเพื่อนที่พูดมากอย่างแอนสัน ทำให้เขาได้รับข้อมูลต่าง ๆ จากเขามาได้มากมาย
ทีรอธเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลวิงกูลเช่นเดียวกับเมอร์ลินเขายังเป็นทายาทที่จะสืบทอดตำแหน่งบารอน ในความเป็นจริงแล้วความขัดแย้งของเมอร์ลินกับทีรอธนั้นไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นความขัดแย้งระหว่างครอบครัวมากกว่า
ที่มาที่ไปมันทีอยู่ว่า บารอนวิงกูลเคยตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง บังเอิญว่าวิลสันก็หลงรักเธอเช่นกัน ทั้งคู่มีการดวลกันอย่างลับๆ และในที่สุดก็เป็นเลห์แมน วิลสันที่เป็นผู้ชนะไปและได้รับผู้หญิงคนนั้นมาครอง เธอได้กลายเป็นภรรยาคนที่แปดในปัจจุบันของเลห์แมนและเป็นแม่ของเมซี่ส์
เมอร์ลินถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่คิดว่ามาดามหน้าอกใหญ่ทรงเสน่ห์ จะเป็นตัวจุดชนวนการต่อสู้ระหว่างชายผู้สูงศักดิ์สองคน ที่สำคัญเรื่องนี้ยังตามมาถึงรุ่นลูกด้วย
ทีรอธหลงรักแอวริลและครอบครัววิงกูลได้สู่ขอเธอกับตระกูลเพอร์แมน อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดบารอนเพอร์แมนได้อนุญาตให้แอวริลหมั้นกับเมอร์ลินแทน ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างครอบครัววิงกูลและครอบครัววิลสันจึงเกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น
“เมอร์ลิน ทีรอธเกลียดชังนายเข้ากระดูกดำ เขามักนำพาปัญหามาให้นาย นายต้องระวังเขาไว้ดี ๆ อยู่ให้ห่างจากเขาและอย่าต่อสู้กับเขา เห็นอย่างนี้เขาแข็งแกร่งมาก เขามีปฏิสัมพันธ์กับพลังธาตุดิน เขามีโอกาสที่จะเป็นนักดาบปฐพี พวกเราสามคนร่วมมือกันยังสู้เขาไม่ได้เลย”
แอนสันแนะนำให้เขาระวังทีรอธเอาไว้
“เขาก็เป็นนักดาบธาตุเหรอ?”
เมอร์ลินตะลึง แม้ว่าเขาจะมีโอกาสเห็นพลังของคนที่มีปฏิสัมพันธ์ธาตุ แต่เขาคงไม่โง่พอที่จะดาหน้าไปท้าทายเขาตรง ๆ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงรองเท้าบูทกระทบกับพื้นดังขึ้นมาจากนอกห้อง จากนั้นก็มีหญิงสาวก้าวขาเข้ามาในห้องทำให้ทั้งห้องเงียบลงทันที
ผู้หญิงคนนี้มีขาเรียวยาวที่สวมถุงน่องสีนู้ด เธอสวมเสื้อขนสัตว์แต่เสื้อไม่สามารถปกคลุมหน้าอกที่ใหญ่ของเธอได้ เธอมีร่างกายที่ร้อนแรงพร้อมกับท่าทีที่เย็นชา ด้วยทั้งสองอย่างนี้ทำให้เธอดูมีเสน่ห์มาก
“สมบูรณ์แบบ!”
แอนสันและกัตต์จ้องเขม็งผู้หญิงตรงหน้าอย่างหลงใหล
หญิงสาวตรงหน้าไม่สนใจเด็กหนุ่มที่จ้องมองเธออย่างลามก เธอเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวว่า
“ฉันเป็นครูสอนประวัติศาสตร์คนใหม่ของพวกเธอ พวกเธอเรียกฉันว่าจีอาได้”
“สมบูรณ์แบบ! ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าฉันจะได้พบกับผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เมอร์ลิน กัตต์ ผู้หญิงคนนี้ฉันจองนะ ตกลงมั้ย”
แอนสันดูเหมือนจะเริ่มพูดเพอเจ้ออีกแล้ว
กัตต์พูดด้วยความไม่พอใจ
“นายไม่เห็นสายตาของคนอื่น ๆ ที่จับจ้องเธอเหรอ? พวกเขาคงคิดไม่ต่างจากนายหรอกน่า ถึงเรื่องนี้จะยากไปสักหน่อยแต่ฉันว่านายน่าจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง ทุกคนต่างรู้ว่าคนที่มาเป็นอาจารย์ก็เพื่อหลอกล่อพวกขุนนางและแต่งงานกัน ให้ฉันลองสืบประวัติอาจารย์ก่อน อย่างน้อย ๆ มันจะช่วยให้นายใกล้ชิดเธอง่ายขึ้น”
เมอร์ลินถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่กัตต์พูดออกมา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่พอเขาได้ฟังข้อมูลที่พวกเขาพูดออกมา ทำให้เรื่องที่กัตต์พูดออกมาเริ่มจะมีมูล
อาจารย์หญิงส่วนใหญ่ที่นี่ พวกเธอมาที่นี่เพื่อหลอกล่อขุนนาง หากพวกเธอประสบความสำเร็จ พวกเธอจะสามารถยกระดับสถานะทางสังคมตามที่ต้องการได้
ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุที่ครูสอนประวัติศาสตร์คนก่อนหน้านี้ ไม่ได้มาสอนอีกเพราะเธอได้ตกลงได้เสียกับลูกชายของบารอน ดังนั้นอาจารย์ที่มาที่นี่โดยทั่วไปแล้วจะมีจุดประสงค์บางอย่างกันทั้งนั้น
จีอาดูสงบแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อนสนใจเธอ เธอได้พูดต่ออย่างเมินเฉย
“เอาล่ะ มาเริ่มเรียนกันก่อน วันนี้ฉันจะมาสอนเรื่องศิลปวัตถุ”
ทันทีที่เธอพูดจบ จีอาได้นำแหวนที่ดูสวยงามออกมาจากกระเป๋าของเธอ เธอยกมันขึ้นสูง ให้แสงแดดจากหน้าต่างได้กระทบกับพื้นผิวของแหวนส่งผลให้ตัวแหวนส่องแสงระยิบระยับออกมา