WS บทที่ 5 ศิลปวัตถุ PART 1
พริบตาเดียวช่วงเช้าก็ได้ผ่านพ้นไป ในการฝึกที่ผ่านมานี้ นักดาบเปโรได้มุ่งเน้นความสนใจไปที่ผู้ที่ปฏิสัมพันธ์พลังธาตุเท่านั้น ในทางกลับกันเขาได้ปล่อยให้คนอย่างเมอร์ลินและแอนสันที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์พลังธาตุได้ทำการฝึกฝนกันเองโดยที่เขาไม่สนใจใด ๆ
*แปะๆ*
นักดาบเปโรปรบมือเพื่อประกาศการสิ้นสุดของการฝึกดาบในตอนเช้า จากนั้นผู้คนได้ทยอยออกไป
เมซี่ส์ได้เดินมาหาเมอรลินกับแอนสัน เธอดูตื่นเต้นมาก ดูเหมือนว่าการฝึกของเธอจะก้าวหน้าขึ้นมาก จากการแนะนำของนักดาบเปโร
เธอได้สบตากับแอนสัน เขาได้หันควับไปทางอื่นเพื่อหลบตาสายตาของเธอ จากนั้นเขาก็ได้ทักทายเธอ
“สวัสดี คุณหนูเมซี่ส์”
“ฮึ!”
เมซี่ทำท่าไม่สนใจแอนสันและหันไปทางอื่น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบเขาเท่าไหร่
“พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
เมซี่ส์คว้าแขนของเมอร์ลินและพาออกจากลานฝึกอย่างรวดเร็ว
“เมอร์ลินเจอกันตอนบ่ายนะ!”
เมอร์ลินหันไปมองเห็นว่าแอนสันทำหน้าแปลก ๆ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปรถม้ากับเมซี่ส์
ภายในรถม้าเมซี่จ้องมองเมอร์ลินอย่างดุเดือดและเปิดปากพูดอย่างหงุดหงิด
“พี่เมอร์ลิน หนูได้บอกกับพี่ตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าออกไปเที่ยวเล่นกับแอนสันอีกแต่พี่ก็ไม่ฟัง เขาเป็นคนกะล่อนปลิ้นปล่อนเชื่อถือไม่ได้”
ดูเหมือนว่าเมซี่ส์จะไม่ชอบแอนสันจริง ๆ และมองว่าแอนสันทำให้เขาเสียคน
เขาลองมานึก ๆ ดู เขาสังเกตเห็นว่าแอนสันดูกลัว ๆ เมซี่ส์อย่างเห็นๆด้ชัด
“...ทำไมแอนสันถึงต้องกลัวเธอล่ะ?” เมอร์ลินถาม
“แอนสันไม่ได้บอกพี่เหรอ?”
เมซี่มองดูที่เมอร์ลินอย่างสงสัยแต่ในไม่ช้าเธอก็ดูเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว มันคงน่าอายเกินกว่าที่แอนสันจะพูดเอง”
เมซี่ส์ได้ยกกำปั้นขึ้นมาด้วยความโกรธ
“ฉันรู้มาว่าแอนสันได้พาพี่ไปเที่ยวกับผู้หญิง ดังนั้นฉันจึงจะสอนบทเรียนที่แสนเจ็บปวดให้เขาอย่างลับๆ
เมอร์ลินฟังอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนน้องสาวของเขาจะเป็นพวกหัวรุนแรงนิดหน่อยเพราะอย่างนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่แอนสันจะกลัวเธอและยิ่งเธอมีพลังกล้าแกร่งด้วยยิ่งทำให้เขากลัวเธอมากขึ้นไปอีก
ในขณะที่รถม้าวิ่งไปตามถนน เมอร์ลินได้ถามเมซี่ส์อย่างลังเลว่า
“เมซี่ส์ เวลาที่เธอใช้พลังงานธาตุ มันเป็นยังไงเหรอ?”
เมซี่ส์หันมามองเมอร์ลินอย่างความประหลาดใจ เธอเข้าใจว่าพี่ชายถามเธออย่างจริงจัง เธอได้กระซิบตอบว่า “จะบอกยังไงดี ตอนที่ฉันหลับตา ฉันก็สัมผัสถึงมันได้เลย แม้ว่าฉันจะยังไม่สามารถสร้างไฟขึ้นมาแต่ฉันก็รู้สึกถึงมันได้ ในตอนที่มันเคลื่อนผ่านร่างกายของฉัน หากฉันสามารถควบคุมมันได้ มันจะกลายพลังให้ฉัน”
เมอร์ลินพยักหน้าเล็กน้อย เขาหลับตาลงอย่างเงียบ ๆ และจับความรู้สึกตามที่เมซี่ส์อธิบายแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย บางทีผู้ที่ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับพลังธาตุได้แบบเขา คงไม่สามารถทำอย่างที่เมซี่ส์บอกมาได้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำให้แผนการในการเป็นนักดาบธาตุของเมอร์ลินล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็มาถึงปราสาทวิลสัน พ่อบ้านเตรียมอาหารกลางวันแสนอร่อยไว้แล้ว มีเนื้อแกะที่ถูกย่างจนเหลืองหอม
อย่างไรก็ตามเมอร์ลินกลับไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
ส่วนเมซี่ส์นั้นตรงกันข้าม เธอทานด้วยความเอร็ดอร่อย ในที่สุดลูกแกะทั้งตัวก็ถูกเธอกินทั้งหมด เธอได้เอนหลังและตบท้องอย่างอิ่มเอิบ เธอจ้องมองไปที่เมอร์ลินก่อนพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “นี่ท่านพี่เมอร์ลิน ฉันตั้งใจจะโดดเรียนการเรียนมารยาทในบ่ายนี้ เพื่อไปฝึกดาบต่อที่โบสถ์ ท่านพี่จะไปขี่ม้ากับมอสส์ก็ได้นะแต่พี่ห้ามไปเที่ยวกับแอนสันแบบเมื่อคืนอีก ไม่อย่างนั้นพี่ได้เจอดีแน่ ท่านพ่อบอกให้ฉันคอยจับตาพี่ตลอดเวลา”
เมอร์ลินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าเมอร์ลินคนก่อนจะเป็นคนเสเพล ไม่เอาอ่าว
หลังจากนั้น เมซี่ส์ได้ออกจากปราสาทไป เมอร์ลินรู้สึกว่าสภาพอากาศโดยรอบเริ่มเย็นลง ดังนั้นเขาจึงขึ้นไปชั้นบนเพื่อดึงเสื้อโค้ทหนามาสวม ก่อนจะลงมาขึ้นรถม้าและออกไปข้างนอกพร้อมกับมอสส์
ในรถม้า เมอร์ลินรู้สึกเครียดมาก เขาจำไม่ได้เลยว่าตัวเองมีเรียนมารยาทในตอนบ่ายด้วย นี่แสดงให้เห็นเขาแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย
ยังดีที่มอสส์เป็นคนเงียบ ๆ เขาไม่ได้ชวนคุยอะไรเลยตลอดทาง เขาทำหน้าที่เพียงแค่ไปส่งเมอร์ลินเท่านั้น
ผ่านไปพักใหญ่ เมอร์ลินก็ถึงที่หมาย เขาได้มองไปที่นอกหน้าต่าง ที่เบื้องหน้าของเขาเป็นอาคารสามชั้นที่ดูขลัง มีรั้วเหล็กเป็นสนิมที่ทางเข้า มียามนอนหลับขดตัวอยู่ในมุมที่อับในป้อมยาม ดูเหมือนยามจะรู้สึกถึงผู้มาเยือน เขาได้ลุกขึ้นมาเปิดประตูรั้วเหล็กอย่างง่วง ๆ
“สวัสดี คุณชายเมอร์ลิน ดูเหมือนว่าวันนี้คุณชายจะมาไวกว่าปกติ”
ชายชราผู้เป็นยามเฝ้าประตู เขาสวมเสื้อโค้ทหนา หน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อเจอกับอากาศที่หนาวเหน็บ เขาทักทายเมอร์ลินอย่างคุ้นเคย
เนื่องจากการสูญเสียความจำของเมอร์ลินเขาจึงไม่สามารถจำชื่อชายชราได้ เขาจึงได้แค่พยักหน้าและยิ้มเท่านั้น
จากนั้นเมอร์ลินจึงมุ่งหน้าไปยังอาคาร เสียงกระดานไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดตามฝีก้าวที่เขาเดิน
เขาหันไปมองภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีสันที่แขวนอยู่บนผนัง จากนั้นเขาก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย เขาเห็นห้อง ๆ หนึ่งที่มีเครื่องดนตรีมากมาย ดูเหมือนห้องนั้นจะเป็นห้องเรียนดนตรี
“เฮ้! เมอร์ลินนายมัวทำอะไรอยู่น่ะ วันนี้เรามีเรียนวิชาประวัติศาสตร์นะ ไม่ใช่วิชาดนตรี”
เมอร์ลินหันไปมองต้นเสียงที่คุ้นเคย เจ้าของเสียงนั่นคือแอนสันนั่นเอง
แอนสันเดินเข้ามาลากเมอร์ลินพาเขาขึ้นไปที่ชั้นสาม เขาได้หันมาขยิบตาให้เมอร์ลิน “รีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะพลาดที่นั่งดี ๆ นายรู้มั้ย ฉันได้ยินมาว่า อาจารย์สอนประวัติศาสตร์คนใหม่ที่จะมาสอนวันนี้น่ะ เป็นผู้หญิงและที่สำคัญเธอสวยมาก ฉันล่ะจะเห็นด้วยตาตัวเองนะว่ามันจริงมั้ย”
เมอร์ลินไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องไปไหน เขาจึงต้องตามแอนสันไปอย่างไม่มีทางเลือก
ในที่สุดเขาก็มาถึง ห้องโถงกว้างบนชั้นสาม ที่นั่นมีชายหญิงราว 12คน ที่แต่งตัวด้วยชุดหรูหรา นั่งอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในห้อง พวกเขาต่างกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่
เมื่อชายร่างอ้วนที่นั่งอยู่แถวหน้าได้สังเกตเห็นเมอร์ลินกับแอนสัน เขาได้โบกมือไปมาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยมมากกัตต์เพราะนายเลยทำให้เราได้ที่นั่งที่ดีที่สุด ทีนี้เราจะมองอาจารย์คนสวยอย่างเต็มตา!!”
แอนสันได้หันไปโบกมือและยิ้มทักทายชายร่างอ้วน