WS บทที่ 4 นักดาบธาตุ
เมอร์ลินมองนักดาบเปโรด้วยแววตาที่เปล่งประกาย ในขณะที่แอนสันพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาว่า “พลังของนักดาบเปโรดูเพิ่มมากขึ้นและทรงพลังมากขึ้นด้วย ครั้งที่แล้วยังไม่แข็งแกร่งเท่านี้เลย น่าจะเพิ่มราว ๆ สิบเท่าได้ หากเขายังฝึกฝนไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานเขาจะเลื่อนขั้นเป็นนักดาบเพลิงขั้นสอง นี่จะเป็นคนที่เลื่อนขั้นเร็วที่สุดในเมืองแบล็กวอเตอร์”
“นักดาบเพลิงงั้นเหรอ?”
เมอร์ลินรู้สึกทึ่งเมื่อเขาได้ยินนักดาบเปโร พูดถึงคำว่า “นักดาบธาตุ” ก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่เขาไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร เขาคิดว่ามันเป็นเพียงวิธีที่พวกเขาใช้ฝึกดาบแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีอะไรมากกว่านั้น
ความทรงของเขาฟื้นขึ้นมาเพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่เขายังจำไม่ได้ เรื่องของนักดาบธาตุก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เขายังจำไม่ได้ ทำให้เขากระตือรือร้นที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนักดาบธาตุแต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถสอบถามได้โดยตรง ไม่งั้นคนอื่นจะสงสัยเอาได้
ดังนั้นเขาจึงลอบถามแอนสันอย่างเนียน ๆ โชคดีที่แอนสันไม่ได้สงสัยอะไรเลย นอกจากนี้พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันเลยทำให้แอนสันได้เปิดเผยข้อมูลจำนวนมากโดยไม่ตั้งใจ
หลังจากที่เมอร์ลินได้ซักถาม ทำให้เขาได้รู้ว่านักดาบเปโรไม่ได้เป็นเพียงนักดาบธรรมดาๆ แต่เขาเป็นนักดาบธาตุที่ทรงพลัง!
ในโลกนี้หลายคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่เป็นองค์ประกอบธาตุ คนเหล่านี้สามารถดูดซับพลังธาตุที่มองไม่เห็นในสภาพแวดล้อมเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้โดยอัตโนมัติ เมื่อระดับขององค์ประกอบถูกสะสมในระดับหนึ่ง แรงสามารถนำออกจากร่างกายโดยวิธีการพิเศษและปะทุเป็นพลังอันทรงพลัง คนเหล่านี้ถูกเรียกว่านักดาบธาตุนั่นเอง
แน่นอนว่าดาบไม่ใช่เครื่องมือเพียงอย่างเดียวในการนำพาพลังธาตุเข้าสู่ร่างกาย ตัวอย่างเช่นบางคนที่มีความสัมพันธ์กับธาตุลมอาจกลายเป็นนักล่าที่น่าทึ่ง พวกเขาจะสามารถใช้ธาตุลมสนับสนุนการโจมตีด้วยธนู ดังนั้นแล้วเหตุผลที่พวกเขาถูกเรียกว่า นักดาบธาตุนั้นก็เพราะว่าเขาได้ใช้ดาบในการบ่มเพาะนั่นเอง
นักดาบเปโรนั้นเป็นนักดาบเพลิง อย่างไรก็ตามในกรณีของคอว์ธันกับเมซี่ส์ พวกเขามีได้เรียนรู้ที่จะทำพลังธาตุออกมาจากร่างกายแต่ทว่าพลังธาตุในร่างกายของพวกเขายังมีไม่เพียงพอเลยไม่สามารถนำออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกพวกเขาว่านักดาบธาตุที่แท้จริงได้
อย่างไรก็ตามตราบใดที่พวกเขามีความฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาอาจกลายเป็นนักดาบธาตุที่ทรงพลังเทียบเท่ากับนักดาบเปโรได้
เมอร์ลินรู้สึกตื่นเต้นมากที่รู้เรื่องนี้ เขาคิดว่าตัวเองอาจแข็งแกร่งแบบเดียวกับพวกเขาได้?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แอนสันพูดต่อไปมันได้ดับความฝันของเขา
“นักดาบธาตุนั้นที่พลังที่มหาศาลและทำให้อนาคตของพวกเขาเต็มไปด้วยเงินทองและชื่อเสียงแต่อย่างไรก็ตามเรานั้นไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพลังธาตุใด ๆ เลย สงสัยพวกเราคงถูกให้ลิขิตมาแล้วว่าให้เป็นคนธรรมดา ๆ นายยังดีที่น้องสาวของนาย เมซี่ส์สามารถปฏิสัมพันธ์กับธาตุได้ ไม่แน่นะว่าเธออาจได้กลายนักดาบเพลิงในอนาคต
แต่ถึงนายจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพลังธาตุแต่ก็เป็นทายาทโดยชอบธรรม นายจะได้รับตำแหน่งบารอนในเวลาที่เหมาะสมแต่ดูฉันสิ ฉันคงไม่ได้อะไรเลยเพราะฉันมีพี่ชายถึงสองคน...”
เสียงของแอนสันเริ่มเบาลง ในขณะที่เขาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้และในที่สุดเขาก็เงียบไป
“ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพลังงานธาตุ...”
เมอร์ลินได้พึมพำเบา ๆ ได้ข้อมูลสำคัญจากแอนสันว่าการจะเป็นนักดาบธาตุได้นั้น สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การปฏิสัมพันธ์พลังธาตุ
ยกตัวอย่างเช่นนักดาบเปโรที่มีความสัมพันธ์กับธาตุไฟ ที่สามารถนำธาตุไฟเข้ามาในร่างกายของเขาและนำพลังธาตุไฟพวกนั้นมาใช้งาน
โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์กับพลังงานธาตุสูงเท่าไหร่ คน ๆ นั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้นักดาบธาตุยังถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามพลังธาตุอย่างเช่น นักดาบเพลิง นักดาบน้ำแข็ง นักดาบวายุและอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่นักดาบธาตุที่จะมีอนาคตสดใสที่สุดก็คือนักดาบแสง พวกเขาส่วนใหญ่จะกลายเป็นกองกำลังนักรบศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์แห่งเทพแห่งแสง พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากโบสถ์ทำให้พวกเขามีความเร็วในการฝึกฝนมากกว่านักดาบธาตุอื่น ๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ว่าประเภทนักดาบธาตุประเภทใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคุณจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับพลังธาตุเสียก่อนถึงจะเป็นนักดาบธาตุได้ ดังนั้นสำหรับคนอย่างเมอร์ลินกับแอนสันที่ปฏิสัมพันธ์กับพลังธาตุไม่ได้นั้น พวกเขาไม่ต่างจะพวกไร้พรสวรรค์เลย
เหล่าคนที่มาฝึกดาบกับนักดาบเปโรนั้น แบ่งออกเป็นสามประเภท หนึ่งคือสามัญชนที่สามารถปฏิสัมพันธ์กับพลังงานธาตุได้ พวกเขาได้รับอนุญาตจากโบสถ์เพื่อมาฝึกฝนที่นี่ หากวันข้างหน้าพวกเขาได้กลายเป็นนักดาบธาตุ พวกเขาก็จะกลายเป็นพลังให้กับทางโบสถ์และผู้โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือคอว์ธัน
สองเป็นพวกลูก ๆ ของขุนนาง โดยปกติแล้วพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับธาตุสูงอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากทางบ้าน พวกเขาสามารถฝึกฝนได้ก้าวไกลกว่าพวกสามัญชน ถ้าหากพวกเขาได้เป็นนักดาบธาตุเมื่อไหร่ ครอบครัวของพวกเขาก็จะส่งไปเรียนต่อที่เมืองใหญ่และผู้ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มก็คือเมซี่ส์
ส่วนประเภทสุดท้ายก็จะเป็นคนอย่างเมอร์ลินและแอนสัน พวกเขาเป็นลูกขุนนางแต่พวกเขาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพลังงานธาตุใด ๆ เลย แม้ว่าพวกประเภทที่สามนี้จะมีฝีมือดาบที่ดีเยี่ยมจากการสั่งสอนจากนักดาบเปโรแต่หากเทียบกันแล้วช่องว่างของพลังนั้นมันห่างเกินไป
หลังจากนั้นไม่นานเมอร์ลินก็ได้หมัดที่ทรงพลังของคอว์ธัน เขาได้หันไปกระซิบถามแอนสันว่า
“แล้วการปฏิสัมพันธ์พลังธาตุของคอว์ธันล่ะ เป็นยังไงเหรอ?”
“คอว์ธัน? เขาน่าจะมีความเก่งที่สุดในหมู่พวกเรา เพราะเขาปฏิสัมพันธ์กับธาตุแสง อีกไม่นานเขาได้ก้าวกระโดดเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์ ตัวเขานั้นได้รับความสนใจจากทางโบสถ์ใหญ่ด้วย แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เป็นนักดาบธาตุแต่เขาก็ได้รับการยอมรับจากนักดาบเปโรให้เป็นลูกศิษย์ของเขา สำหรับเขาแล้วการที่เขาจะได้กลายเป็นนักดาบธาตุนั้นมันอยู่แค่เวลาเท่านั้นแหละ”
หลังจากแอนสันพูดจบ เขาได้หันไปมองคอว์ธันที่อยู่แถวหน้าสุด ด้วยแววตาที่เคลือบแคลงไปด้วยความอิจฉา
ราวกับแอนตันได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ท้อแท้ของเมอร์ลิน เขาได้พึมพำขึ้นมาว่า
“จริงอยู่ว่าคอว์ธันจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์แต่ทว่าเมซี่ส์น้องสาวของนายนั้นมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นไม่แพ้กันและอีกอย่างเธอยังปฏิสัมพันธ์ธาตุไฟเช่นเดียวกับนักดาบเปโร ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจและคอยฝึกฝนเธอด้วย ดังนั้นตระกูลวิลสันของนายจะสามารถอยู่รอดปอดภัยได้หลายสิบปี เทียบกับฉันแล้วสถานการณ์ของนายดีกว่าฉันมาก”
นั่นทำให้เมอร์ลินมีกำลังใจมากขึ้น เขาได้หันไปมองเมซี่ส์อย่างประหลาดใจที่ได้รู้ว่าเธอมีพรสวรรค์ขนาดนี้
นอกจากนี้ เขาได้สังเกตเห็นว่านักดาบเปโรได้เข้าไปฝึกฝนคอว์ธันกับเมซี่ส์มากกว่าคนอื่น ๆ ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีความคาดหวังในตัวคอว์ธันกับเมซี่ส์สูงมาก