WS บทที่ 3 อารยธรรมที่เหนือธรรมชาติ
เวลาในการสวดภาวนาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น พอสวดเสร็จก็จะมีเสียงระฆังดังขึ้น เหล่าผู้เข้าร่วมจะค่อย ๆ พาทยอยกันเดินออก
แต่เมอร์ลินไม่ได้มาสวดภาวนาเหมือนคนอื่น ๆ เขาก้าวเดินผ่านห้องโถงเดินตามหลังเมซีส์ไปยังสวนด้านหลังของโบสถ์ ที่นั่นเขาพบกับคนราว ๆ 20คน กำลังฝึกดาบโดยชายวัยกลางคน
เมซี่ส์เดินไปหาชายวัยกลางอย่างไม่สบายใจและพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า
“ท่านอาจารย์เปโร…”
ชายข้างหน้าคือนักดาบเปโรนั่นเอง เขาน่าจะอายุประมาณ 30ปี เขาสวมชุดเกราะสีเงิน ในมือของเขาถือดาบยาว ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยพลังอันแรงกล้าเปล่งประกายอย่างสง่างาม
เปโรเหลือบมองไปที่เมอร์ลินและเมซี่ส์ ก่อนที่จะพูดเบา ๆ ว่า
“ไปเข้าแถว”
เมซี่ส์ดีใจที่นักดาบเปโรไม่ได้ลงโทษพวกเขา จากนั้นเธอกับเมอร์ลินก็เดินไปรวมกับผู้ที่กำลังฝึกดาบอยู่
ด้วยความที่เมอร์ลินสูญเสียความทรงจำของเมอร์ลิน ทำให้เขารู้สึกสับสนและทำตัวไม่ถูก จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มผมสีแดงตะโกนใส่เขาจากด้านหลัง
“เมอร์ลินเร็วเข้า อย่ามัวชักช้า”
เด็กหนุ่มผมสีแดงตะโกนที่เมอร์ลินด้วยสีหน้าที่โอเว่อร์
เมอร์ลินมองชายผมแดงอยู่พักหนึ่ง ในไม่ช้าความทรงจำของเขาทำให้เขาก็รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาจึงเดินไปหาชายหนุ่มผมแดงอย่างรวดเร็ว
“เมอร์ลินนายมาสายอีกแล้ว ดูสีหน้าที่หงุดหงิดของลอร์ดเปโรนั่นสิ นายจะต้องเจอปัญหาแน่!”
ชายหนุ่มผมสีแดงกล่าว
เมอร์ลินขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาสนใจเรื่องการลงโทษจากนักดาบเปโรมากนัก แต่เขากำลังพยายามนึกเรื่องของชายหนุ่มผมสีแดงคนนี้อยู่ แม้ว่าความทรงจำของเขาจะหายไปบางส่วนแต่ความทรงจำที่เกี่ยวกับชายผมแดงยังคงอยู่ มันค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
ชายหนุ่มผมสีแดง มีชื่อแอนสัน เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเมอร์ลิน เขาเป็นบุตรชายของบารอน ตัวเขานั้นต่างจากเมอร์ลินตรงที่เขาจะไม่สืบทอดตำแหน่งบารอนจากครอบครัว เนื่องจากเขามีพี่ชายสองคนที่พร้อมจะทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว
แอนสันยังพูดจ้อต่อไป ส่วนเมอร์ลินนั้นกำลังรื้อฟื้นความทรงจำของเขาอยู่ จึงทำให้ไม่รู้ว่าแอนสันพูดอะไรไปบ้าง
ทันใดนั้นเอง สายตาของนักดาบเปโรหันมาทางพวกเขา แอนสันได้หยุดพูดแล้วเอายกมือขึ้นมาปิดปากทันที
จากนั้นนักดาบเปโรขยับสายตาของเขาแล้วชี้ไปที่ชั้นวางอาวุธใกล้เขา ที่นั่นมีอาวุธทุกประเภท ได้แก่ ดาบใหญ่ โล่ มีดสั้น ดาบใบโค้ง ขวานยักษ์และอื่น ๆ
“เมอร์ลิน แอนสัน หยิบโล่เหล็กนี่แล้วมาที่กลางสนาม”
ใบหน้าของแอนสันซีดลงอย่างรวดเร็ว เขาฝืนยิ้มและหันไปหาเมอร์ลิน
“พวกเราตายแน่ นายเป็นคนที่มาสายแต่ฉันกลับต้องมารับเคราะห์ด้วย”
แม้แอนสันจะบ่นแต่เขาก็ขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมกับเมอร์ลิน พวกเขาเดินไปที่ชั้นวางอย่างรวดเร็วและหยิบโล่เหล็กมา
ตัวโล่นั้นมีไม่ใหญ่มากแต่กลับหนักอย่างคาดไม่ถึง เมอร์ลินและแอนสันได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายกลับยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมอร์ลินคิดว่าหนักขนาดนี้ใครจะยกมันขึ้นมาได้ แล้วถ้าเกิดพวกเขาทำไม่ได้ พวกอาจต้องเจออะไรที่เลวร้ายกว่านี้?
หลังจากที่เมอร์ลินกับแอนสันได้พยายามอยู่พักใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็ยกโล่ไปที่กลางสนามฝึกได้สำเร็จ พวกเขาวางมันไว้บนก้อนหิน พวกเขาถอยหลังไปเล็กน้อยและอยู่รอคำสั่งต่อไปจากนักดาบเปโร
แต่อย่างไรก็ตามนักดาบเปโรหาได้สนใจเมอร์ลินกับแอนสันไม่ เขาได้เปิดพูดกับคนที่เหลือว่า
“พวกเธอทุกคนได้ฝึกฝนมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันเลยอบากจะทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเธอในวันนี้ ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองสามารถทำลายโล่นี้ด้วยมือเปล่าได้ ก้าวเท้าออกมาได้เลย”
สีหน้าของเมอร์ลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากับแอนสันต่างหมดแรงเพียงยกมาแค่นี้ มันน่าจะทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นว่าโล่มันแข็งมากเพียงใด ใครก็ตามที่สามารถทำลายโล่นี้ด้วยมือเปล่าได้ เขาคนนั้นต้องมีร่างกายที่ไม่ธรรมดาแน่นอน เขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่มีใครที่ดูจะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น
ทำให้เขาคิดว่านักดาบเปโร อาจต้องการตรวจสอบความกล้าหาญของพวกเขาเท่านั้น
“ท่านอาจารย์ ฉันอยากลอง”
ในไม่ช้า ชายกำยำลุกยืนขึ้นและพูดกับนักดาบเปโร
นักดาบเปโรพยักหน้าและตอบกลับว่า “ดีมาก เอาเลยคอว์ธัน!”
แอนสันได้หันมาพูดเบา ๆ กับเมอร์ลินว่า
“เอาอีกแล้ว เขามันเป็นศิษย์คนโปรดของนักดาบของเปโร เขามักจะอวดเบ่งราวกับว่าเขาอยู่เหนือทุกคน”
คอว์ธันก้าวเข้ามาใกล้ๆ โล่ เขาหายใจเข้าลึก ๆ กำหมัดแล้วเริ่มรวบรวมพลัง
*ปัง*
ทันใดนั้น คอว์ธันชกลงบนโล่เหล็กอย่างแรง หมัดนั้นเร็วมาก มันแสดงให้เห็นว่าเขาได้ใส่พลังทั้งหมดลงไปในหมัดนั่น
เมอร์ลินสังเกตเห็นว่าหมัดของคอว์ธันมีออร่าสีขาวเปล่งออกมาอยู่รอบ ๆ
จากนั้นคอว์ธันได้ถอนกำปั้นออก เผยให้เห็นตัวโล่ที่ยังปกติดีไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ
นักดาบเปโรส่ายหัวแล้วพูดเบา ๆ ว่า “นี่คอว์ธันอย่าใช้พลังอย่างบ้าบิ่นจนเกินไป จงจำไว้ว่า พลังธาตุจะทรงพลังมากที่สุด หากใช้หัวใจของเธอนำทาง พลังธาตุนั้นเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนักดาบธาตุ”
เห็นได้ชัดว่าคอว์ธันเองก็ไม่พอใจกับผลงานตัวเองเช่นกัน เขาโค้งคำนับให้นักดาบเปโรก่อนจะกลับไปนั่ง
“ฮิฮิ ถึงคอว์ธันจะมีความสามารถแต่ดูเหมือนเขาคงต้องใช้เวลาอย่างมากถึงจะกลายเป็นนักดาบธาตุได้”
แอนสันหัวเราะเยาะความพยายามที่ล้มเหลวของคราวตัน แม้ว่าเมอร์ลินจะดูสงบนิ่งอยู่แต่ภายในกลับพลุกพล่านไปด้วยความอยากรู้ของเขา
แม้ว่าเมอร์ลินที่ยืนห่าง ๆ แต่เขารู้สึกถึงแรงลมที่มาจากการปล่อยหมัดของคอว์ธัน หมัดนั้นทรงอานุภาพมาก พลังเช่นนี้คนธรรมดาไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
นนอกจากนี้ สิ่งที่เขาสงสัยอีกอย่างก็คือ มือของคอว์ธันไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีรอยชกช้ำอะไรเลย ภายหลังจากที่เขาได้ชกโล่อย่างรุนแรงเช่นนี้ เรื่องพวกนี้มันเหนือความเข้าใจของเมอร์ลินไปแล้ว
“ใครอยากจะลองอีก”
นักดาบเปโรลองถามอีกครั้งในขณะที่มองพวกนักเรียน.
“ท่านอาจารย์คะ ฉันอยากจะขอลองดูค่ะ”
เสียงฟังดูคุ้นเคย ดวงตาของเมอร์ลินได้หันไปมองแล้วพบว่าเจ้าของเสียงนั่นคือเมซี่ส์ น้องสาวของเขา
นักดาบเปโรพยักหน้า “อืม ลองดูเลย”
เมซีส์รีบไปที่โล่และขยิบตาให้เมอร์ลิน จากนั้นเธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ
แอนสันได้จ้องตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาที่เป็นประกาย
*ปัง*
หมัดของเมซีย์นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าคอว์ธันเลย เมอร์ลินมองอย่างละเอียด เขาสังเกตเห็นแสงประกายรอบกำปั้นของเมซี่
แสงสลัวปกคลุมเป็นระยะ ๆ รอบ ๆ กำปั้นของเมซี เช่นเดียวกับคอว์ธัน เมซี่ก็ไม่ได้บาดเจ็บหลังจากการชก ราวกับว่าเธอไม่ได้สัมผัสกับโล่เหล็กนั่น.
‘จริง ๆ แล้วเมซีส์แข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมฉันถึงจำเรื่องนี้ไม่ได้เลยนะ’
เมอร์ลินรู้สึกว่าบางส่วนของความทรงจำที่สำคัญนั้นได้หายไปจากหัวของเขา
“มีใครอยากจะลองอีกมั้ย?”
นักดาบเปโรถามอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่มีใครก้าวไปข้างหน้า ดังนั้นนักดาบเปโรจึงลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเดินไปที่โล่ ทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียง
“ความลับที่แท้จริงของนักดาบธาตุ มันอยู่ในพลังธาตุที่ไม่มีใครอาจเทียบได้ เพียงแค่เรานำออกมาใช้อย่างระมัดระวัง มันจะทำให้เราได้รับพลังที่มหาศาล!”
ทันทีที่นักดาบเปโรกล่าวเสร็จ เขาได้กำหมัดขวา ในพริบตาก็มีเปลวไฟพุ่งออกมาจากมือของเขา แขนของเขาดูเหมือนจะถูกห่อด้วยเปลวไฟ
*ตึง!!!*
*แคร่ก*
นักดาบเปโรชกกำปั้นไปที่โล่ ทำให้โล่ที่แข็งแกร่งได้พังทลายทันทีราวกับแผ่นไม้ เศษเหล็กได้กระจัดกระจายลงบนพื้น แม้แต่หินที่อยู่ด้านหลังโล่ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
“นะนี่มันพลังเหนือธรรมชาติ?”
เมอร์ลินจ้องมองพร้องอ้าปากค้าง หัวสมองของเขาว่างเปล่า ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเกินความรู้ ความเข้าใจของเขาไปแล้ว
‘ร่างกายของมนุษย์ที่สามารถปลดปล่อยเปลวไฟได้และพลังของนักดาบเปโรเทียบเท่ากับระเบิดลูกเล็ก ๆ’
ในตอนแรกเมอร์ลินคิดว่าโลกที่เขาข้ามภพมานั้น เป็นโลกที่มีอารยธรรมที่ล้าหลัง แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ที่นี่มันต้องมีอะไรที่เขาต้องค้นหามากกว่านี้แน่นอน
สำหรับการชกโดยนักดาบเปโรนั้น มันช่วยพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า โลกนี้เป็นโลกของผู้ที่ใช้พลังที่เหนือธรรมชาติ