WS บทที่ 2 โลกที่ล้าหลัง
เสียงหมุนล้อของรถม้าที่เคลื่อนที่ไปตามท้องถนนของเมืองแบล็กวอเตอร์ได้ดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดการเดินทาง ถนนที่นี่ปูด้วยหินสีน้ำที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอทำให้รถม้าโคลงแคลงตลอดการเดินทาง
เมอร์ลินนั่งอยู่ข้าง ๆ เมซี่ส์ เขาได้กลิ่มหอมอ่อน ๆ ลอยมาจากตัวเธอ แต่อย่างนั้นมันก็ไม่ช่วยอะไรเขามากนัก เขาต้องทนนั่งรถม้าที่โคลงแคลงแบบนี้ไปจนถึงที่หมาย เมื่อไม่มีทางเลือก เขาเลยปรับท่านั่งของตัวเองให้สบายมากขึ้น เขาได้เอนหลังและยกขาขึ้น ท่านี้ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายมากขึ้น
เมซี่ส์มองเขาด้วยหางตาเป็นระยะๆ เธอมองที่ขาของเมอร์ลินและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่เมอร์ลิน พี่วางขาแบบนี้ไม่ถูกนะ พี่จะต้องทำตัวให้เหมือนพวกขุนนางให้มากกว่านี้”
“รู้แล้วล่ะน่า ฉันของีบสักหน่อยได้มั้ย เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับเลย”
เมอร์ลินตอบด้วยความเฉยเมย ในขณะที่เขากำลังวางขาในท่าที่รู้สึกสบายที่สุด
เมซี่ส์ไม่ได้ส์โต้ตอบเมอร์ลินแต่ประการใด เธอกัดริมฝีปากของเธอเบา ๆ และแสดงความกังวลบนใบหน้าของเธอ เธอถามอย่างระมัดระวังว่า
“ที่ท่านพี่เป็นแบบนี้ มันเป็นเพราะแอวริลรึเปล่า?”
เมอร์ลินไม่ตอบดังนั้นเมซี่จึงพูดต่อ
“ที่จริงท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอกนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แอวริลได้หมั้นกับพี่อย่างเป็นทางการไปแล้ว ยังไงซะครอบครัวของเพอร์แมนกับครอบครัววิลสันก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน ยังไงเธอจะต้องแต่งงานกับท่านพี่ในที่สุด แต่ก่อนอื่นพี่จะต้องเลิกทำตัวเหยาะแหยะแบบนี้ซะทีและใช้ความพยายามมากขึ้นในการทำให้แอวริลมองพี่ในแง่ที่ดีขึ้น”
แม้ว่าเมอร์ลินปิดตาของเขาไว้แต่เขาก็ไม่ได้นอนหลับ เขาได้ทบทวนสิ่งที่เมซี่ส์พูดทุกคำ
‘แอฟริลเป็นคู่หมั้นของฉันงั้นเหรอ? แต่จากสิ่งที่เมซี่ส์ได้บอกฉัน ดูเหมือนว่าแอวริลจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไหร่…ทำไมฉันถึงจำเรื่องนี้ไม่ได้นะ?’
เมอร์ลินฟื้นความทรงจำได้เพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหลือนั้นหายไปตลอดกาล เพื่อไม่ให้คนรู้ความจริง เขาจำเป็นต้องสงบปากและตั้งใจสิ่ง ๆ ที่คนอื่นพูด
โดยข้อมูลของแอวริล มันจะต้องเป็นข้อมูลสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง เมอร์ลินเก็บความอยากรู้นี้ไว้ในใจของเขา
เมอร์ลินเริ่มหงุดหงิดมากหลังจากนอนลงไปครู่หนึ่ง เขาเปิดหน้าต่างของรถม้าออก จากนั้นสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในรถม้า
“นี่เข้าฤดูหนาวแล้วหรอ” เมอร์ลินอุทานพลางตัวสั่น ตอนนี้เป็นเดือนกันยายนซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง ดูเหมือนว่าฤดูหนาวจะมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
“นั่นสิ ดูเหมือนอากาศหนาวจะมาเร็วกว่าที่ผ่านมา”
เมอร์ลินได้กระชับเสื้อผ้าของเขาไว้แน่นรอบตัวเขาขณะที่เขางอตัวเข้าไปมุมรถม้าอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมีละอองฝนอยู่เบาบาง มีผู้คนเดินบางตาไปมาตามท้องถนน นอกจากนี้ยังมีคนจรจัดคุกเข่ากับพื้นเพื่อร้องขอเศษเงินจากผู้ที่เดินผ่านไปมา
คนเร่ร่อนเหล่านี้นุ่งห่มเพียงผ้าหยาบ ๆ ที่พวกเขาอาจเก็บได้จากที่ไหนสักแห่ง และพวกเขาก็ดูผอมแห้งเหมือนซากศพ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นอกจากนี้ยังมีเด็กเล็ก ๆ หลายคนในหมู่พวกเขา
ผู้คนต่างแสดงท่าทีเหยียดหยามพวกเขา บางคนเดินผ่านถึงกับปิดจมูกและเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
ดวงตาของเมอร์ลินกวาดสายมองผ่านพวกคนจรจัดอย่างไม่สนใจอะไรมากนัก เขาหันไปมองกลุ่มอัศวินที่แออัดไปตามถนนด้วยความสนใจ
อัศวินเหล่านี้สวมชุดเกราะที่มีแสงสีน้ำเงินออกมาล้อมรอบร่างกาย พวกเขาถือโล่และดาบยาว
ฝูงชนบนถนนต่างมองพวกอัศวินอย่างหวาดกลัว เด็กบางคนได้มองพวกอัศวินอิจฉา พวกเด็ก ๆ อยากจะสวมชุดเกราะแบบพวกเขา
เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าอัศวินเหล่านี้เป็นใคร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าถามเมซี่ส์ เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี
เมซี่ส์มองพวกอัศวินอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบพวกเขาเท่าไหร่นัก เธอพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า
“นั่นเหล่าอัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย อยู่ไปวัน ๆ ไม่ทำอะไร พวกเขาจะรู้มั้ยนะว่าหมู่บ้านที่อยู่รอบ ๆ เมืองได้ถูกพวกโจรบุกปล้นสะดมเมื่อไม่นานมานี้เอง”
เมอร์ลินยังคงนิ่งเงียบ เขาเก็บข้อมูลนี้ไว้ในหัวของเขา เขาเพิ่งมาถึงในโลกนี้และความทรงจำของเขายังกระจัดกระจายและไม่ชัดเจน เขาไม่สามารถออกความเห็นใดๆ ได้เลย
เมอร์ลินลอบสังเกตเหล่าอัศวิน แม้ว่าพวกเขาจะมีเพียงร้อยคนแต่พวกเขาทุกคนดูมีความพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่ได้ดูไร้ประโยชน์อย่างที่เมซี่ส์ได้กล่าวไว้เลย
อัศวินเหล่านี้กำลังเตรียมจะออกจากเมืองแบล็กวอเตอร์ จากนั้นพวกเขาก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่จะหายไปจากสายตาของเมอร์ลิน
*ฟิ้วว*
ลมหนาวได้พัดมาอีกครั้ง ทำให้เมอร์ลินรีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานนัก รถม้าก็ค่อยๆ หยุดลง คนขับรถม้า มอสส์ ได้กล่าวอย่างสุภาพว่า
“คุณชายเมอร์ลิน คุณหนูเมซี่ส์ เรามาถึงโบสถ์แล้วครับ”
“เอาล่ะ ถึงโบสถ์แล้วรีบลงมาเร็วเข้า!!”
เมซี่ส์กระโดดลงจากรถทันที เมอร์ลินลงตามมาทีหลัง เขาเหยียดร่างกายแล้วขยับคอที่แข็งทื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมองโบสถ์แล้วลงจากรถม้า
โบสถ์แห่งนี้ใหญ่โตมากมีพื้นที่กว้างขวาง ใหญ่พอ ๆ กับสนามฟุตบอลสี่ถึงห้าแห่ง มีผู้ศรัทธาและขุนนางที่แต่งกายด้วยชุดชนชั้นสูง พวกเขาทั้งหมดมาที่โบสถ์เพื่อสวดมนต์ในตอนเช้า
อาณาจักรแห่งแสงได้มีความศรัทธาต่อเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง โดยหลาย ๆ เมืองต่างนับถือเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ผู้คนต่างมาเยี่ยมเยียนโบสถ์เพื่อสวดอ้อนวอนในตอนเช้าอย่างเนืองแน่น
เมอร์ลินก็เดินผ่านฝูงชนไปที่โถงของโบสถ์ บนผนังสีขาวด้านในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่หลายภาพ ภาพเขียนที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาเหล่านี้เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนาที่ยกย่องเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง
เมอร์ลินสังเกตว่าบนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ตั้งอยู่ตรงกลางด้านขวาเป็นรูปเทพเจ้าที่สูงล้อมรอบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ แสงสีขาวห่อหุ้มผู้ศรัทธาหลายคนรวมถึงผู้สูงอายุ เด็กผู้ชาย ผู้หญิง ขุนนาง สามัญชน และแม้แต่อาชญากร ใบหน้าของคนเหล่านี้ถูกชะล้างด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ และสงบสุขภายใต้แสงอันศักดิ์สิทธิ์นั้น
ชื่อของจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนานี้เรียกว่าพระเจ้าทรงรักโลก มันถูกเขียนในภาษาศักดิ์สิทธิ์ของแสง จากความทรงจำที่สืบทอดโดยเมอร์ลินเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ในภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้
นอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ที่ชื่อว่าพระเจ้าทรงรักโลกแล้ว ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอื่น ๆ อาทิเช่น พระเจ้าผู้ขับไล่ความมืด พระเจ้าทรงนำแสงสว่าง พระเจ้าลงโทษผู้ชั่วร้าย พระเจ้าทรงประทานพรปาฏิหาริย์ แม้ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังจะแสดงเรื่องราวที่แตกต่างกัน แต่ความหมายที่พวกเขาต้องการสื่อนั้นเหมือนกัน ทุกคนชื่นชมการกระทำอันน่าสรรเสริญของเทพแห่งแสงสว่าง
ผู้ศรัทธาต่างก้มศีรษะของพวกเขา และกุมมือลงที่หน้าอกของพวกเขา ขณะที่พวกเขาสวดอ้อนวอนภายใต้การนำของผู้นำสวด ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเสียงสวดมนต์ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มากมายภายในโบสถ์อันกว้างใหญ่
เมอร์ลินได้นึกย้อนไปถึงคนเร่ร่อนก่อนหน้านี้ที่อยู่บนถนน จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังสวดอ้อนวอนอย่างเคร่งเครียด มันทำให้เขาตระหนักได้ว่า โลกแห่งนี้มันช่างล้าหลังจริง