Chapter 4: เจ้าชายคือผู้ดูแลสุสาน -2
**
ในขณะที่ฉันศึกษาแผ่นหลังที่อยู่ไกลๆของชาวนาทั้งสอง สกิล [เนตรจิต] ก็แสดงสถานะในปัจจุบันของพวกเขา
...
[ชื่อ: กริล
อายุ: 35 ปี
ความชำนาญ: ทำเกษตร ใช้แรงงาน
+ตอนนี้อยู่ในสถานะได้รับพร]
--
นี่คือทั้งหมด ข้อมูลสถานะที่แสดงนั้นสั้นมากเหมือนกับเอาคนที่ไม่มีความใส่ใจมาเขียนแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันไม่น่าจะมีเรื่องต้องกังวลกับมัน
ได้รับพรหรอ? ฉันแค่เอามือไขว้กันแล้วพูดว่า ‘อาเมน’ เองเนี่ยนะ?
แม้ว่าการกระทำของฉันอาจถูกมองได้ว่าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างของฉันก็ยังรั่วไหลออกมาและสกิลก็เปิดใช้งานด้วยตัวมันเอง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ฉันไม่ได้ครอบครองสกิลที่เรียกว่า ‘ให้พร’ ด้วยซ้ำ
ฉันจมปรักอยู่ในความคิดก่อนที่จะนึกถึงสกิลบางอย่างขึ้นมาได้
‘[คำสาปสยอง] ทำความเสียหายให้กับเป้าหมายในระยะยาวด้วยการสร้างความเจ็บปวด’
ดูเหมือนว่าคุณสมบัติของมันจะถูกกลับตาลปัตรสินะ
ว่าแต่ มันจะไม่มีปัญหาในภายหลังใช่ไหม?
เอ๊ะ แล้วถ้ามันมีโอกาสเป็นไปได้หล่ะ? ฉันหมายถึง มันไม่ใช่คำสาปแต่เป็นพร เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง
แม้กระทั่งอาหารเน่าก็ยังถูกนับเป็นยาได้ถ้าไม่ได้ป่วยหลังจากที่กินมันเข้าไป ดังนั้นถ้าไม่ตายหลังจากที่ได้รับเวทมนตร์ มันก็คงจะเป็นพรโดยแน่แท้
และถ้ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ พวกเขาก็คงจะมาหาฉันอย่างแน่นอน ด้วยความคิดพวกนี้ในหัว ฉันจึงตัดสินใจว่าจะไม่กังวลเรื่องนี้อีก
ฉันเป็นผู้เฝ้าสุสาน ‘นักบวช’ ที่คอยดูแลรักษาโบสถ์ ฝังศพคนตาย และทำพิธีชำละล้าง
อันที่จริง มันไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องไปทุ่มเทกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก
**
ใช่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจโลกภายนอก
งานของฉันก็แค่เริ่มพรวนดิน ฝังศพที่มีหนอนยั้วเยี้ยลงไปในหลุม แล้วจากนั้นก็ทำพิธีชำระล้างเพื่อไม่ให้มีใครเปลี่ยนเป็นผีดิบ มันก็แค่นั้น ฉันไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับสิ่งที่ฉันต้องทำเลย
อันที่จริง ฉันไม่ได้รู้สึกรังเกียจศพคนตายด้วย ซึ่งมันน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับผลของ ‘อาชีพ’ เนโครแมนเซอร์ อาชีพนี้มีการให้รางวัลในตัวมันเองและก็ชวนให้สนุกในบางครั้ง
อย่างไรก็ตาม.... นี่มันไม่ใช่เลย!!
“เจ้าชาย....! เจ้าชาย!”
ชาวนาเมื่อครั้งก่อนได้โผล่มาอีกครั้งในครั้งนี้พร้อมกับลากเกวียนมาด้วยความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม เกวียนในตอนนี้แบกศพมาประมาณสี่ห้าศพมาแทนที่จะลากมาศพเดียวเหมือนครั้งก่อน แมลงวันที่มารวมตัวกันและหนอนที่ดิ้นยั้วเยี้ยเองก็ถือเป็นส่วนแถมที่มีมากกว่าเดิม
ฉันรู้สึกสิ้นหวังหลังจากที่ได้เห็นเกวียนนั่น
“อะไรกันเนี่ย ยังมีอีกหรอ!?”
แต่ละศพนั้นหนักอย่างน้อยประมาณ 50 ถึง 60 กิโลกรัม
การพรวนดินและเคลื่อนย้ายศพนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ เนื่องจากฉันสามารถเปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นซอมบี้แล้วให้พวกเขาจัดการงานหนักๆทั้งหมดเองได้ ซึ่งหลังจากนั้น ทั้งหมดที่ฉันต้องทำก็คือปิดหลุมศพและทำพิธีชำระล้างอย่างขอไปที มันก็แค่นั้น
มันมีความเป็นไปได้ที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างอย่างง่ายดาย แต่ฉันไม่สามารถใช้สกิลของฉันได้ซึ่งก็ต้องขอบคุณพวกชาวนาที่ถ่อมาเยี่ยมฉันบ่อยจนเกินไป
ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ต้องขุด ขุด แล้วก็ขุดเพิ่มขึ้นอีก และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ฉันจะต้องมาลากศพพวกนี้และทำพิธีฝังอย่างเหมาะสมด้วย.....
นี่จะต้องเป็นจุดสูงสุดของการใช้แรงงานทั้งหมดที่มีในโลกนี้ ในสมัยนี้แน่ๆ
ซวยจริงๆ ไม่นึกเลยว่าหลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ที่ควรจะเป็นที่รักใคร่ของเทพ ต้องมาทำงานใช้แรงงานหนักๆเหมือนคนโง่แบบนี้ด้วย
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
เฮ้อ เทพีแห่งความรักและความเมตตาผู้ยิ่งใหญ่ ไกอา! ตอนนี้พวกเรากลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันแล้วหรอ?
ฉันสบถแล้วพูดลบหลู่เทพีที่จักรวรรดิเคารพบูชาอยู่ในใจ ในขณะที่ทำเช่นนั้น ฉันก็สะดุ้งเฮือกในขณะที่มองไปยังศพ
“พวกเขาตายไปได้กี่วันแล้ว!?”
“ขอโทษนะครับ? เอ่อ คือ บางทีน่าจะสามสี่วันได้แล้วหล่ะมั้งครับ....?”
“....แล้วเรื่องการเผาศพหล่ะ?”
“ก็อย่างที่ท่านเห็น พวกเราไม่ได้ทำครับ”
ทันใดนั้นเองเกวียนก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แล้วจากนั้น ซอมบี้สามตัวก็ลุกพรวดขึ้นมา
อึ-อือออออ!!
ในขณะที่ส่งเสียงร้องพร้อมกับปล่อยเสมหะออกมา พวกซอมบี้ก็ร่วงลงมาจากเกวียน
“เหวอออ!?”
ชาวนาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ฉันพูดอะไรไม่ออกเลยกับฉากที่เห็นนี้ เวรจริง ตอนนี้ฉันอยากจะแกล้งทำไปไม่เห็นอะไรแล้วเมินพวกเขาชะมัด
ทำไมถึงมอบงานคนเฝ้าสุสานให้ฉันนะ? ถูกโยนไปอยู่กองทัพคงจะดีกว่าอีก
ฉันคร่ำครวญในใจในขณะที่พลั่วยังอยู่ในมือ จากนั้น ฉันก็เริ่มเฉาะหัวซอมบี้
ฟาดลงไปครั้งแรก ครั้งที่สอง และจากนั้นก็ ครั้งที่สาม
ซอมบี้ล้มลงไปเพราะศีรษะของพวกมันถูกเฉาะเละ เลือดกระเซ็นใส่หน้าฉัน ซึ่งฉันก็ทำหน้าบึ้งเป็นการตอบสนองกับสิ่งนี้
หลังจากใช้หลังมือเช็ดเลือดออก ฉันก็ยกศพที่ไม่เคลื่อนไหวแล้วขึ้นมา
บ้าจริง นี่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของงานงั้นหรอ
ถ้าแค่อาชีพของฉันเป็นนักรบหรือบาร์บาเรียนหล่ะก็นะ..... อย่างไรก็ตาม ‘อาชีพ’ ของฉันในตอนนี้คือเนโครแมนเซอร์ อาชีพที่เน้นการหลบๆซ่อนๆ อาชีพที่ทำแค่คอยส่งฝูงซอมบี้กับโครงกระดูกออกไปและเฝ้ามองพวกมันต่อสู้แทน
นี่เป็นลักษณะเฉพาะของอาชีพ ‘เวทมนตร์ดำ’ และมันก็หมายความว่าไม่มีทางที่ค่าพละกำลังของฉันจะไปในทางที่ดีได้ ฉันคือนักบวชที่มีสภาพร่างกายอ่อนแออย่างแน่นอน แต่ว่ากล้ามเนื้อและเรี่ยวแรงของฉันได้ถูกพัฒนาขึ้นมาทีละนิดด้วยการพรวนดินที่ฉันทำในช่วงนี้ ซึ่งแทบจะไม่ได้สนับสนุนฉันเลย
“ต่อให้พวกเราจัดการกับซอมบี้ แต่ฉันก็ยังรู้สึกแย่นะถ้าพวกเขาได้รับความเสียหายแบบนี้”
ฉันโยนศพที่สภาพหัวเละลงไปในหลุมศพ ชาวนาก็ช่วยฉันเหมือนกัน มีเหงื่อไหลพรากลงมาจากใบหน้าของพวกเขา
ไม่นานนัก งานส่วนใหญ่ก็เรียบร้อย
ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ฉันก็นั่งลงบนแผ่นหลุมศพที่ยังไม่ได้เอาไปติดตั้งในที่ของมัน และในขณะที่ทำเป็นดึงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหนัง ฉันก็เข้าถึงหน้าต่างไอเท็ม
ฉันดึงเอามันต้มออกมาแล้วกัดเข้าไปเล็กน้อยด้วยมือที่เปื้อนเลือด นี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะการล้างมือก่อนกินทุกครั้งมันจะเสียเวลา
นอกจากนี้ ร่างกายนี้ต้องทนทานกว่าที่ฉันคิดเอาไว้แน่ๆ หรือบางทีฉันควรจะขอบคุณพลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวฉันที่ทำให้ฉันไม่ล้มป่วยเลยหลังจากที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้
“ขอโทษนะครับ.....”
คนที่จู่ๆก็เข้ามาเรียกฉันก็คือชาวนาที่ช่วยงานของฉันเสร็จแล้ว พวกเขาสบตากันเหมือนกับว่าพวกเขาหวาดกลัวอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันของฉัน แล้วจากนั้น พวกเขาก็เปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง
“มันเหมือนกับชาวบ้านถูกวิญญาณชั่วร้ายสาปเลยละครับ ไม่อย่างนั้น จะเกิดการแพร่ระบาดแบบนี้ได้ยังไงกัน...”
วิญญาณชั่วร้ายหรอ?
นี่มันไม่ตลกเลยนะพวก ดูเหมือนว่าคนโง่งมงายพวกนี้จะหลงเชื่อในเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงสินะ
“เอ่อ คือว่า เจ้าชาย ท่านเป็นนักบวช ใช่ไหมครับ? ท่านช่วยขับไล่วิญญาณร้ายออกจากหมู่บ้านได้ไหม....?”
บุตรแห่งเทพ ตอนนี้พวกเขากำลังขอให้ฉันกลายเป็นมือปราบมารด้วยหรอ?
ฉันขมวดคิ้วแน่นใส่ชาวนาในขณะที่พูด “ตอนนี้ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันเป็นนักบวชแค่ในนามเท่านั้นแหล่ะ แล้วก็นะ พวกเจ้ายังอยากให้คนแบบนี้ไปปราบวิญญาณร้ายอีกหรอ? ช่วยพูดอะไรที่มันสมเหตุสมผลหน่อยไม่ได้รึไง?”
น่าเสียดาย รายละเอียดงานของฉันบ่งบอกว่าฉันไม่สามารถปฏิเสธพวกเขาได้
ตราบใดที่ฉันครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ ฉันก็น่าจะสามารถกำจัดอันเด็ดทั้งหมดในที่แห่งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การขอให้เด็กอายุ 15 ทำเรื่องพวกนี้มันช่างโหดร้ายจริงๆ
แล้วก็ ไปขอร้องพวกพาลาดินที่โผล่มาตรงเวลาทุกเดือนมันจะไม่ฉลาดกว่าหรอ?
“นอกจากนี้ ฉันพึ่งอายุแค่ 15 เองนะ พวกเจ้าอยากจะฝากฝังงานขับไล่วิญญาณร้ายเอาไว้กับเด็กอายุ 15 จริงๆหรอ?”
ชาวนาสองคนทำตัวลีบเนื่องจากพวกเขาเองก็รู้ถึงจุดนี้ดี
“น แน่นอนครับ แต่ แต่ว่า....”
“...ท่านพาลาดินที่มาเยี่ยมหมู่บ้านครั้งก่อนบอกพวกเราให้ฝากเรื่องทุกอย่างเอาไว้กับท่านเว้นเสียว่ามันจะเป็นเรื่องอันตรายจริงๆครับ เจ้าชาย”
“...”
ไอ้พวกพาลาดินโสโครกเอ๊ย
ในขณะที่ฉันกำลังกระหน่ำคำด่าใส่พาลาดินอยู่ในใจนั้นเอง.....
“ล แล้วก็ ท่านเคยประทานพรให้พวกเราไม่ใช่หรอครับ?”
“ท่านเป็นนักบวชที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยหวังว่าท่านจะสามารถช่วยชำระล้างหมู่บ้านได้ด้วย....”
“ว่าไงนะ?”
ตอนนี้พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันจ้องชาวนาทั้งสองด้วยสีหน้าสับสน พวกเขาสังเกตเห็นสีหน้าของฉันแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“หลังจากที่ท่านทำพิธีชำระล้างให้พวกเรา พวกเราก็ไม่ได้ติดโรคระบาดครับ”
ฉันเอียงคอหลังจากที่ได้ฟังพวกเขา
พวกเจ้าสองคนแค่โชคดีเท่านั้นแหล่ะ
“พวกเราถูกโยนงานนี้มาให้ แล้วต้องคอยลากศพผู้ติดเชื้อตลอดทั้งวัน แต่ว่า แทนที่จะล้มป่วย พวกเรากลับ.....”
ชาวนาเริ่มตบลำตัวของพวกเขาราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
“ในช่วงไม่กี่วันมานี้มันเหมือนกับว่าพวกเรามีพลังเต็มเปี่ยมเลยครับ”
ฉันเอียงคอหนักขึ้นอีก
แต่ว่านี่มันต้องเป็นเพราะเรี่ยวแรงได้รับการเสริมสร้างจากการทำนาแน่ๆเลยไม่ใช่หรอ?
“เวลาที่พวกเราเป็นแผลมันจะฟื้นฟูได้เร็วมากเลยด้วยครับ”
แต่นั่นก็เพราะผู้คนในโลกนี้ถึกเป็นพิเศษ ก็เลย...
“ทั้งผมและเจ้าโง่นี้ มีแค่พวกเราสองคนที่เป็นผู้รอดชีวิตจากหมู่บ้านครับ”
ฉันจ้องมองชาวนาทั้งสองด้วยสิหน้าสับสน
มันผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่ฉันใช้สกิล [คำสาปสยอง/ให้พร] กับสองคนนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ มีประมาณ 20 ศพที่ถูกพามาที่นี่ ศพพวกนั้นต้องเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านของพวกเขาแน่ๆ
แต่ว่า ชาวนาสองคนนี้ที่เป็นคนขนศพติดเชื้อทั้งหมดยังแข็งแรงดี แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ไม่ได้สวมหน้ากากป้องกันเพราะมันน่ารำคาญ
“ผลของการใช้มือวาดไม้กางเขนในอากาศแล้วพูดว่าอาเมนมันทรงพลังขนาดนั้นเลยหรอ?”
“...ใช่ครับ”
ชาวนาทั้งสองพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
โอโห! เทพีไกอา! นี่ท่านรู้สึกขี้เกียจเหมือนผมก็เลยให้พรกับเจ้าพวกนี้ส่งเดชหรืออะไรประมาณนั้นใช่ไหม?
ฉันรู้แล้ว! ตอนนั้นฉันกำลังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมพลังศักดิ์สิทธิ์ถึงรั่วไหลออกมามากขนาดนั้น ดูเหมือนว่าตัวพรเองก็ค่อนข้างจะใจกว้างไม่เบาเลยสินะ
ฉันเอามือกอดอกแล้วพึมพำออกมาเสียงดัง “สกิลเปิดใช้ด้วยตัวเองทั้งหมด และมันก็มีประสิทธิภาพที่สุดยอดด้วย”
“ว่าไงนะครับ?”
“....ไม่มีอะไรหรอก”
ฉันคิดว่าการเพิ่มความเชี่ยวชาญให้สกิลของฉันมันคงจะดีกว่าสินะเพื่อที่ฉันจะได้ใช้พวกมันได้ตามใจชอบในภายหลัง แถมการทำแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่ฉลาดกว่าการที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะต้องใช้สกิลยังไง
ฉันมองกลับมาที่คู่หูชาวนา “พวกเจ้าบอกว่ามีแค่พวกเจ้าสองคนที่ยังรอดมาได้สินะ? ถ้างั้น ตอนนี้พักอยู่ที่ไหนกันหล่ะ?”
“ตอนนี้พวกเราพักอยู่ที่หมู่บ้านใกล้เคียงครับ”
ในตอนที่ได้ยินฉันก็นวดขมับ
นี่มันเป็นงานที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นฉันคิดว่ารีบทำมันให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้จะดีกว่า แถมตอนนี้ยังมีตัวช่วยด้วย....
“พวกเจ้าสองคน มาช่วยฉัน”
จัดการเรื่องในขณะที่มีผู้ช่วยมาเพิ่มด้วยสองคน มันดูฉลาดกว่าใช่ไหมหล่ะ?
หลังจากที่ฟังฉันชาวนาทั้งสองก็มีท่าทีสับสน แต่พวกเขาก็ยังคงพยักหน้า
**
“ช่างเป็นภาพอันนองเลือดที่น่าตื่นตาจริงๆ”
พวกเรามาถึงหมู่บ้านเก่าของชาวนาแล้ว
มีกระท่อมประมาณ 30 หลังหรือมากกว่านั้นให้การต้อนรับพวกเราพร้อมกับส่วนนึงที่พังทลายไปแล้ว มีเศษซากกระจก ประตู ความสกปรกทั้งหลายและศพกระจายอยู่ทั่วบริเวณหมู่บ้านของพวกเขา
มันเป็นหมู่บ้านที่เหมาะสมกับการนำมาใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายหนังสยองขวัญมากเลย หมู่บ้านที่สยดสยองนี้กำลังรอพวกเราอยู่
ฉันสังเกตดูสภาพศพที่นอนเกลื่อนอยู่ทั่วหมู่บ้าน หลังจากที่ลองพลิกดูหนึ่งในศพที่มีอยู่ ฉันก็เอามือไปจับส่วนที่เสียหายแล้วเอียงคอด้วยความฉงน
“....ดูเหมือนว่าเขาจะถูกอะไรบางอย่างกัดสินะ”
มีสัตว์เข้ามากินศพนี้หรอ? ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนั้น รอยกัดมันเล็กเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นฝีมือของสัตว์
ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วตรวจสอบดูรอบๆหมู่บ้าน “ค่อยยังชั่ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีซอมบี้อยู่แถวนี้สินะ”
ศพที่ถูกพบรอบหมู่บ้านนั้นไม่นอนแน่นิ่งอย่างสงบ ก็ได้รับความเสียหายหนักเกินกว่าที่จะกลายเป็นอันเด็ดได้
ฉันมองคราบอ้วกกับสิ่งสกปรกที่อยู่ทั่วทุกที่แล้วทำหน้าบูดสุดๆ
เนื่องจากมีศพอยู่มากขนาดนี้ มันจึงเป็นธรรมดาที่ฉันจะได้เห็นพวกหนูที่กำลังแทะศพอยู่เป็นจำนวนมาก หนูที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุดหยุดแทะศพแล้วเงยศีรษะของมันขึ้นมาสบตากับฉัน
มันมีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจและดวงตาสีแดงที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เช่นเดียวกับมีร่องรอย ‘พลังงานมารอ่อนๆ’ แผ่ออกมาจากมันด้วย
“...ซอมบี้หรอ?”
จากนั้นมันก็แยกเขี้ยวงอๆของมันออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ฉันด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง มันเร็วมากเหมือนกับว่ามันอดใจที่จะง่ำฉันไม่ไหวแล้ว
ฉันยกพลั่วขึ้นมาแล้วจากนั้นก็เหวี่ยงใส่มัน หนูถูกผ่าครึ่ง เศษร่างของมันกระเด้งไปมา
“ไอ้เจ้าตัวนี้เป็นอะไรของมันเนี่ย?”
แม้ว่าตอนนี้มันจะถูกผ่าเป็นสองส่วนแล้ว หนูก็ยังไม่ตาย แม้ว่าร่างของมันจะถูกตัดขาด มันก็ยังพยายามเข้ามากัดรองเท้าหนังของฉัน
ฉันยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบมันอย่างรุนแรง
ชาวนาสะดุ้งกับการกระทำของฉันแล้วทำตัวลีบ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อะไรหรอครับ?”
ฉันนั่งยองๆแล้วหยิบซากหนูขึ้นมาก่อนที่จะจ้องไปทางคู่หูชาวนา “เจ้านี่เป็นซอมบี้ หนูอันเด็ดหน่ะ โอเคไหม? สรุป เจ้าพวกนี้เริ่มวิ่งพล่านไปทั่วหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ชาวนารีบมองหน้ากัน จากนั้น ในขณะที่ทำท่าทีสับสน พวกเขาก็ส่ายหัว
“พวกเราไม่รู้ครับ”
ช่างเป็นคำตอบตามตรงที่ฟังแล้วกระชุ่มกระชวยจริงๆ
“ข้อมูลนี้มันสำคัญหรอครับ เจ้าชาย?”
พวกเขาเอียงคอ
“ก็นะ ไม่หรอก ไม่ได้ขนาดนั้น”
ฉันโยนหนูซอมบี้ทิ้งไป
มันไม่ได้มีแค่มนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นซอมบี้ได้ สิ่งมีชีวิตที่มาตายใกล้กับ ‘พื้นที่เชิงลบ’ แบบนี้ก็จะมีส่วนนึงที่เปลี่ยนเป็นอันเด็ดเหมือนกัน
ในโลกนี้แค่ถูกอันเด็ดกัดไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนเป็นซอมบี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพิษกระจายเข้าร่างและตายจากพิษนั้น ก็คงจะแน่นอน มันมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นซอมบี้ แต่ถ้าไม่ ก็แค่ต้องเผชิญกับความทรมานจากไข้สูง
ตราบใดที่ไม่ตาย ก็จะหายได้เองตามธรรมชาติ ดังนั้นสรุปง่ายๆเลยก็คือ มันคล้ายกับโรคชนิดนึง ไม่มากก็น้อย
“แต่ว่าที่นี่เหม็นจนแทบทนไม่ไหวเลยนะเนี่ย...”
อย่างไรก็ตามหนูตัวนี้ไม่ได้อยู่แค่ในระดับการกลายเป็นซอมบี้ธรรมดา มีพลังงานมารหนาแน่นแผ่ออกมาจากมัน
ในเมื่อมีมากขนาดนี้ ก็มีโอกาสสูงมากที่มนุษย์จะตายจากการถูกมันกัดแล้วกลายเป็นอันเด็ดในภายหลัง
เจ้านี่มันคืออะไรกันแน่ หนูซอมบี้ทีมีอายุเป็นร้อยปีหรอ? ถ้ามีแค่ตัวเดียว หรือสองตัวอยู่แถวนี้ สัตว์อื่นๆหรือแม้กระทั่งมนุษย์ก็คงจะถูกมันฆ่าอย่างง่ายดาย แต่ว่า.....
“...”
ฉันกวาดสายตาอีกครั้ง
ฉันเจอเงาสีดำมืดกำลังก่อตัวขึ้นรอบๆซากกระท่อมบริเวนนึง มันคือหนูซอมบี้หลายร้อยตัว ซึ่งทั้งหมดมีดวงตาสีแดงฉาน และกำลังจ้องมาที่ฉัน
เมื่อเห็นปรากฎการณ์นี้ก็ทำให้กล้ามเนื้อตาของฉันกระตุกไปเองโดยอัตโนมัติ
ด้วยฝูงสัตว์ร้ายพวกนี้ มันคงจะยิ่งแปลกเข้าไปอีกถ้าหมู่บ้านสามารถเอาตัวรอดได้โดยไร้รอยขีดข่วน
“พวกเจ้าสองคน นี่พวกเจ้าไม่ได้เริ่มทำฟาร์มสัตว์ร้ายหรืออะไรพวกนั้นใช่ไหม?”
ฉันถามชาวนา และแน่นอนว่า พวกเขารีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อพวกเขาได้เห็นฝูงหนูซอมบี้ พวกเขาก็เริ่มเดินถอยหลังไปอย่างไม่มั่นคงด้วยความกลัวสุดขีด
“ม ไม่มีทางหน่า! เมื่อไม่กี่วันก่อนมันไม่ใช่แบบนี้นี่....”
“ฉันจำได้ พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้าออกจากหมู่บ้านนี้ไป ไม่ใช่รึไง?”
ชาวนาทั้งสองรีบพยักหน้า
“ต่อให้ที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของพวกเรา แต่ทุกคนตายเพราะโรคระบาดไปหมดแล้ว ใครจะไปอยากอยู่หล่ะ? แถมครอบครัวของพวกเราก็จากโลกนี้ไปตั้งนานแล้วด้วย น นี่คือสาเหตุที่ทำไมพวกเราถึงไม่มีเหตุผลให้อยู่ที่นี่ต่อ ตอนนี้พวกเรากำลังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ”
“พวกเขายอมรับพวกเจ้าสองคนทันทีเลยหรอ?”
“ค ครับ ในทางกลับกัน หมู่บ้านได้ขอให้พวกเราทำการขนย้ายพวกที่ตายจากโรคระบาด”
อ๋อ นี่คือสาเหตุที่สองคนนี้ได้รับการยอมรับสินะ
ให้ตายเถอะ ตอนนี้มีเรื่องที่ฉันต้องจัดการเพียบเลย
ฉันจ้องกลับไปยังพวกหนูซอมบี้ “เอาหล่ะ นี่ไงหล่ะวิญญาณร้ายของพวกเจ้า ไม่ใช่แค่นั้นนะ พวกมันร้ายไม่เบาเลยด้วย”
หนูซอมบี้เป็นร้อยถลึงตากว้าง และตอนนั้นเอง ฝูงหนูก็เริ่มพุ่งใส่พวกเรา อาวุธเพียงอย่างเดียวของฉันก็คือพลั่วที่อยู่ในมือ น่าเสียดายจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับพวกมันด้วยอาวุธแค่นี้
“จ เจ้าชาย หนีกันเถอะครับ...!”
ในขณะที่กำลังจ้องพวกเขา ฉันก็ปักพลั่วลงไปในดิน
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วในขณะที่ไอหมอสีขาวออกมาจากปากของฉัน ฉันก็พึมพำชื่อสกิลออกมา
“[หนองน้ำความตาย]”