Chapter 2: เจ้าชายคือผู้ดูแลสุสาน -1 (ตอนที่ 1)
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม หมอกหนาที่เย็นยะเยียบก็ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่สายตาสามารถมองเห็นได้
ฉันจับพลั่วแน่นและทุบลงไปบนพื้นดินอย่างรุนแรง
ฉันหอบหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เหงื่อไหลออกมามากมาย ร่างกายของฉันรู้สึกหนักอึ้ง
ฉันเหลือบมองไปที่รถเกวียนที่เต็มไปด้วยศพ สิ่งที่ฉันทำคือการฝังพวกมันลงใต้ดิน ใครก็ตามที่ไม่คุ้นเคยกับภาพที่เกิดขึ้น พวกเขาคงจะคิดว่าพวกเขาพบเจอกับเหตุการณ์สังหารหมู่ที่น่าหวาดกลัว แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนี่สิ
“อื้ม การเป็นผู้ดูแลสุสานนี่มันไม่ง่ายเลยสักนิด”
แน่นอนละว่าฉันเป็นผู้ดูแลสุสาน
บรรยากาศที่เย็นยะเยียบปกคลุมไปทั่วหลุมศพ
ฉันเหลือบมองไปที่โบสถ์ร้างที่กำลังผุพัง
ด้านในภูมิภาคทางเหนือของจักรวรรดิ มันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่ตลอดทั้งปี ดินแดนวิญญาณแห่งความตาย เต็มไปด้วยศพที่ผุพัง รวมทั้งพวกอันเดทที่เกรี้ยวกราดไปทั่ว ฉันกำลังใช้ชีวิตของฉันกับการเป็นเจ้าชายที่ถูกขับไล่
...
ถ้าคุณถามว่าใครคือคนที่มีอำนาจสูงสุดในทวีปแล้ว ทุกคนคงจะชี้กันไปยังที่บุคคลเพียงหนึ่งเดียว
เขาคือกษัตริย์ของมวลมนุษย์ เขาคือตัวตนที่แม้แต่กษัตริย์อันสูงส่งยังต้องนับถือและคำนึงถึง
เขาคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เขายังถูกนับถือเป็นดั่งกับผู้ส่งสารจากพระเจ้า
ใครก็ตามที่ได้รับสืบทอดสายเลือกจากจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี แต่ว่ามันแย่มากที่สถานการณ์ของฉันกลับแตกต่างออกไป
“ขับไล่?”
ฉันเดาะลิ้น ตอนที่ฉันจ้องไปที่สุสาน
อากาศมันค่อนข้างที่จะเย็นยะเยียบ แต่มันยังคงมีเสียงดังออกมาจากทางด้านเกวียนรถ รวมทั้งหนอนที่คลานไปทั่วบนตัวศพ ราวกับเป็นสหายรักกัน
ฉันแบกพลั่วขึ้นไว้บนไหล่ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
“ทำไมมันต้องเป็นร่างกายด้วยนี้กันนะ?”
ฉันไม่มั่นใจว่ามันเป็นการเกิดใหม่หรือการสิงสู่ร่างกายคนอื่น แต่ยังไงก็ตาม เจ้าของร่างกายนี้ถูกขับไล่มายังที่แห่งนี้
เขายังถูกมอบให้ทำอาชีพผู้ดูแลสุสานอีก
เหตุผลนี้มันง่ายมาก เขามันเป็นขยะ เป็นเศษขยะที่ไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย
พูดตามจริงแล้ว ความทรงจำของเจ้าของร่างกายเดิมไม่ได้คงอยู่อีกต่อไป แต่ว่าฉันยังคงได้ยินเรื่องราวจากอดีตของร่างกายนี้อยู่บ้างเป็นบางครั้งบางครา
ยกตัวอย่างเช่น ความทรงจำในตอนที่เขายังคงอยู่ในปราสาท เขารู้สึกเบื่อหน่าย เขาเลยเรียกคนใช้ออกมารังแก
อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือเขาเห็นคนใช้ผู้หญิงเดินไปมา เขาล่วงละเมิดทางเพศเธอ หรือไม่เขาก็ทำร้ายร่างกายอาจารย์ที่มาสอนเขา เพราะว่าเขาเบื่อ
แน่นอนว่ามีพวกคนจากชนชั้นสูงบางกลุ่มทำแบบนี้เหมือนกัน แต่มันหมายความว่าเหตุผลที่ธรรมดาทั่วไปเหล่านี้มันไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขา ที่ซึ่งเป็นเจ้าชายโดนขับไล่จนมาเป็นผู้ดูแลสุสานแบบนี้
เหตุผลหลักที่เขาถูกขับไล่จนกลายเป็นผู้ดูแลสุสาน..
มันเป็นเพราะ ‘การดูหมิ่น’ ศาสนา
หลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยตัณหากาม เขาพยายามที่จะข่มขืนหลานสาวของชนชั้นสูงคนหนึ่ง ซึ่งมายังจักรวรรดิทีโอเครติค เพื่อฝึกฝนการเป็นนางใน
สิ่งที่เขาทำถูกค้นพบโดยหัวหน้าบาทหลวงที่มาพบกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์....
..ชิ ไอ้ตัดบัดซบนี่มันยังก่อเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ขึ้นมาอีก
.....แต่เรื่องมันน่าจะจบที่หัวหน้าบาทหลวงหยุดเด็กหนุ่มคนนั้น
ยังไงก็ตาม ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะว่านางในกลับกลายเป็นหลานสาวของหัวหน้าบาทหลวงที่พบเจอเหตุการณ์เลวร้ายนี้ขึ้นกลางทาง
หลานสาวที่เขาส่งมายังปราสาทเพื่อฝึกฝนความประณีตและมารยาท กำลังจะถูกข่มขืนและเขายังเห็นสภาพแบบนั้นกับตัวเองอีก
แน่นอนว่าหัวหน้าบาทหลวงกราดเกรี้ยวอย่างมาก
ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจเลยสักนิด สำหรับเหตุการณ์ที่หัวหน้าบาทหลวงทำร้ายเจ้าชายกลางวันแสกๆแบบนี้ แต่มันกลับถูกพบเห็นเข้าภายในคนในปราสาท
มันทำให้ ทั้งสองคนต่างถูกอัญเชิญไปโดยจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ในทันที
ใครก็ตามสามารถที่จะบอกได้เลยว่า คนที่ทรงพลังมากที่สุดนอกจากพระคาร์ดินัลคือหัวหน้าบาทหลวง แต่แม้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร หลังจากที่เขาไปทำร้ายร่างกายหลานชายของจักรพรรดิเข้า ยังไงก็ตาม หลานชายของเขาก็มีความผิดด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้สองคนต่างถูกกักบริเวณเป็นเวลาสองเดือน
มันดูเหมือนจะสงบลง เมื่อเหตุการณ์นั้นจบลง แต่ว่า…
-เขากล้าที่จะทำร้ายฉัน?
เด็กหนุ่มที่ไร้สมองวัยสิบห้าปี แอบลอบเข้าไปในสำนักของหัวหน้าบาทหลวง เขาเข้าไปเผาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เขาทำลายไม้กางเขนทิ้งและเขียนผนังกำแพงด้วยตัวอักษรใหญ่ ‘ไอ้สารเลวชั้นต่ำที่นอนหลับกับเทพธิดาไกอา!’
แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในระบบประชาธิปไตยก็ตาม รวมทั้งยังเป็นหลานชายของจักรพรรดิก็ตาม เขายังกล้าที่จะดูหมิ่นศาสนา! เขามันโง่เง่าและบ้าบอมาก
ด้วยเหตุนี้ความโกรธที่จักรพรรดิเก็บไว้ระเบิดออกมา เขาได้ขับไล่หลานชายออกมายังดินแดนวิญญาณแห่งความตายทางทิศเหนือ
อำนาจและสถานะของการเป็นหลานชายจักรพรรดิถูกถอดออก เขายังถูกส่งให้มาคอยทำหน้าที่รับใช้หมู่บ้านตรงนี้อีกด้วย
-ไว้อาลัยกับคนตายและพัฒนากับตัวเองไปด้วย
นี่น่าจะเป็นสิ่งที่จักรพรรดิคิดอยู่
ในขณะที่เขาถูกขับไล่ออกมา อิทธิพล รวมทั้งการเป็นตัวแทนสืบทอดจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ต่อไปก็หายไปเช่นกัน เขาไม่มีแม้แต่คนคอยคุ้มกันด้วยซ้ำ
เดาได้ง่ายเลยว่าเจตนาของจักรพรรดิคืออะไร เขาไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะถูกจับไปประเทศอื่นหรือชีวิตเขาจะตกอยู่ในอันตราย
พูดง่ายๆแล้ว เขาได้ทอดทิ้งเด็กหนุ่มคนนี้ไปแล้ว
“แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ มันก็ไม่สมควรที่จะฆ่าตัวตายหรอกนะ”
เขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขามุ่งตรงไปยังหมู่บ้านรอบข้างและอาละวาดไปทั่ว เขาปฏิบัติราวกับเจ้าถิ่นของพื้นที่บริเวณนี้ แต่เพียงเวลาไม่ถึงวัน พาลาดินก็มาเยือนเขา
เขาถูกจับกุมตัวในทันที เขาถูกกักขังในโบสถ์ สิ่งที่เหลือไว้ให้เขาเพียงแค่อาหารและน้ำ และบทสวดมนต์เท่านั้น หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
‘นี่มันไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ไอ้พวกชั้นต่ำนี่มันกล้าดียังไง…!’
สถานการณ์นี้มันไม่สามารถที่จะยอมรับได้จากมุมมองของเจ้าชายที่เคยยิ่งใหญ่แบบนี้
หลังจากนั้นเขาก็ถูกขับไล่ไปยังป่าด้านหลังที่เต็มไปด้วยศพ และทำหน้าที่ฝังศพ เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นอนาคตที่สดใสได้อีกต่อไป
และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่เขาฆ่าตัวตาย
เมื่อ ‘ฉัน’ ได้สติขึ้นมา ฉันก็รู้สึกได้ถึงเชือกที่พันรอบคอ หลังจากที่เขาแขวนคอตาย
แน่นอนว่าหลานชายแสนโง่เขลาของจักรพรรดิคนนี้มัวแต่บ่นถึงโชคชะตาที่เลวร้ายของเขา และพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
ฉันพูดกับตัวเองออกมา “ช่างเถอะ มันไม่สำคัญแล้วละ”
มันคือเรื่องในอดีต มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะคอยกังวลอีกต่อไป ร่างกายนี้กลายเป็นของฉันแล้ว และชีวิตครั้งที่สองของฉันก็เริ่มต้นขึ้น
ยังไงก็ตาม มันคงจะดีกว่าที่จะคาบช้อนเงินช้อนทอง และอาศัยอยู่ในปราสาท.....แต่ว่าการอาศัยอยู่แบบนี้ กับการเป็นผู้ดูแลสุสานก็ไม่แย่ด้วยเช่นกัน ที่จริงแล้ว มันเหมาะสมกับนิสัยของเขามากกว่าด้วยซ้ำ
บางที มันอาจจะเป็นเพราะว่า อาชีพ ‘เนโครแมนเซอร์’ ที่ฉันเลือกในเกม ฉันจึงไม่รู้สึกแย่กับการจัดการกับศพเหล่านี้
ฉันแม่งยังโอเคกับหมอกที่หม่นหมองและมืดหม่นแบบนี้อีก ทั้งความเงียบงันหรือจะกลิ่นเหม็นเน่าเหล่านี้ด้วย
“ฉันหวังว่าฉันจะไม่กลายเป็นพวกคนบ้าที่ชอบใช้เวลาอยู่กับศพแบบนี้นะ…”
ฉันพึมพำกับตัวเอง แล้วก็เหลือบตามองไปที่ศพ
มันมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกพิลึกเกี่ยวกับฉัน แน่นอนว่า เนโครแมนเซอร์มันคืออาชีพประเภทนักเวทย์ ซึ่งใช้พลังมารในการควบคุมเหนือความตาย แต่ในตอนนี้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าคุณสมบัติเฉพาะของอาชีพนี้มันแปลกไป
ทันใดนั้น ศพที่กำลังจะถูกฝังก็ปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว และแน่นอนว่ามันยืนขึ้น ในขณะที่มันส่งเสียงออกมาราวกับหุ่นไม้
-โอ.....อูวววว..
เนื้อสด ดวงตาที่ว่างโบ๋และท่าทางยืนที่ไม่มั่นคง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือซอมบี้... มันคือซอมบี้แน่นอน... แต่ว่า..
ฉันขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังสิ่งมีชีวิตตัวนี้
“…ทำไมแกถึงมีพลังศักดิ์สิทธิ์กันนะ?”
ลืมเจ้าออร่าความตายไปได้เลย เจ้าซอมบี้ตัวนี้กลับเต็มไปด้วยออร่าแห่งการมีชีวิตแทน
มันเป็นซอมบี้ที่เต็มไปด้วย ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’
สกิลของเนโครแมนเซอร์ที่ฉันมีนั้นคือ [ปลุกชีพคนตาย] [วิญญาณทหารแห่งความตาย] [กาฬโรค] [หนองน้ำแห่งความตาย] และ [คำสาปชั่วร้าย] รวมทั้งสกิลติดตัวอย่าง [ดวงตาแห่งจิต] และ [แปลภาษา] รวมทั้งอย่างอื่นอีกมากมาย....
ฉันยังมีสกิลอีกหลายอย่าง แต่มันเหมือนกับว่าฉันยังใช้มันไม่ได้ ฉันนึกถึงพวกมันไม่ออกด้วยซ้ำไป
ยังไงก็ตาม พวกมันถูงฝังไว้ในหัวของฉัน ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะความชำนาญของสกิลฉันในปัจจุบัน เพื่อที่จะเริ่มต้นใช้งานพวกมัน
“แทนที่มันจะเป็นสกิลของพวกเนโครแมนเซอร์ พวกมันกลับเต็มไปด้วยชีวิตแทนซะงั้น”
ถ้าฉันเรียกซอมบี้ออกมา ไอ้ตัวที่ปรากฏขึ้นมามันเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ แทนที่จะเป็นพลังมารธรรมดาทั่วไป ‘กาฬโรค’ และ ‘คำสาป’ กลับกลายเป็นการอวยพรแทน ในขณะที่ ‘หนองน้ำแห่งความตาย’ กลับกลายเป็นการเรียกบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แทน
สกิลทุกอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความตาย มันกลับถูกแทนโดยการมอบชีวิตให้แทน เหตุผลที่มันเป็นแบบนี้...
“มันน่าจะเป็นเพราะร่างกายนี้แน่ๆ…”
ฉันสังเกตร่างกายของตัวเองแล้ว แทนที่มันจะมีพลังมารมากมายอยู่ในนั้น มันกลับกลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างออกมาแทน
แม้ว่าเขาจะเป็นไอ้ตัวสารเลวและไม่มีความศรัทธาเพียงสักนิดเดียว เขายังคงได้รับการอวยพรจากพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากอยู่ดี เนื่องจากเขาเป็นหลานชายของจักรพรรดิ
ฉันไม่มั่นใจว่าระดับของนักบวชคนอื่นมันประมาณเท่าใด แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างกายนี้มี มันน่าจะประมาณเดียวกับคนอื่นที่อายุเท่ากัน
“เจ้าชายครับ.. ฝ่าบาท…!”
เสียงเรียกฉันดังขึ้นมาจากทางเดินที่เต็มไปด้วยม่านหมอก ฉันมองกลับไปเห็นชายสองคน ทั้งสองคนต่างดูเหมือนกับชาวนา พวกเขาพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ในขณะที่กำลังเดินออกมาจากภายในป่า