36 เรื่องฉุกเฉิน
36 เรื่องฉุกเฉิน
...
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงออกจากร้านค้าในเมืองสือเฉียวก็เป็นเวลาค่ำแล้วและพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
ดินประสิวในร้านค้าถูกขายให้กับลูกค้าด้วยการขายส่ง ลูกค้าเหล่านั้นมักจะซื้อหลายสิบจินหรือหรือหลายร้อยชั่ง
เมื่อเขาเข้าไปในร้านเพื่อถามหาดินประสิวเขาก็เกือบถูกพนักงานไล่ออกมาเพราะคิดว่าเขาเป็นพวกต้มตุ๋น
ในท้ายที่สุดเมื่อเอี้ยนลี่เฉียงล้วงเงินออกมาบางส่วนเด็กรับใช้ในร้านจึงขายให้เขาเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาของเงินสองเหรียญต่อหนึ่งจินถือเป็น 'ราคาที่สูงเสียดฟ้า' สำหรับดินประสิวเขาจึงซื้อได้เพียงหนึ่งจินเท่านั้น
เมื่อเดินออกจากร้านค้าเอี้ยนลี่เฉียงก็ใช้มือแตะดินประสิวพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ คราวนี้เขาซื้อเพียงเล็กน้อยเพื่อดูว่าเขาสามารถสร้างดินปืนได้หรือไม่ ถ้าทำได้จริงๆเขาจะซื้อมันมาเป็นจำนวนมากในอนาคต
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กำลังจะมืดแล้วคงจะไม่ดีแน่ถ้าเขากลับไปที่ย่านโรงตีเหล็กช้าเกินไปและทำให้เฉียนซูกังวล
ด้วยเหตุนี้เอี้ยนลี่เฉียงจึงเดินไปที่จัตุรัสซึ่งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง
เมืองสือเฉียวเป็นเมืองการค้าที่สำคัญ ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่มีลูกค้าและพ่อค้าจำนวนมากที่มาและไป
จัตุรัสสาธารณะใจกลางเมืองรายล้อมไปด้วยร้านค้าและโรงเตี๊ยมขนาดเล็กและยังมีแผงขายของริมถนนที่ขายสมุนไพรและสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีบริการให้เช่ารถม้า
เอี้ยนลี่เฉียงเพิ่งเดินไปที่จัตุรัสสาธารณะและกำลังจะขึ้นรถม้าเขาก็เห็นม้าแรดสี่ตัวพุ่งออกมาจากภูเขาเหมือนกับสายลม นักขี่ม้าคนหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้าขณะที่อีกคนหนึ่งดึงก็ดึงสายบังเหียนอย่างรวดเร็ว
ในโลกเก่าของเขานี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ถ้าเป็นช่วงเวลานั้นเอี้ยนลี่เฉียงจะต้องไม่พลาดการถ่ายวีดีโอแล้วอัพลงแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้ผู้คนได้กดไลค์และแชร์ต่ออย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามไม่มีอินเทอร์เน็ตและไม่มีแพลตฟอร์มออนไลน์ในโลกนี้ แม้ว่าเขาจะได้ยินว่ามีหนังสือพิมพ์ในเมืองใหญ่ๆอยู่บ้าง
แต่เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่เคยเห็นเลย หากเจ้าหน้าที่ทางการต้องการแจ้งข่าวสารใดๆก็เพียงแค่ตีฆ้องร้องป่าวพื่อเรียกให้ประชาชนทุกคนมาฟังประกาศเท่านั้น
แน่นอนว่านักขี่ม้าทั้งสี่คนที่ขี่ม้าเข้ามายังจัตุรัสกลางเมืองย่อมสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในพริบตา
เอี้ยนลี่เฉียงก็เบียดตัวเองเข้าไปกลางฝูงชนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของฉากที่คึกคักด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าคนพวกนั้นต้องการทำอะไร
ในบรรดานักขี่ม้าสี่คนมีคนผู้หนึ่งคือชายชราในขณะที่อีกสามคนเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายที่ชายชราสวมใส่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพ่อบ้านของตระกูลใหญ่ในขณะที่อีกสามคนน่าจะเป็นผู้คุ้มกัน
ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้านชราหรือผู้คุ้มกันรุ่นเยาว์ทั้งสามคนร่างกายของพวกเขาต่างก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อและมีใบหน้าที่ตื่นตระหนก
เด็กหนุ่มทั้งสามคนดูดีกว่าพ่อบ้านชราเล็กน้อยแต่ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวจนสามารถเห็นได้ชัด
"นั่นไม่ใช่พ่อบ้านตระกูลลู่เหรอเขากำลังทำอะไรอยู่?"
พ่อค้าที่แผงขายของข้างถนนเริ่มสนทนากัน เอี้ยนลี่เฉียงถามคนข้างๆเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตระกูลลู่ เอี้ยนลี่เฉียงเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขามาก่อนที่เขาจะมาเมืองหวงหลงเสียอีก ตระกูลแห่งนี้มีชื่อเสียงยาวนานมากว่าสามร้อยปีในเมืองหวงหลง
แต่เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าตระกูลลู่ที่คนรอบข้างพูดถึงคือตระกูลลู่เดียวกันหรือไม่ ท้ายที่สุดก็เพราะมีตระกูลใหญ่มากมายที่มีแซ่ลู่ในเมืองหวงหลง
เมื่อเห็นผู้คนมากกว่าร้อยคนมารวมตัวกันในพริบตาพ่อบ้านคนนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับประสานมือทำความเคารพให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่
เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "สหายทั้งหลายข้าคือพ่อบ้านลู่จากคฤหาสน์ตระกูลลู่บนภูเขาเหลียนฮัว พวกท่านบางคนอาจรู้จักข้ามาก่อน เข้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วน
มีเด็กคนหนึ่งในตระกูลของเราจมน้ำ ตอนนี้เขาไม่หายใจแล้วพวกเราต้องการความช่วยเหลือโดยด่วนๆ สหายทั้งหลายหากผู้ใดมีความรู้ความสามารถโปรดยื่นมือช่วยเรา ตระกูลลู่จะไม่ลืมบุญคุณอย่างแน่นอน! "
พ่อบ้านตระกูลลู่มองผู้คนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่ทุกคนก็เงียบสนิทไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน
เอี้ยนลี่เฉียงเต็มไปด้วยความงงงวย มันแปลกเกินไปสำหรับพวกเขาที่มาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อมีคนจมน้ำตาย
"พ่อบ้านลู่ถ้าเด็กจมน้ำทำไมพวกท่านถึงไม่พาเขาไปพบแพทย์ ยิ่งพวกท่านถ่วงเวลาให้ช้าลงเด็กก็จะยิ่งมีอันตราย?" ในที่สุดก็มีคนถามคำถามดังๆออกมา
พ่อบ้านลู่เงียบไปสองสามวินาทีก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่คมชัด
"เราเชิญแพทย์ที่ดีที่สุดจากมณฑลหวงหลงและเขตผิงซีมาหมดแล้วแต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
เด็กน้อยของเราไม่หายใจมาสามสี่ชั่วยามแล้วพวกเราทำได้เพียงมาขอความช่วยเหลือจากทุกคนเนื่องจากเราไม่มีทางเลือกอื่น
หากมีใครพอจะช่วยได้เขาจะได้รับรางวัลจากตระกูลลู่อย่างมากมายแน่นอน และตระกูลลู่จะสำนึกบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง…”
ทุกคนรอบข้างเข้าใจสถานการณ์ทันทีเมื่อได้ยินคำอธิบายของเขา
ตระกูลลู่ได้ว่าจ้างแพทย์ที่ดีที่สุดในเมืองหวงหลงและเมืองหลวงมาแล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยเด็กได้
จากข้อมูลของพ่อบ้านลู่หกถึงแปดชั่วโมงผ่านไปแล้ว นั่นหมายความว่าเด็กที่จมน้ำได้หยุดหายใจไปเป็นเวลาหกถึงแปดชั่วโมง
หากแม้แต่แพทย์ที่ดีที่สุดที่ตระกูลลู่สามารถจ้างได้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วจะมีใครทำได้อีก?
วิชาชุบชีวิตคนตายไม่มีอะไรมากไปกว่าตำนาน เด็กจมน้ำและเวลาผ่านไปนานถึงขนาดนี้ เขาจะรอดได้อย่างไร? พวกเขาส่งพ่อบ้านออกไปลองเสี่ยงโชค นั่นหมายความว่าพวกเขาก็หมดหวังแล้วเช่นกัน
เมื่อคนรอบข้างได้ยินดังนั้นพวกเขาก็ส่ายหัวและแยกย้ายกันไปทันที แม้ว่ารางวัลอันยิ่งใหญ่ใดๆที่ตระกูลลู่สามารถมอบให้ได้อาจเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้
แม้ว่าพวกเขาจะไปที่นั่นเพื่อลอง แต่มันก็เป็นเพียงการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น
ผู้คนที่เดินออกไปกำลังคุยกันด้วยเสียงที่นุ่มนวล พวกเขาทุกคนสงสัยว่าเด็กคนไหนจากตระกูลลู่ที่จมน้ำตาย เพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้คนของตระกูลลู่เป็นอย่างมาก
เมื่อมองไปที่ฝูงชนที่กำลังแยกย้ายกันไปความสิ้นหวังและความผิดหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของพ่อบ้านลู่ เขาก้มศีรษะลงอย่างทำอะไรไม่ถูก ...
ในขณะนี้เอี้ยนลี่เฉียงก็พึมพำกับตัวเองจากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า “พ่อบ้านลู่บางทีข้าอาจสามารถลองได้…”
พ่อบ้านลู่เงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเอี้ยนลี่เฉียง เขาเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ถึงสิบห้าปีที่แต่งตัวเรียบๆยืนอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ ...
...