ตอนที่ 9 อิ่มทิพย์
ตอนที่ 9 อิ่มทิพย์
หยางซือเหมยท่องบทสวดมนต์ที่อาจารย์ของเธอท่องให้ฟังเมื่อครู่โดยไม่มีการติดขัดแม้แต่น้อย ขณะนั้นแม้ว่านักบวชผู้ชราจะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากอยู่ดี
“เนื่องจากเจ้าจำบทสวดมนต์ได้แล้ว ดังนั้นตอนนี้ให้เริ่มฝึกฝนทักษะการนั่งสมาธิเป็นเวลาสองชั่วโมง จากนั้นอาจารย์จะสอนเรื่องอื่นให้เจ้าต่อไป”
"ค่ะ!"
การท่องบทสวดเมื่อครู่เป็นส่วนหนึ่งการการฝึกสมาธิ โดยหยางซือเหมยมีความรู้สึกเหมือนว่า มันมีความลึกลับบางอย่างที่ลึกซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซ่อนเร้นอยู่ ทำให้เธอมีความรู้สึกต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยเร็วที่สุด
จากบทสวดมนต์นั้นสามารถทำให้เกิดมุมมองที่กว้างขึ้น ซึ่งมันเป็นการเหนี่ยวนำจิตวิญญาณทั้งหมด โดยสามารถแบ่งแยกออกได้เป็นสามขั้นตอน:
-การดึงสมาธิเข้าสู่ร่างกาย
-การชักนำวิญญาณกลับเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิด
-ชักนำวิญญาณเข้าสู่ความความเป็นหนึ่งเดียว
แต่จากมุมมองที่ละเอียดยิ่งขึ้นจะมีขอบเขตที่แตกต่างกันถึงยี่สิบขั้นตอน นับตั้งแต่การจัดระเบียบกล้ามเนื้อ การปรับแต่งโครงกระดูกไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงร่างกายทั้งหมดให้เป็นสถานะที่ว่างเปล่าแต่ยังคงมีสติระลึกรู้
หยูชิงพาเด็กน้อยเดินไปที่แอ่งน้ำด้านหลังวิหารและให้เธอนั่งบนหินสีขาวที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ขณะที่เขาอธิบายความหมายของบทสวดมนต์และกุญแจสำคัญในการฝึกฝน ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เธอสามารถเริ่มฝึกฝนผ่านเกณฑ์ของเข้าสู่สมาธิได้ด้วยตัวเอง
จากนั้นเขาได้นั่งขัดสมาธิลงด้านข้างแอ่งน้ำเพื่อฝึกฝนวิชาของตนเองโดยไม่สนใจความเย็นยะเยือกของน้ำค้างยามเช้าเลย
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเธอเข้าสู่สภาวะของการทำสมาธิแล้ว เธอก็รีบโยนความคิดที่ ยุ่งเหยิงทั้งหมดในหัวสมองของตัวเองออกไปในทันที และเริ่มหายใจพร้อมกับบริกรรมบทสวดมนต์ตามแนวทางของการนั่งสมาธิ
ในช่วงแรกเธอรู้สึกกระสับกระส่ายและไม่คุ้นเคย แต่หลังจากบริกรรมบทสวดมนต์ผ่านไปหลายรอบ ทันใดนั้นการหายใจเข้าและการหายใจออกของเธอก็ค่อย ๆ นุ่มนวลขึ้นและมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้น
โดยเมื่อหายใจเข้าร่างกายของเธอจะรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อยราวกับว่ารูขุมขนของตนเองกำลังดูดซับสาระสำคัญและพลังงานของต้นไม้เขียวขจีจากบริเวณโดยรอบ จากนั้นมันจะเข้าสู่ร่างกายโดยแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู
และเมื่อหายใจออกร่างกายของเธอจะรู้สึกเบาราวกับว่าสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์บางอย่างได้รับการชำระหมดสิ้นไปจากหัวใจของเธอ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ในขณะที่กำลังหลงใหลกับความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์นี้ ทันใดนั้นก็ได้เกิดปรากฏการณ์ความกลมกลืนระหว่างสวรรค์และมนุษย์ โดยมันทำให้เธอลืมสภาพแวดล้อมทั้งหมดของที่อยู่รอบกาย
เมื่อหยูชิงทำสมาธิเสร็จเขาก็เหลือบมองไปที่หยางซือเหมย และเห็นว่าตอนนี้หมอกที่ค่อนข้างหนาทึบกำลังปกคลุมร่างของเด็กน้อยทำให้นักบวชชรามีอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะยังมีคนในโลกนี้ที่สามารถสัมผัสถึงธรรมชาติของโลกได้ โดยการบรรลุขอบเขตแห่งความกลมกลืนระหว่างสวรรค์และมนุษย์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มฝึกนั่งสมาธิ
อัจฉริยะตัวจริง!
เขายืนขึ้นจากด้านข้างเเอ่งน้ำและคอยเฝ้าดูเด็กน้อยอยู่ด้านข้างขณะที่เธอฝึกฝนสมาธิด้วยความแน่วแน่
และเมื่อหยางซือเหมยออกมาสมาธิมันก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว โดยที่เธอใช้เวลานั่งสมาธิไปถึงหกชั่วโมงเต็ม ขณะที่ซือเหมยรู้สึกตกใจปนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ดวงอาทิตย์และพบว่า ตอนนี้มันกำลังอยู่เหนือศีรษะแล้วมองไปที่อาจารย์ของตนเองด้วยความสับสน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยการหายใจออกเบา ๆ ว่า
“เวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้ได้ยังไงคะอาจารย์?”
‘จ๊อก..จ๊อก..’
ทันใดนั้นเสียงที่แสดงถึงความหิวก็ดังออกมาจากท้องของเด็กน้อย โดยพบว่าตนเองรู้สึกหิวมากจนหนังท้องกำลังจะเว้าเข้าไปที่ด้านหลังของเธอ
เด็กน้อยย่นคิ้วเพื่อมองหยูชิงด้วยท่าทางมุ่ยก่อนที่จะกล่าวว่า
“อาจารย์ หนูหิวมากเลยค่ะ!”
หยูชิงเดินมาหยุดตรงหน้าและอุ้มเธอเข้าไปในวัด จากนั้นได้วางเธอลงบนที่นั่งแล้วรีบเข้าไปหาอาหารมาให้เธอทาน
ท้ายที่สุดหยางซือเหมยก็ลงเอยด้วยการกินข้าวสามชามกับเต้าหู้และผัดผักสองจาน แล้วตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลอีกหกลูกกว่าเธอจะรู้สึกอิ่มท้อง จากนั้นได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับปริมาณที่กินเข้าไปโดยแสดงสีหน้าที่เป็นกังวลเมื่อจ้องมองไปยังหยูชิง
“อาจารย์คะ หนูยังปฏิบัติไม่ถึงขั้นที่ไม่ต้องกินอาหาร เช่นเดียวกับผู้เป็นอมตะที่กินแค่เพียงสายลมและน้ำค้างนะคะ”
หยูชิงเคาะหัวเธออย่างขบขัน
“กินลมและดื่มน้ำค้างเหรอ? พูดได้ดี! แต่ในอดีตบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของเรามีหลายคนที่ผ่านการปฏิบัติจนถึงจุดที่พวกเขาสามารถอิ่มทิพย์ได้”
“อ่า...มีจริงเหรอคะ? อาจารย์หมายถึงพวกเขากลายเป็นอมตะใช่หรือเปล่าคะ?”
หยางซือเหมยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่อมตะ เพียงแค่มีบางอย่างที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“หวังว่าหนูจะสามารถบรรลุจุดนั้นได้เช่นกัน”
หยางซือเหมยโหยหาความสำเร็จ ถ้าเธอไม่จำเป็นต้องกินอะไรมันก็คงจะเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความหิวเหมือนในชาติที่แล้ว
______