ตอนที่ 259 พลังร่างอวตารอัฏฐวิถี
ตอนที่ 259 พลังร่างอวตารอัฏฐวิถี
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
ลู่โจวมองข้ามจุดนั้นไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าภาพวาดเก่าแก่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลือแน่ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดเก่าแก่หรือจะเป็นแผนที่ก็ตาม มันจะต้องมีความสำคัญมากพอ ถึงกับต้องทำเป็นภาพวาดแบบนี้แน่
ลู่โจวได้ก้มหน้าตัวเองลงไปก่อนที่จะศึกษาภาพวาดเก่าแก่อีกครั้ง หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่งตัวเขาก็พบว่าส่วนหนึ่งของภาพวาดเก่าแก่นั้นมันว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น นอกเหนือจากนั้นส่วนอื่นๆ ล้วนแต่ยังเป็นอะไรที่คลุมเครืออยู่ มันมีเพียงแค่โครงร่างเท่านั้น
โชคดีที่ลู่โจวคุ้นเคยกับโลกยุทธภพเป็นอย่างดี แม้ว่ามันจะไม่ได้เหมือนกับแผนที่ก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็สามารถคาดเดาได้อย่างคร่าวๆ จากภาพวาดเก่าแก่ที่ได้เห็นมันจะต้องเป็นสถานที่หนึ่งในพระราชวังแน่ "มณฑลหยาง, มณฑลจิ้ง, มณฑลเหลียง, มณฑลยี่, มณฑลชิง, มณฑลหยง..." ลู่โจวได้พูดต่อมา "ป่าม่านหมอก, หรงเป่ย, หรงซี...ทางทิศตะวันออกเป็นทะเลวังวล..."
'หืม? ' ขอบตรงนี้มันว่างเปล่า ลู่โจวได้เหลือบมองไปยังทางตะวันออกสุดขอบภาพวาด นอกเหนือจากมณฑลเหลียงที่เป็นพื้นที่ทางทิศตะวันออกที่เผ่าพันธ์อื่นอาศัยอยู่...ยังมีพื้นที่อย่างหรงเป่ยอีกด้วย พื้นที่ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า
ลู่โจวได้หันกลับมามองที่ตรงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ามันจะยากจะเชื่อแค่ไหนแต่สิ่งที่เขาคิดไม่ได้มีอะไรผิดไป
"จ้าวยู่" เสียงอันนุ่มลึกของลู่โจวได้ดังออกมาจากทางศาลาทางตะวันออก มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณอันทรงพลัง
จ้าวยู่กำลังฝึกฝนตัวเองอยู่ที่ศาลาทางทิศใต้ เมื่อได้ยินแบบนั้นนางก็ได้หยุดการฝึกฝนตัวเองก่อนที่จะตรงไปยังศาลาทางตะวันออกอย่างเร่งรีบ
"ศิษย์พี่" หยวนเอ๋อได้ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับสายสะพายนิพพาน นางกำลังลอยอยู่บนกลางอากาศนั่นเอง
"ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่มีเวลาที่จะมาประมือกับเจ้าหรอกนะ ท่านอาจารย์กำลังเรียกหาข้าน่ะ..."
"ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าจะไปกับท่านต่างหาก"
ทั้งสองได้ตรงไปยังศาลาที่อยู่ทางตะวันออกด้วยกัน ไม่นานนักทั้งคู่ก็ได้เดินทางมาถึง
"ท่านอาจารย์"
"ท่านอาจารย์เรียกหาศิษย์สินะคะ? "
ศิษย์ทั้งสองกำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกของห้องนั่งเล่น ทั้งสองกำลังคารวะลู่โจวผู้เป็นอาจารย์อย่างพร้อมเพรียงกัน ลู่โจวได้เดินออกมาก่อนที่จะชำเลืองมองศิษย์ทั้งสองคน "ส่งจดหมายไปหาเจียงอาเฉียนซะ บอกให้เจ้านั่นค้นหาของที่เป็นของพวกเราศาลาปีศาจลอยฟ้า"
"ท่านอาจารย์ ศิษย์ได้พยายามติดต่อเจียงอาเฉียนมาหลายวันแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเจ้านั่นก็ยังไม่ได้ตอบกลับมา..." จ้าวยู่ได้ตอบกลับ
"เจ้าไร้ยางอายนั่นไว้ใจไม่ได้สินะ" หยวนเอ๋อได้พูดเสริม
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ดูเหมือนเรื่องในครั้งนี้จะดูคลุมเครือมากกว่าที่คิดไว้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเจียงอาเฉียนสามารถที่จะรับมือทุกอย่างได้ เขาไม่คิดว่าเจียงอาเฉียนจะคิดทรยศตัวเองในเวลาแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเจียงอาเฉียนเองยังเป็นพวกรักชีวิตของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด เขาไม่ใช่คนที่ไปหาเรื่องใส่ตัวก่อนแน่
ลู่โจวนึกขึ้นได้ว่าเจียงอาเฉียนเคยพูดถึงเหวยซูหยาที่กำลังอยู่ในมณฑลจิ่ง นั่นเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ตัวเขาได้ส่งมา บางทีหลี่จิงเองก็อาจจะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน 'เจียงอาเฉียนตามเจ้าพวกนั้นไปไม่ได้สินะ? '
"ถ้าหากพวกเรายังติดต่อเจ้านั่นไม่ได้แล้วล่ะก็ เห็นทีพวกเราจะต้องไปตามหาเขาด้วยตัวเอง จ้าวยู่เตรียมตัวออกเดินทางไปที่พระราชวังซะ" ลู่โจวได้พูดขึ้น
สีหน้าของจ้าวยู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในตอนนี้นางได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ท่านอาจารย์...ด้วยพลังวรยุทธที่ศิษญ์มีมันช่างอ่อนแอยิ่งนัก พวกเราควรจะส่งศิษย์พี่สี่ไปไม่ดีกว่าหรอคะ? "
ลู่โจวมองไปที่จ้าวยู่อย่างจริงจัง โดยปกติแล้วนางจะเป็นศิษย์ผู้ที่กระตือรือร้นที่จะออกไปทำภารกิจที่ด้านนอก เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่านางจะรู้สึกกลัวแบบนี้ "เจ้ากำลังกลัวอยู่อย่างงั้นหรอ? "
"ศิษย์ก็แค่กังวลว่าจะทำให้แผนการของท่านอาจารย์ล้มเหลว" จ้าวยู่ตอบกลับมา
ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็สั่งการขึ้นมาใหม่ "เรียกศิษย์พี่สี่ของเจ้ามาซะ"
"ค่ะ ท่านอาจารย์" จ้าวยู่รีบหันกลับก่อนที่จะเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
ลู่โจวมองจ้าวยู่เดินจากไป ดูเหมือนว่านางจะดูรีบร้อนเป็นพิเศษ ศิษย์คนที่ห้าคนนี้อาจจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้
หลังจากที่เรื่องราวของยี่เทียนซินจบลง ค่าความจงรักภักดีของจ้าวยู่ก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงแล้วค่าความจงรักภักดีของนางก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อพูดถึงพระราชวัง จ้าวยู่กลับแสดงความรู้สึกกลัวออกมาเล็กน้อย 'หรือว่านางจะเกี่ยวข้องกับใครบางคนที่อยู่ในพระราชวังกัน? '
ลู่โจวนึกถึงภาพในตอนที่ไปช่วยจ้าวยู่ออกมา ตัวเขาจำได้ว่าจ้าวยู่เริ่มต้นจากการที่ไม่มีอะไรเลย เมื่อเห็นนางมีพรสวรรค์ที่จะฝึกยุทธอันยอดเยี่ยมท้ายที่สุดแล้วจีเทียนเด๋าก็ตัดสินใจที่จะรับนางมาเป็นศิษย์ จากความทรงจำเดิมที่มีจ้าวยู่คนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทางพระราชสำนักเลย 'ดูเหมือนว่าจะต้องเอาใจใส่นางมากกว่านี้สินะ...จนกว่าศิษย์คนนี้จะทำทุกอย่างที่ใจปรารถนาได้'
ยิ่งดูแลสั่งสอนอย่างเข้มงวดมากเท่าไหร่ก็คงจะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
"ท่านอาจารย์ ศิษย์เพิ่งจะฝึกใช้สายสะพายนิพพานได้คล่องขึ้นแล้ว! " หยวนเอ๋อที่เห็นผู้เป็นศิษย์พี่เดินจากไปก็ได้พูดขึ้น
"อย่างงั้นหรอกหรอ? "
"ท่านอาจารย์...นี่ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วที่ท่านอาจารย์ให้คำแนะนำสั่งสอนศิษย์..." หยวนเอ๋อดูเหมือนว่าจะต้องการอะไรบางอย่าง
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นลูบเคราพลางพยักหน้าไปด้วย ตัวเขาที่ผ่านมากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นๆ เป็นความจริงที่ตัวเขาแทบที่จะไม่มีเวลาสั่งสอนผู้เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายเลย "มีอะไรก็ถามมาเถอะ"
หยวนเอ๋อได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา "ได้โปรดประมือกับศิษย์เพื่อสั่งสอนศิษย์ด้วยเถอะว่าศิษย์กำลังขาดอะไรกันแน่"
"..." ลู่โจวยังคงเงียบในขณะที่ลูบเคราไปด้วย การต่อสู้ระหว่างผู้เป็นอาจารย์และศิษย์ไม่ได้รับว่าเป็นการซ้อมประมือกัน การทำแบบนั้นก็จะมีแต่การเอาชนะศิษย์โดยที่ไม่ได้แนะนำสั่งสอนอะไรมากนัก ลู่โจวต้องการที่จะชี้แนะศิษย์คนนั้นตามสไตล์การฝึกฝนเฉพาะตัวมากกว่า ศิษย์แต่ละคนก็ล้วนแต่มีจุดอ่อนจุดแข็งที่ไม่เหมือนกัน การใช้วิธีการเดียวกันในการอบรมสั่งสอนดูเหมือนจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับลู่โจว
ลู่โจวเองก็ยังมีพลังวรยุทธที่ไม่ได้สูงส่งอะไร เมื่อคิดถึงพลังของตัวเองตัวเขาก็คงจะชี้แนะอะไรหยวนเอ๋อผ่านการประมือไม่ได้แน่ 'ฉันควรจะปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตัวเองคงจะดีกว่า'
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็มาถึง "ท่านอาจารย์เรียกหาศิษย์อยู่อย่างงั้นหรอครับ? "
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา "ถ่ายทอดคำพูดของข้าไปให้เจียงอาเฉียน...บอกให้เจ้านั่นหาของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้าที่อยู่ในพระราชวังให้ข้า ถ้าหากเจ้านั่นไม่ตอบแล้วล่ะก็ เจ้าก็ไปตรวจสอบด้วยตัวเองซะ"
"ครับท่าอาจารย์" หมิงซี่หยินกำลังหันหลังกลับไป
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้หยุดเอาไว้ "ช้าก่อน"
"ท่านอาจารย์มีอะไรอีกอย่างงั้นหรอครับ? " หมิงซี่หยินได้หันกลับมาด้วยความเคารพ
"เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเพิ่งจะผ่านการฝึกฝนใช้อาวุธมา เจ้าก็ลองประมือกับนางดูก็แล้วกัน" ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างช้าๆ
หมิงซี่หยินได้พยักหน้าตอบรับก่อนที่จะพูดขึ้น "ได้ครับท่านอาจารย์...เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์ก็ได้ศึกษาเคล็ดวิชาเวหาพงพนาเพิ่มเติมจนพัฒนาฝีมือของตัวเองได้เช่นกัน ถ้าหากมีโอกาสศิษย์ก็อยากให้ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วย"
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม "สามหาว! "
"ศิษย์ไม่กล้า...ศิษย์ผิดไปแล้ว" จู่ๆ หมิงซี่หยินก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเขาพูดจาอวดดีไปหน่อย ศิษย์น้องเล็กของเขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้เป็นอาจารย์ การที่นางจะพูดขอร้องโดยตรงไปแบบนั้นก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ตัวเขาเองที่อาจหาญไป การเลียนแบบพฤติกรรมของผู้เป็นศิษย์น้องก็คงจะเป็นการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเมินเฉย "ไปขอร้องศิษย์พี่สามของเจ้าก็แล้วกัน"
"ครับท่านอาจารย์"
พรสวรรค์และวรยุทธที่ต้วนมู่เฉิงมีไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าหมิงซี่หยินเลย ถ้าหากต้วนมู่เฉิงมีปัญญาฉลาดหลักแหลมเหมือนกับหมิงซี่หยิน วรยุทธของเขาก็คงจะเหนือชั้นไปกว่าหมิงซี่หยินอย่างแน่นอน
'แล้วจะเป็นยังไงกันถ้าหากต้วนมู่เฉิงมาขอคำชี้แนะด้วยล่ะ? ' ลู่โจวกำลังคิดอยู่กับตัวเอง ในตอนนั้นภาพของฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ปรากฏขึ้นมาภายในใจของลู่โจว
แม้ว่าจะมีฮั๊ววู่เด๋าอยู่ แต่เขาคนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะท้าตัวของลู่โจวเองประลองด้วยเช่นกัน ฮั๊ววู่เด๋าเคยมีปมอยู่ภายในใจที่เก็บสะสมมาโดยตลอด 20 ปี 'แล้วใครล่ะที่จะเหมาะสมที่จะสั่งสอนฮั๊ววู่เด๋าได้? ' เล้งลั่วและฝานลี่เทียนคงจะยังไม่ฟื้นฟูพลังวรยุทธในเร็ววันนี้แน่
"ช้าก่อน" ลู่โจวได้เรียกหมิงซี่หยินกลับมาอีกครั้ง
"ครับท่านอาจารย์" หมิงซี่หยินได้หันกลับมาทำความเคารพอีกครั้ง
"ผู้อาวุโสฮั๊วได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่แท่นประลองดอกบัวเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วก็ให้เขาพักผ่อนให้เรียบร้อยซะ"
'หืม? ' หมิงซี่หยินรู้สึกสับสน ทำไมอาจารย์ของเขาถึงได้พูดถึงฮั๊ววู่เด๋ากัน 'ฮั๊ววู่เด๋าก็สบายดีไม่ใช่หรอ? แล้วทำไมท่านอาจารย์ถึงอยากที่จะให้เขาพักผ่อนด้วย? ' แต่ไม่ว่าจะสงสัยแค่ไหนผู้เป็นศิษย์ก็มีหน้าที่เชื่อฟังผู้เป็นอาจารย์ หมิงซี่หยินไม่กล้าที่จะตั้งคำถามกับลู่โจว ตัวเขาได้โค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับมา "ศิษย์จะไปบอกผู้อาวุโสฮั๊วเอง"
หมิงซี่หยินมองไปที่หยวนเอ๋อ ในตอนนี้ทั้งสองคนได้มาถึงลานว่างแห่งหนึ่งแล้ว
หลังจากที่ลู่โจวกลับเข้าห้องไป ตัวเขาก็เหลือบมองภาพวาดอันเก่าแก่ที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้ง ตัวเขาได้แต่นั่งขัดตะหมาดลงก่อนที่จะเรียกเมนูระบบออกมาอีกครั้ง
คำขอของหยวนเอ๋อถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการฝึกตน มันเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับผู้ฝึกยุทธทุกคน
ปัญหาที่ลู่โจวกังวลก็คือการซื่อพลังร่างอวตารร่างใหม่ ถ้าหากเขาซื้อพลังอวตารร่างใหม่มาพลังวรยุทธที่ตัวเขามีก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากทำแบบนั้นการ์ดพิเศษในร้านค้าเองก็จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ลู่โจวอยากที่จะซื้อการ์ดก่อนที่จะซื้อพลังร่างอวตาร
ตัวเขาได้เลือกเมนูร้านค้าก่อนที่จะเริ่มตรวจสอบราคาการ์ด
"หืม? " ลู่โจวได้แต่พูดสาปแช่งระบบอยู่ภายในใจ 'การ์ดพวกนี้ราคาเพิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่กัน? '
ลู่โจวเพิ่งจะเช็คราคาการ์ดพิเศษต่างๆ ไปเมื่อไม่นานมานี้ หรือว่าการเปิดกล่องและการครอบครองชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ก่อนหน้านี้จะทำให้ราคาของการ์ดเพิ่มสูงขึ้นกัน? นี่ถือเป็นสิ่งเดียวที่ลู่โจวได้ทำเมื่อเร็วๆ นี้ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงข้อสันนิษฐานที่ลู่โจวก่อนหน้านี้ก็คงจะไม่ถูกต้องแน่
ส่วนปัจจัยที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คงจะเป็นความถี่ในการใช้งานการ์ดพิเศษ จำนวนการซื้อและการพัฒนาพลังวรยุทธของตัวเองคงจะเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยในการเพิ่มราคาทั่วไป บางทีปัจจัยที่สำคัญที่สุดอาจจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากระบบ มันอาจจะขึ้นอยู่กับของที่ตัวเขาได้รับมา
มันก็เหมือนกับการทำข้อสอบ การที่ใครสักคนจะทำคะแนนจากจุดที่ต่ำที่สุดไปถึงจุดที่เป็นค่าเฉลี่ยได้เป็นเรื่องง่าย การที่จะเพิ่มคะแนนให้มากกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีความยากมากขึ้นเช่นกัน
'ลืมมันไปจะดีกว่า ก็ดีแล้วที่การ์ดพวกนี้ราคาแพงขึ้น อย่างน้อยๆ ฉันก็จะได้รู้ตัวเองว่าไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์และเรื่องขาดทุนเท่านั้น'
ลู่โจวได้ตรวจสอบราคาการ์ด
การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต: 1,500
การ์ดป้องกันไร้ที่ติ: 1,000
การ์ดประกันชีวิต: 600
การ์ดคลื่นสายฟ้า: 500
การ์ดกรงผนึกกักขัง: 800
'ถ้าหากมันขึ้นราคามาแล้วมันก็คงจะไม่ขึ้นราคาในเร็วๆ นี้สินะ? '
ในที่สุดลู่โจวก็ได้ซื่อพลังร่างอวตารร่างใหม่
"ติ้ง! ได้รับอวตารอัฏฐวิถี ใช้แต้มบุญ 20,000"
"ใช้งานซะ"
ลู่โจวได้หลับตาชั่วครู่ ในตอนนั้นเองตัวเขาก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภายในร่างกายได้ มันเป็นเพราะอวตารร่างใหม่อย่างอวตารอัฏฐวิถี
สำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลาย การที่ใช้พลังร่างอวตารเป็นครั้งแรกก็เป็นเหมือนกับโอกาสในการฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกยุทธจะเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่กับเพราะร่างอวตารที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเดียว ทั้งกายและใจของผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
พลังร่างอวตารอัฏฐวิถีได้เชื่อมต่อกับร่างกายของลู่โจวก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นพลังอันเหน็บหนาว, พลังความร้อน, พลังอันไร้ตัวตน, ของแข็ง, ของเหลว, พลังภายใน, หยินและหยาง เมื่อพลังร่างอวตารอัฏฐวิถีเชื่อมต่อเข้ากับร่างกายเป็นที่เรียบร้อย ร่างกายของคนคนนั้นก็จะต้านทานปัจจัยทั้งหมดที่ว่ามาได้เพิ่มมากขึ้น
ถ้าหากจะพูดให้เห็นภาพร่างกายของคนคนนั้นก็จะแข็งแรงมากขึ้น มีสุขภาพที่ดีไม่เจ็บป่วยได้ง่าย การที่จะเอาตัวรอดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายก็จะง่ายกว่าคนธรรมดาทั่วไป ในขณะที่ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงไป ถ้าหากผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่สามารถอดทนกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปได้ คนคนนั้นก็จะไม่สามารถมีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นได้
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงแต่ลู่โจวก็ไม่ได้เป็นกังวลเลย ตัวเขามีวิธีการฝึกฝนตัวเองที่เป็นเอกลักษณ์ ตัวเขามีทั้งประสบการณ์และความรู้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ในตอนนั้นเองที่ห้องโถงแห่งหนึ่งภายในพระราชวังของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
มีหญิงสาวนางหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดงสด นางกำลังจ้องมองดูเงาสะท้อนที่มาจากกระจกที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นแบบนั้นนางก็ได้ไอออกมาเบาๆ
อีกด้านหนึ่งก็มีชายชุดดำสวมใส่หน้ากากแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้นมา
"น้องชายม่อหลี่...เจ้าจะมอบหมายงานนี้ให้กับข้าจริงๆ อย่างงั้นหรอ? " ชายสวมหน้ากากถามขึ้น
"ข้าเป็นน้องสาวของเจ้า..." ม่อหลี่ได้โต้กลับไปในทันที
ชายสวมหน้ากากมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ตัวเขาได้หันหน้าหนีไปมองด้านนอกก่อนที่จะพูดออกมา "เป็นเพราะองค์ชายองค์ที่สองมีเครื่องรางชิ้นนี้อย่างงั้นหรอ? "
ม่อหลี่เงียบไปชั่วครู่ หลังจากนั้นนางก็ได้ตอบกลับมา "ตราบใดที่ข้าสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ข้าก็ยอมที่จะทำทุกอย่าง"
"เรื่องในพระราชวังคงจะไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดแน่ในเมื่อองค์ชายองค์ที่สี่เสด็จกลับมาแล้ว..." ชายสวมหน้ากากพูดขึ้น
"นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้าต้องขอความช่วยเหลือจากท่านพี่" ม่อหลี่ได้พูดขึ้น
"ข้าเคยประมือปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นมาก่อนแล้ว...ในตอนนั้นเทียนยู่ของข้าก็ได้รับบาดเจ็บหนัก มันคงจะต่อสู้ไม่ได้ไปสักระยะหนึ่ง" ชามสวมหน้ากากพูดออกมา
เมื่อได้ยินแบบนั้นม่อหลี่ก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา "ข้าไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นจะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้...แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังเชื่อในท่านอยู่ดีท่านพี่...ท่านคืออัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญในการใช้เวทมนตร์คาถาลั่วหลานที่ปรากฎตัวขึ้นมาในรอบ 300 ปี ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาทองของท่าน...ในทางกลับกันนี่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการถดถอยของปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่น ทุกคนในโลกยุทธภพรอเพียงเวลาของเขาจะหมดลง...เมื่อตาแก่นั่นตายไป ก็จะไม่มีใครหยุดแผนการของข้าได้อีกต่อไป"
ชายสวมหน้ากากยังคงเงียบ
ม่อหลี่ได้พูดต่อไป "อาการบาดเจ็บของข้าเองก็ยังไม่หายดี...เห็นทีข้าจะต้องพึ่งพาท่านอีกครั้งแล้วล่ะท่านพี่"
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงสาวใช้ดังขึ้น "ท่านหญิง องค์ชายองค์ที่สองกำลังเรียกหาท่าน"
"ข้าเข้าใจแล้ว"
"องค์ชายองค์ที่สองอยากจะพบกับผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะที่ท่านได้กล่าวถึง" สาวใช้คนนั้นพูดต่อ
ม่อหลี่ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น "ท่านพี่ไม่ได้บอกหรอกหรอ? ว่าท่านจะได้แสดงพลังในเร็ววันนี้น่ะ"
สองวันต่อมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ทางศาลาตะวันออก
ในตอนนั้นเองมีพลังมากมายหลายอย่างมารวมตัวกัน บางครั้งมันก็เปลี่ยนให้มีอากาศหนาว บางครั้งมันก็เปลี่ยนให้อากาศร้อนแทน
จ้าวยู่, หยวนเอ๋อ และต้วนมู่เฉิงรู้สึกถึงพลังอันผันผวนนั้นดี ในตอนนี้ทั้งสามคนจึงรวมตัวกันอยู่ที่ศาลาทางตะวันออก
"เกิดอะไรขึ้นกัน? "
"ความผันผวนของพลังนี่...ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังพยายามเชื่อมต่อกับพลังร่างอวตารอัฏฐวิถีอยู่เลย" ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาพร้อมขมวดคิ้ว
หยวนเอ๋อได้เอานิ้วของตัวเองกดลงบนริมฝีปากก่อนที่จะพูดขึ้น "ศิษย์พี่สี่เคยว่าเอาไว้ ไม่ว่าจะมีอะไรที่แปลกประหลาดแค่ไหนเกิดขึ้นรอบตัวท่านอาจารย์ พวกเราก็ไม่ควรที่จะไปพูดถึง ศิษย์พี่สี่ให้พวกเราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น! "
จ้าวยู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย "เจ้าพูดถูกแล้ว...พวกเราควรจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยจะดีกว่า"
ซู่ววว!
ในตอนนั้นเองคลื่นพลังอันแข็งแกร่งก็ได้แผ่ขยายไปรอบๆ หลังจากนั้นได้ไม่นานฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นผู้ที่มีทั้งความรู้กวางขว้างและยังเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุดแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ถึงพลังอันผันผวนที่เกิดขึ้นนี้ได้
"นี่มันพลังของอวตารอัฏฐวิถีไม่ใช่หรอ? "
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย