Ep.671 - หน้าไหนกล้าปล้นฉัน มันต้องตาย!
1/4
Ep.671 - หน้าไหนกล้าปล้นฉัน มันต้องตาย!
นี่เป็นอีกครั้งที่ฉินเฟิงต่อสู้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน และยังเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถยกระดับสองครั้งซ้อน ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพลังงานจากความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังสมาธิของเขมือบฟ้า
เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้มีขนาดยาวเป็นพันเมตร อาศัยแค่ปริมาณเนื้อหนังของมัน ก็พอจะบอกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุด
ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดฉินเฟิงก็ลืมตาขึ้น
เมื่อเสร็จสิ้นการดูดซับพลังงานจากการตายของเขมือบฟ้า ฉินเฟิงในปัจจุบันอยู่ห่างจากเลเวล B ไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หยูหยางเต๋าที่กำลังเฝ้ามองฉินเฟิง เมื่อเห็นอีกฝ่ายลืมตา กลับบังเกิดความรู้สึกราวพบพานสัตว์ร้ายในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล
“ฉินเฟิง ขอแสดงความยินดีด้วย” หยูหยางเต๋าทอดถอนหายใจ
หยูหยางเต๋าทราบว่าฉินเฟิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืด ทั้งตอนนี้ยังทราบว่าอีกฝ่ายครอบครองอบิลิตี้ในการดูดกลืนพลังงานหรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งผู้ใช้อบิลิตี้มืดคนอื่นก็ทำได้เช่นกัน แต่ที่แน่ๆหยูหยางเต๋าไม่เคยเห็นอบิลิตี้ที่ทรงพลังขนาดนี้มาก่อนเลย
อบิลิตี้ประเภทนี้สามารถดูดซับวัตถุหรือสสารใดๆ แปลงพวกมันมาเป็นพลังให้แก่ตนเองได้โดยตรง แต่ประสิทธิภาพที่ฉินเฟิงสำแดงออกมา มันไม่เหมือนกับคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง
แต่จะยังไงก็ช่าง ที่แน่ๆมันทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขอบคุณ” ฉินเฟิงรับคำยินดี กวาดมองรอบๆเที่ยวหนึ่ง และกล่าว “งั้นพวกเราออกไปกันเถอะ”
“อา! ถึงเวลาเสียที ยอดไปเลย!”
หยูหยางเต๋ารู้สึกตื่นเต้นมากในเวลานี้
ถึงจะใช้เวลานานกว่าสิบชั่วโมง แต่พวกเขาสามารถสังหารเขมือบฟ้าได้อย่างกะทันหัน สามารถรอดชีวิตกลับไปบนบกได้!
ฉินเฟิงเก็บโล่ปราณกำลังภายในกลับคืน เพราะตอนนี้หยูหยางเต๋าไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากเขาอีกแล้ว
“ปีกเปลวเพลิง!” คู่ปีกสีฟ้างอกบนแผ่นหลังของฉินเฟิง จากนั้นกางออก ชักนำตัวเขาทะยานขึ้นสู่เบื้องบน
เบื้องหลังเขา มีหยูหยางเต๋าใช้อบิลิตี้ลมบินตามมาติดๆ
“มีดเปลวเพลิง!” มีดกษัตริย์ฺครามของฉินเฟิงกวัดแกว่งอีกครั้ง ชั้นเนื้อเบื้องหน้าถูกตัดออก และในที่สุด หลังจากผ่านตำแหน่งที่มีผนังเนื้อคอยกีกขวาง อากาศเย็นชื้นก็พุ่งสวนเข้ามา ไหลเข้าจมูก ปะทะเข้ากับผิวหนังของพวกเขา
ฉินเฟิงเปิดช่องว่างขนาดเท่าตัวมนุษย์ สามารถทะลุออกมาสู่ผิวหนังชั้นนอกของเขมือบฟ้าได้สำเร็จ!
ช่วงเวลานี้ คลื่นทะเลคลั่งได้สงบลงแล้ว แต่เนื่องจากตำแหน่งที่พวกเขาอยู่คือท่ามกลางท้องทะเล ดังนั้นยังมีกระแสน้ำคอยซัดสาด อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนหยัดบนร่างใหญ่ของเขมือบฟ้า กระแสน้ำเหล่านี้ไม่สามารถกระเทือนร่างของเขมือบฟ้าได้เลย
อีกอย่าง แรงดันของมวลน้ำเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจมาก ต่อให้เป็นสัตว์ร้ายขนาดตัวใหญ่ยักษ์อย่างเขมือบฟ้า แต่เนื่องจากในเกิดการระเบิดจากภายใน เปลี่ยนบางส่วนให้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง คล้ายมีถุงลมขนาดใหญ่อยู่ภายใน ส่งผลให้ศพเขมือบฟ้าเริ่มยกตัว ลอยขึ้นจากใต้ทะเลมาสู่ผิวน้ำ
แต่ในเวลานี้ เมื่อฉินเฟิงใช้มีดแทงเปิดรูที่ผิวหนังด้านนอกของเขมือบฟ้า ถุงลมขนาดใหญ่ที่ว่าก็เกิดการรั่วไหล ฉินเฟิงรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าร่างของเขมือบฟ้ากำลังจมลง
ทั้งยังด้วยความเร็วที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น
หยูหยางเต๋าตามออกมาติดๆ แต่แล้วสีหน้าของเขาก็ต้องแปรเปลี่ยนไป
นั่นเพราะเวลานี้ รอบศพเขมือบฟ้า ทั้งบนท้องฟ้าและในน้ำ มันเต็มไปด้วยฝูงสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัว !
“นั่นอีแร้งสมุทรสายฟ้า!”
สิ่งมีชีวิตตัวนี้ มีความยาวมากกว่าสิบเมตร ความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล B มีปีกคล้ายดั่งมังกรดูน่ายำเกรง บินเวียนวนอยู่บนท้องฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในฝูงยังกระจุกตัวกันหนาแน่น มองคร่าวๆน่าจะมีอย่างน้อยเกินร้อยตัว
เดิมที สิ่งมีชีวิตดังกล่าวสำหรับเขมือบฟ้าแล้ว พวกมันก็แค่ ‘นก’ ฝูงหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขมือบฟ้าได้ตายไปแล้ว ดังนั้นศพของมันย่อมเป็นที่ปรารถนาโดยธรรมชาติ และยิ่งนาน ก็ยิ่งมีสัตว์ทะเลถูกดึงดูดเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลานี้ หยูหยางเต๋าสัมผัสได้ ว่าเหนือผิวทะเลไกลออกไป ปรากฏสัตว์ร้ายที่ใบหน้ามีรูปลักษณ์ทรงสามเหลี่ยมกำลังตรงเข้ามาเช่นกัน
“นั่นฉลามปีศาจ!”
ยังไม่พอ ยิ่งปลดปล่อยพลังสมาธิออกไป ก็ยิ่งพบว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังตรงมารวมตัวกันที่นี่
เพราะเลือดของเขมือบฟ้า … สำหรับสัตว์ทะเลแล้ว มันหอมหวานน่าดึงดูดมากเกินไป!
ช่วงเวลานี้ สีหน้าของฉินเฟิงก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน
แกว๊ก!
บนท้องฟ้า แร้งสมุทรส่งเสียงแหลมบาดหูผู้คน เนื่องจากฉินเฟิงแหวกศพเปิดช่องว่างจากภายใน กลิ่นเลือดที่อัดแน่นก็ยิ่งโชยออกมา จนพวกแร้งไม่สามารถอดรนได้อีกต่อไป ถลาลงมา
พวกมันปรารถนาจะลิ้มชิมรสเนื้อของเขมือบฟ้า!
แต่ฉินเฟิงมีหรือจะยอม? ผิวหนังชั้นนอกของเขมือบฟ้า เป็นวัตถุดิบชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย จะเลือดหรือเนื้อของมันก็เป็นของหายากเช่นกัน ฉะนั้นเขาจะปล่อยให้สัตว์ร้ายฉกไปครอบครองได้อย่างไร?
ฉินเฟิงอ้าปากคำรามด้วยความโกรธทันที
“ไสหัวไปให้พ้น!”
มีดกษัตริย์ครามวาดสะบัด เปลวเพลิงสีม่วงทะมึนปะทุพลุ่งพล่าน!
เพียงพริบตา แร้งสมุทรสายฟ้ากว่าสามตัวถูกสะบั้นเป็นสองซีกในคราเดียว
แร้งสมุทรสายฟ้าที่กำลังโฉบตามลงมา บังเกิดความตื่นตระหนก กางปีกลดทอนความเร็ว อาศัยลมหนุนยกตัวลอยสูงขึ้นอีกรอบทันที พวกมันน่ะเป็นสัตว์ปีก ดังนั้นไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ทางน้ำ อย่างไรก็ตาม ฝูงแร้งยังคงบินวนอยู่รอบๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมที่จะจากไป
แกว๊กกก!
แร้งสมุทรร้องโวยวายเสียงแหลม ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นตระหนก
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มปรากฏสัตว์ทะเลว่ายตรงเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เวียนวนอยู่รอบศพเขมือบฟ้าเป็นกลุ่มใหญ่
เวลานี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ธรรมดาๆอีกต่อไป หากแต่ไม่ต่างไปจากสงคราม!
และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานฝูงสัตว์ร้ายจะมารวมตัวกันจนก่อให้เกิดกระแสกองทัพสัตว์ทะเล!
“ฉินเฟิง อันดับแรกพวกเราควรหนีกันก่อน” หยูหยางเต๋าตอนนี้รู้สึกเสียดายสุดแสน แต่เจ้าตัวทราบดี ว่าหากพวกเขายังรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าไม่ถูกฉีกทึ้ง ก็คงถูกสัตว์ทะเลนับไม่ถ้วนกดทับจนตาย!
แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายก้มลงมองวัตถุดิบของเขมือบฟ้า ไม่อาจทำใจยอมทิ้งได้
ขณะเดียวกัน ภายใต้พลังรับรู้ ยิ่งนานก็ยิ่งตรวจจับได้ถึงสัตว์ทะเลที่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ความสุขที่เพิ่งรอดชีวิตมาได้มลายหายไป หยูหยางเต๋าสัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายอีกครั้ง
ซึ่งในวันนี้เพียงวันเดียว หยูหยางเต๋ารู้สึกว่า ‘รอดแล้วโว้ย’ กับ ‘ชิบหายไม่รอดแน่ๆ’ อารมณ์ขึ้นๆลงๆแบบนี้มากถึง 3 ครั้งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
“กล้าดียังไงคิดมาปล้นสมบัตของฉัน ตัวไหนกล้าเสนอหน้ามันต้องตาย!”
หยูหยางเต๋าผุดยิ้มขม และกล่าว “พูดเหมือนกับพวกมันจะฟังออกอย่างนั้นแหละ นั่นมันสัตว์ร้ายนะ!”
“จะฟังรู้เรื่องหรือไม่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน!”
ขณะกล่าว ฉินเฟิงระเบิดพลังสมาธิอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งมือวาดออกไป
หยูหยางเต๋าเห็นแค่เพียงในมือของฉินเฟิง พรั่งพรูไปด้วยรูนมืดอันน่าหวาดกลัว
ยังไม่พอ รูนมืดที่ท่วมท้นออกมานี้ ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พวกมันค่อยๆก่อร่างขึ้นเป็นดอกบัวสีหมึก
ในพริบตา เสียงโดยรอบคล้ายถูกบัวดอกนี้ดูดซึมเข้ามา วิสัยทัศน์ของทุกชีวิตโดยรอบกลายเป็นมืดมน ทั้งยังบังเกิดความรู้สึกเดียวกัน นั่นคือสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดกลัว กำลังแผ่ออกมาจากบัวดอก
ฉินเฟิงเงื้อมมือสูงขึ้น ดอกบัวเคลื่อนตัวตาม ลอยขึ้นเหนือศีรษะเขา
และในตอนนั้นเอง ดอกบัวพลันเบ่งบานอย่างกะทันหัน แปรสภาพกลายเป็นเมฆครึ้มน่าสยดสยอง ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
“เทคนิคดอกไม้แห่งการทำลายล้าง!”
นี่คืออบิลิตี้มืดที่ฉินเฟิงไม่ได้ใช้มันเป็นเวลานาน!
มันคือการดำรงอยู่ที่เทียบเท่าได้กับเทคนิคเพลิงบรรจบ แต่เนื่องจากปัจจุบันเขาอยู่กลางทะเล ดังนั้นเพลิงบรรจบไม่อาจสำแดงประสิทธิภาพได้ ส่วนในตอนแรก อบิลิตี้มืดของตนไม่มากพอที่จะใช้กำจัดเขมือบฟ้า อย่างไรก็ตาม หากใช้กำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อาศัยเจ้าสิ่งนี้นับว่าเพียงพอ!
บนท้องฟ้า ดอกบัวแปรเปลี่ยนเป็นเมฆดำขนาดใหญ่ โปรยปรายกลีบดอกร่วงโรยลงมา กลีบดอกเหล่านี้มีขนาดใหญ่มาก ไม่ด้อยไปกว่าขนาดตัวของอีแร้งสมุทรสายฟ้าเลย
กลีบดอกโปรยปราย โถมเข้าห่อหุ้มปกคลุมร่างของแร้งสมุทรตัวหนึ่ง และยามกลีบดอกแยกตัวออกมาอีกที ร่างของแร้งสมุทรก็สูญพลังชีวิตไปจนหมดสิ้นแล้ว
ฉากนี้แปลกมาก ประหลาดเกินกว่าจะยกสิ่งใดขึ้นมาเปรียบ!
หลังจากกลีบดอกแรกร่วงโรย อีกหลายกลีบดอกนับไม่ถ้วนก็หล่นตามมาจากเมฆครึ้ม
หัวหน้าฝูงอีแร้งสมทุร ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า ภาพนี้มองไกลๆราวกับเกี๊ยวยัดไส้ที่ถูกหย่อนลงบนกระทะน้ำมัน
“นี่ …” หยูหยางเต๋าไม่นึกฝันว่าจะเป็นเช่นนี้ การแสดงออกของความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
เดิมหยูหยางเต๋าคิดว่ากระบวนท่ากำลังภายในที่ฉินเฟิงใช้สังหารเขมือบฟ้าว่าแข็งแกร่งรุนแรงแล้ว แต่เมื่ออยู่ภายใต้อำนาจทำลายล้างนี้ เขาอดช็อกไม่ได้
--ยิ่งรู้จักกัน ยิ่งไม่อาจคาดหยั่งถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง!
เมื่อดอกไม้แห่งการทำลายล้างปรากฏออกมา อีแร้งสมุทรที่อยู่เบื้องบน ตัวตนที่มักทำให้ผู้คนผวาและหลบเลี่ยง ก็ถูกกวาดล้างไปอย่างสิ้นเชิงทั้งๆแบบนั้น
ปัจจุบัน ร่างของอีแร้งสมุทรร่วงตกลงมา ทับลงบนตัวเขมือบฟ้า เหตุการณ์นี้ยิ่งส่งผลให้ศพเขมือบฟ้าจมลงเร็วยิ่งกว่าเดิม …
***เสาร์อาทิตย์ช่วงเที่ยงๆบ่ายๆผมไม่ค่อยว่าง ขออนุญาตลงตอนเดียวก่อนนะครับ อีก 3 ตอนจะมาช่วง 6 โมงเย็นครับ**