ARI ตอนที่ 2 สายเลือดไม่สามารถปฏิเสธได้ (1)
วันนี้เขาก็ยังคงกลับบ้านมาดึกเหมือนทุกวัน
เขาทำงานตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งเช้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนนี้เขาทั้งปวดหลังและเจ็บแขน อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตรงกลับไปที่บ้านของเขาทันที แต่แวะที่ร้านสะดวกซื้อแทน เพื่อผ่อนคล้ายจิตใจที่เหนื่อยล้าพอๆกับร่างกายของเขา เขาจึงต้องการโซจูและราเมนสักถ้วย
“แฮ่ก... แฮ่ก...”
บ้านของเขานั้นตั้งอยู่ในสลัม ในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นไปที่บ้านของเขา ลมหายใจของเขามันก็เริ่มหนักขึ้น เขาอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าทศวรรษ แม้ว่าเขาจะแข็งแรงขึ้นจากการทำงาน แต่เขาก็ไม่ชินกับการขึ้นเนินเขานี่สักที
เอี๊ยด....
ประตูเหล็กบานเก่าส่งเสียงร้องออกมาเมื่อเขาผลักมัน เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นและไม่ได้ขยับไปไหน จากหน้าต่างเขาสามารถเห็นแสงสว่างที่ออกมาจากภายในห้องของเขา
เขาอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าหากไฟในห้องของเขาเปิดอยู่ล่ะก็ เขานึกถึงความเป็นไปได้แค่สองอย่างเท่านั้นนั่นคือมีคนบุกเข้ามา หรือไม่ก็พ่อของเขาที่ทิ้งเขาไปเมื่อสองปีก่อนกลับมาแล้ว
คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นคนยากจน ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะใช่ขโมย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมดวงตาของเขาจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีที่เขาเห็นแสงสว่าง
“พ่อ! พ่อครับ!”
แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย แต่เขาก็เป็นครอบครัวคนเดียวที่เขามี ดังนั้นแฮจินจึงคิดถึงเขามากกว่าที่จะเกลียดเขา
เขารีบเข้าไปข้างในขณะที่เรียกพ่อของเขาไปด้วย
“แฮจิน”
“หืม? พ่อ!”
ด้วยผมขาวและเครายาวที่ไม่ได้โกนมาหลายเดือน ทำให้เขาดูเหมือนคนที่อาศัยอยู่ในป่าตามลำพัง ถ้าแฮจินเจอเขาที่ข้างถนน เขาคงจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นพ่อของเขาเอง
ใบหน้าพ่อของเขาซีดเซียว เขาล้มลงกับพื้นขณะที่กำลังเรียกชื่อลูกชายของเขา แฮจินที่กำลังประหลาดใจเดินเข้าไปหาเขาแล้วค่อยๆพยุงเขาขึ้นมา
“พ่อครับนี่มันเกิดอะไรขึ้น? อดทนไว้ก่อนนะพ่อ เดี๋ยวผมจะรีบโทรไปที่119”
ยอนซอกพ่อของแฮจินดูจะไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ลูกชายของเขากำลังพูดสักเท่าไหร่ เขาค่อยๆหยิบบางสิ่งที่ถูกห่อด้วยหนังสือพิมพ์ออกมาจากกระเป๋าของเขา และมอบมันให้แฮจิน
“นี่คือ....”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้แกะดู แต่แฮจินก็สามารถรู้ได้ทันทีเลยว่ามันคืออะไร มันต้องเป็นหนึ่งในวัตถุโบราณที่พ่อของเขาขโมยมา
“ไม่ ผมสามารถอยู่ได้แม้ว่าจะไม่มีมันก็ตาม”
แฮจินรีบกดหมายเลข119อย่างรวดเร็วเพื่อขอความช่วยเหลือ
ยอนซอกพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “พ่อขอโทษ เพราะพ่อ...”
“ถ้าพ่อคิดได้อย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาก่อน และบอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ลูกรู้ใช่ไหมว่าพ่อหมายถึงอะไร?”
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าในที่สุดอะไรมันจะเกิดขึ้น
นานมาแล้วเมื่อตอนแฮจินยังคงเรียนอยู่ชั้นประถม ยอนซอกพ่อของเขาถูกบังคับให้ขุดหาวัตถุโบราณจากสุสานโดยตัวแทนจำหน่ายศิลปะชาวญี่ปุ่นผู้ชั่วร้ายอยู่หลายปี
เขาต้องทำงานโดยไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาป่วยเป็นโรคปอด ต่อมาเขาก็ได้รับการผ่าตัดที่หัวเข่า และด้วยเหตุนี้เองมันจึงทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงไปอีก
ในเวลานั้นแฮจินได้แนะนำพ่อของเขาให้ไปลองหางานอย่างอื่นทำเนื่องสุขภาพของเขามันไม่ค่อยดีนัก ยอนซอกจึงพยายามหางานที่อินซาดง(ถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าที่รับแลกเปลี่ยนของโบราณ) แต่เขาก็ไม่สามารถทำเงินได้มากนัก เขาจึงกลับมาปล้นสุสานตามเดิม
เขานั้นไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเขาเกิดมาในช่วงยุคที่เกาหลีมีสงคราม การปล้นสุสานจึงเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้
“อดทนไว้นะพ่อ มันน่าจะเหมือนกับครั้งที่แล้ว พ่อจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง”
“ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน พ่อรู้อยู่แก่ใจว่ามันถึงเวลาที่จะจากไปแล้ว”
ยอนซอกส่ายหัวและพยายามยกมือที่สั่นเทาของเขาขึ้นมาเพื่อลูบใบหน้าของลูกชาย
“เด็กโง่ มันเป็นความผิดของพ่อทั้งหมด พ่อไม่ดีเอง”
“ไม่เป็นไรครับพ่อ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ตลอดช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับพ่อผมมีความสุขมาก”
“เด็กที่น่าสงสาร... เด็กที่น่าสงสาร....”
น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของยอนซอก มือที่กำลังลูบใบหน้าของแฮจินอยู่เริ่มหมดเรี่ยวแรงและในที่สุดมันก็ตกลงมา
“พ่อ!”
ในคืนนั้นแฮจินได้สูญเสียพ่อของเขาไป
งานศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครมาตามหายอนซอก ดังนั้นแฮจินจึงเผาศพของเขาและโปรยอัฐิของเขาลงไปในทะเล พ่อของเขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการปล้นสุสานของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงไม่พูดเกี่ยวกับหลุมฝังศพของตัวเอง
เมื่อกลับถึงบ้าน แฮจินจึงเดินไปหยิบของที่อยู่ตรงมุมห้องของเขาขึ้นมา
เมื่อตอนที่แฮจินยังเด็กอยู่ ยอนซอกพ่อของเขาเคยพาเขาไปปล้นสุสานที่จีน เวียดนามและกัมพูชา อย่างไรก็ตามลูกชายของเขากลับคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร ดังนั้นเขาจึงพยายามหยุดพ่อของเขา แต่พ่อของเขาก็ไม่ฟัง
หลังจากที่สุขภาพของเขาเริ่มแย่ลง ยอนซอกจึงแบ่งเงินส่วนหนึ่งที่เขาได้รับจากการปล้นสุสานเอาไว้สำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันของพวกเขา ในขณะที่ส่วนที่เหลือเขานำไปซื้อวัตถุโบราณของเกาหลีที่อยู่นอกประเทศ และบริจาคพวกมันให้พิพิธภัณฑ์โดยไม่ระบุชื่อ
แฮจินไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่ยอนซอกก็อธิบายว่าปู่ของเขา หรือก็คือพ่อของยอนซอกนั้นเป็นตัวแทนจำหน่ายของโบราณที่ขายวัตถุโบราณของเกาหลีจำนวนมากให้กับต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงยึดมั่นกับมันราวกับว่านี่เป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต ยอนซอกเขาต้องการใช้หนี้แทนพ่อของเขาหลังจากที่เขาป่วย
หลังจากที่เขาแอบซื้อวัตถุโบราณของเกาหลีมาได้แล้ว เขาก็มักจะพูดเสมอว่า “ถ้าฉันไม่สามารถซื้อวัตถุโบราณของเกาหลีกลับมาได้ เช่นนั้นฉันก็ไม่สามารถชดใช้หนี้ที่พ่อของฉันทำเอาไว้กับประเทศนี้ได้”
แฮจินเขาไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดที่ว่า ปล้นสุสานของประเทศอื่นเพื่อนำวัตถุโบราณของประเทศตัวเองกลับมา อย่างไรตามพ่อของเขาก็ตั้งใจมากจนไม่มีอะไรจะมาหยุดเขาได้
ขณะที่ยอนซอกพาเขาไปที่ต่างๆโดยไม่ได้คำนึงถึงตารางเรียนของเขา แฮจินจึงเกือบจะเรียนไม่จบตั้งแต่อยู่ประถม และสำหรับม.ต้นและม.ปลายเขาทำการการสอบวัดคุณสมบัติเอา แต่มันก็แลกมาด้วยความรู้และสายตาในการมองวัตถุโบราณที่ดีกว่าของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เสียอีก
ด้วยเหตุนี้แฮจินจึงเลือกที่จะเข้าเรียนคณะโบราณคดีในมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยมีคุณภาพนักเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อที่เขาจะได้เป็นนักโบราณคดีมืออาชีพ เขานั้นไม่ต้องการที่จะเป็นโจรปล้นสุสาน แต่ต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับความสวยงามของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุโบราณมากกว่า
ต่อมาพ่อของเขาถูกจับได้ในขณะที่กำลังขายวัตถุโบราณที่ผิดกฎหมายในกัมพูชา และถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาสองปี เมื่อแฮจินรู้เรื่องเขาจึงตัดสินใจหยุดเรียน และใช้เงินรวมถึงวัตถุโบราณที่พวกเขามีทั้งหมดเพื่อช่วยพ่อของเขาให้ออกมาจากคุก
แฮจินพยายามหยุดพ่อของเขาไม่ให้ไปปล้นสุสานอีก แต่เขาก็ไม่ฟัง เขาพยายามโน้มน้าวพ่อของเขาเพื่อไม่ให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับวัตถุโบราณ และมีชีวิตอยู่โดยใช้แรงงานเท่านั้น... แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้ว
ดวงตาของแฮจินแดงก่ำในขณะที่เขาค่อยๆแกะหนังสือพิมพ์ออก
“นี่มันอะไร...”
เขาหัวเราะด้วยความสิ้นหวัง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดหวังว่ามันจะต้องเป็นวัตถุโบราณยิ่งใหญ่ แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยมันควรเป็นอะไรสักอย่างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามข้างในมันกลับเป็นเพียงแค่อิฐสีดำเท่านั้น
แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามันเบาเกินไปที่จะเป็นแค่อิฐ
“หืม?”
มันไม่ใช่อิฐ เพราะมันให้ความรู้สึกหยาบเวลาที่สัมผัส และมันก็ไม่ได้เย็นเหมือนหินหรือโลหะ ถ้าจะพูดให้ถูกความรู้สึกมันเหมือนกับหนังมากกว่า
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในขณะที่เขาคิดว่ามันทำมาจากหนังเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
แฮจินวางมันลงกับพื้นแล้วคุกเข่าลงเพื่อที่จะได้มองมันใกล้ๆ
มันมีรอยแตกบางๆที่ด้านข้าง ดูแล้วมันน่าจะเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง
แฮจินรู้ว่าพ่อของเขาเสียชีวิตหลังจากป่วยด้วยโรคที่ไม่รู้จัก เขาติดโรคนี้มาตอนที่เขากำลังปล้นสุสานและทนทุกข์ทรมานกับมันมานาน ส่วนตัวแล้วเขาเชื่อว่าคำสาปมีอยู่จริง
เขากำลังคิดอย่างหนักว่าควรจะเปิดมันดีไหม เพราะเขารู้สึกว่าไม่ควรจะเปิดมัน
แม้ว่าเขาอยากจะกำจัดมันทิ้ง แต่เขาก็ละสายตาจากมันไม่ได้ หลังจากจ้องมองมันสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้น ตอนนี้ดวงอาทิตย์มันไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าอีกต่อไปแล้ว และเมื่อเขามองไปที่นาฬิกามันก็เป็นเวลากว่าสามทุ่ม เขานั่งอยู่ที่เดิมมาประมาณห้าชั่วโมง แต่ที่แปลกคือขาของเขาไม่รู้สึกปวดเลยด้วยซ้ำ
เขาถึงกับรู้สึกขนลุกอีกครั้ง พ่อเอามันมาจากไหน? เขายังคงจำหนังสยองขวัญที่เขาดูเมื่อวานได้ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไปสำรวจบ้านผีสิงเพื่อพิสูจน์ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้...
ในขณะที่เขากำลังนึกถึงหนังสยองขวัญที่เขาดูเมื่อวาน มือของเขามันก็เอื้อมไปพลิกหน้าหนังสือเอง
“เชี่ย...”
เขาทำมัน แต่มันก็ไม่ใช่เขา เขาไม่สามารถควบคุมมือของตัวเองได้ และตอนนี้มันก็กำลังพลิกหนังสือด้วยตัวเอง
‘งานนี้ฉันตายแน่’ นี่คือความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเขา
ต่อมาเขาก็เห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนอยู่ในหนังสือ
พวกมันถูกเขียนด้วยสีแดงเลือดบนพื้นหลังสีดำ เขาไม่เคยเห็นตัวอักษรแบบนี้มาก่อน เขาเคยคิดว่ามีแค่ไม่กี่ภาษาเท่านั้นที่เขาไม่เคยเห็น และเรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้พ่อที่เป็นนักปล้นสุสานของเขา แต่ที่เขากำลังอ่านอยู่นี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของใหม่
นี่มันจะต้องเป็นคำสาปแน่ๆ เขาไม่สามารถหยุดความคิดที่ว่าถ้าเขาอ่านต่อไปเขาจะเริ่มกลายเป็นบ้า หรือไม่ก็เริ่มเห็นสิ่งแปลกๆเช่นในหนังและนิยาย จากนั้นก็จบลงด้วยการที่เขาฆ่าทุกคนรวมถึงตัวเขาเองด้วย
เขารีบเดินไปที่เตาแก๊ส เปิดมันและวางหนังสือต้องสาปเอาไว้บนไฟ
ตอนแรกมันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับหนังสือเล่มนี้ เช่นเดียวกับถ่านที่เผาไหม้ได้ไม่ดี และจะติดไฟก็ต่อเมื่อโดนไฟนานพอ
ไม่ว่ามันจะทำมาจากอะไร สิ่งที่ถูกสาปนี้มันก็สร้างควันดำพร้อมกลิ่นที่น่ารังเกียจที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันคล้ายกับกลิ่นเผาไหม้ของพลาสติก
อย่างไรก็ตามแฮจินเขาก็ไม่ขยับจนกว่ามันจะถูกไฟเผาหมด เพราะเขากลัวว่าถ้าเขาละสายตาจากมันไปแม้สักครู่หนึ่ง มันก็จะหายไปและไปปรากฏอีกครั้งที่อื่นเหมือนในพล็อตหนังผี
เขารวบรวมขี้เถ้าที่เหลือและโยนมันออกไป เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
“ทำไมเขาถึงทิ้งมันเอาไว้ให้ฉัน?”
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาชอบหนังสือลึกลับเล่มนี้มากจนถึงขนาดนำมาให้ฉัน? เขาจะต้องไม่มีเซ้นส์ด้านความรู้สึกแน่ๆถึงได้เอาของแบบนี้มาให้
ในคืนนั้น แฮจินเขามีความฝันแปลกๆ คนที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนเข้ามาจับหัวของเขาและเขย่าพร้อมกับพึมพำแปลกๆ มันเป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน : อย่างไรก็ตามเขากลับเข้าใจสิ่งที่คนๆนั้นพูดทุกอย่าง
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็มองออกไปที่นอกหน้าต่างตามความเคยชินของเขา พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปที่นาฬิกาและพบว่ามันพึ่งจะตีห้าเท่านั้น
เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรง มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปนอนต่อได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น
“ตลกดี... เป็นเพราะช่วงนี้ฉันอ่านนิยายมากเกินไปงั้นเหรอ?”
สิ่งที่เขาคิดว่ามันตลกคือ ภาษาที่เขาได้ยินมันเป็นเวทมนตร์ที่เขาสามารถอ่านได้จากนิยายเท่านั้น เขาคิดว่าที่เขาฝันประหลาดแบบนี้มันเป็นเพราะนิยายเว็บมากมายที่เขาเคยอ่าน เขาส่ายหัวและเปิดทีวี
เขาตัดสันใจว่าเขาจะหยุดพักสักสองสามวัน ตั้งแต่ที่พ่อของเขาจากไป เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปทำงานใช้แรงงานอีกแล้ว แน่นอนถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำงานหนักอีกต่อไป ส่วนเงินที่เขาเก็บเอาไว้มันก็มากพอให้เขาสามารถพักไปได้อีกสองสามเดือน
เขาใช้เวลาของเขาไปกับการดูการแสดงตลก และละครที่ในอดีตเขาไม่สามารถดูได้ เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนตอนนี้พระอาทิตย์ได้ขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว
“เที่ยงนี้ฉันกินข้าวผัดดีไหมนะ?”
เนื่องจากเขาหิวเขาจึงหยิบใบปลิวของร้านอาหารจีนขึ้นมาและกำลังจะกดโทรไปสั่งอาหาร แต่แล้วก็มีสายจากชื่อที่คุ้นเคยโทรเข้ามาเสียก่อน เป็นฮวางคนที่เขาทำงานด้วยกันมาตลอด
“ฮัลโหล?”
“ไงนี่ฉันเองนะ นายเป็นไงบ้าง?”
“ก็ยังมีชีวิตอยู่...”
ฮวางเขารู้อยู่แล้วว่าพ่อของแฮจินพึ่งเสียชีวิตทำให้เขาไม่ได้ไปทำงาน มันน่าแปลกที่เขาถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะคุยกับฉัน?
“อืมมม...คือที่จริงเราพบบางอย่างแปลกๆที่ไซต์ก่อสร้าง มันเป็นเรื่องที่นายถนัดใช่ไหมละ?”
ถ้ามันเป็นศพฮวางคงจะโทรหาตำรวจแทนแฮจิน งั้นมันก็เป็นไปได้แค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาจะบอกว่ามันแปลก มันคือเรื่องวัตถุโบราณแน่ๆ เมื่อตอนที่เขายังคงเรื่องเรียนโบราณคดีอยู่ บางครั้งฮวางก็จะมาของความช่วยเหลือเรื่องนี้จากแฮจิน ครั้งนี้มันก็น่าจะเหมือนกัน
“แล้วคุณได้บอกเรื่องนี้กับเจ้าของอาคารรึยัง?”
การก่อสร้างที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือการรื้อบ้านเก่าสองชั้นเพื่อสร้างวิลล่าห้าชั้นแทน หากว่ามีการค้นพบวัตถุโบราณในไซต์ก่อสร้างจะต้องแจ้งให้เจ้าของอาคารทราบทันที
“แน่นอนว่าเขารู้ แถมฉันก็ยังบอกเรื่องของนายกับเขาด้วย ดังนั้นตอนนี้เขาก็เลยต้องการให้นายมาดูให้เขาหน่อย นายก็น่าจะรู้สถานการณ์ของเขาใช่ไหม เขาตัดสินใจกู้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะเอามาสร้างวิลล่า เขาจะต้องล้มละลายแน่ๆหากการก่อสร้างหยุดลง จากนั้นเราก็อาจจะไม่ได้รับเงินของเราด้วยซ้ำ... นายก็น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
หากว่ามีการค้นพบวัตถุโบราณหนึ่งถึงสองชิ้นจากพื้นดิน เราก็สามารถแจ้งรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องนี้และกลับมาทำงานต่อได้ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถขายของนั้นอย่างลับๆได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามหากของชิ้นนั้นมันมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์มาก สถานการณ์มันจะต่างออกไปทันที
หากพวกเขาแจ้งให้รัฐบาลทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไซต์ก่อสร้างมันจะถูกกำหนดให้เป็นโบราณสถาน การก่อสร้างทั้งหมดจะถูกหยุดทันทีในขณะที่การขุดค้นจะเริ่มขึ้นแทน นั่นคงจะเป็นจุดจบสำหรับเจ้าของ ดังนั้นเขาจึงอยากจะถามแฮจินเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียด
“โอเค ผมกำลังไป”
จริงๆแล้วแฮจินไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ เขาทำได้เพียงแค่แจ้งให้พวกเขาทราบถึงผลลัพธ์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จากกรมการบริหารมรดกทางวัฒนธรรมจะมาถึง ที่สำคัญกว่านั่นคือพวกเขาขุดพบวัตถุโบราณอะไร
เขารีบอาบน้ำและออกจากบ้านไปด้วยความตื่นเต้น นี่คือความรู้สึกของพ่อเมื่อได้พบกับวัตถุโบราณชิ้นใหม่
สายเลือดไม่สามารถปฏิเสธได้