Chapter 219 - 220: ไข่มุกเรืองแสง, อุบัติเหตุที่สถานที่ก่อสร้าง I
Chapter 219: ไข่มุกเรืองแสง
ในช่วงยุคสงคราม กระจกทองสัมฤทธิ์ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลานี้มันมีความละปราณีตและน้ำหนักเบามากขึ้น และปุ่มของมันก็เล็กบางลง มีการตกแต่งด้วยลวดลายอันวิจิตร รูปแบบที่พบมากที่สุด ได้แก่ลวดลายภูเขา ลวดลายมังกรและนกฟีนิกซ์ ลวดลายโมเสค ลวดลายส่วนโค้งต่อเนื่องและลวดลายเพชรเป็นต้น
กระจกทองสัมฤทธิ์ในยุคราชวงศ์ฮั่นโดยทั่วไปมีความหนาและหนักและมักจะมีการจารึกคำมงคลไว้บนกระจก ปุ่มกระจกส่วนใหญ่เป็นครึ่งวงกลมและที่วางปุ่มรูปลูกพลับเป็นที่นิยมมาก ในเวลานั้นยังมีกระจกส่องผ่านแสงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘แสงแห่งการมองเห็นดวงอาทิตย์’ เมื่อพื้นผิวกระจกถูกแสงแดด ผนังจะสะท้อนรูปแบบที่สอดคล้องกับกระจกกลับ
ตั้งแต่กลางราชวงศ์ฮั่นจนถึงราชวงศ์เหว่ยและราชวงศ์จิน มีภาพที่เป็นลายนูนและกระจกออราเคิล
ราชวงศ์ถังเป็นช่วงเวลาสูงสุดของการพัฒนากระจกทองสัมฤทธิ์ มันไม่เพียงแต่อ่อนช้อย แต่ยังทำลายกระจกทองสัมฤทธิ์แบบดั้งเดิมที่เป็นทรงกลม พัฒนาหลายรูปแบบ เช่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ในช่วงเวลานี้กระจกแบนสีทองเงินก็ปรากฏขึ้น
ในสมัยราชวงศ์ซ่งเทคนิคการหล่อกระจกค่อยๆเริ่มลดลง กระจกในสมัยราชวงศ์ซ่งประกอบด้วยดอกไม้และดอกโบตั๋นเป็นหลัก หูโจวเป็นศูนย์กลางการหล่อกระจกที่มีชื่อเสียงที่สุด ด้านหลังกระจกของพวกเขามักถูกทำเครื่องหมาย
กระจกในมือของกู้หนิงช่างงดงามและมีน้ำหนักเบา มีปุ่มเล็กๆและมีเพชรติดอยู่ เป็นของในยุคสงคราม สำหรับราคาไม่อาจประเมินค่าได้ อย่างน้อยน่าจะหลายล้านหยวน
วัตถุโบราณชิ้นต่อมาคือแจกันลายคราม สูง 10.3 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 5.2 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลางก้นฐาน 6.6 ซม. แจกันลายครามบางเหมือนกระดาษ น้ำหนักเบาและแวววาวด้วยภาพวาดอันวิจิตรเคลือบสีเหลืองและลวดลายองุ่น แจกันลายครามนี้ต้องมาจากสมัยหย่งเล่อและเป็นของหายาก
ปกติแจกันลายครามนี้มีมูลค่าหลายสิบล้านหยวน ดังนั้นมูลค่ามันควรจะสูงกว่านี้ กู้หนิงคิดว่ามันอาจมีมูลค่าอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดล้าน
ตอนนี้เธอตื่นเต้นมาก
จากนั้นเธอก็หยิบจานออกมาหลายใบ รวมทั้งจานพาสเทลสีฟ้าและสีขาวเป็นต้น ทั้งหมดนี้มีมูลค่าหลายล้านหยวน
มีภาพตัวอักษรด้วย!
ของอย่างอื่นคือแท่งทอง กำไลทอง กำไลเงิน และอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีกล่องไม้พะยูงทรงสี่เหลี่ยมความสูงประมาณ 10 ซม. กู้หนิงเปิดกล่องไม้และมีแสงสว่างจ้าออกมา กู้หนิงเกิดกลัวจึงโยนกล่องออกไปตามสัญชาตญาณ มันตกลงบนเตียง ในขณะนั้นกู้หนิงรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งจนอยากจะดูดซับพลังงานตอนนี้ แต่เธอก็ยับยั้งความปรารถนาของเธอและตัดสินใจที่จะรอจนกว่าเธอจะเห็นมันอย่างชัดเจน
นาทีที่กู้หนิงเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอเบิกตาโตด้วยความตกใจ มันเป็นไข่มุกเรืองแสงขนาดเท่าไข่ไก่สองฟอง มูลค่าอย่างน้อยกว่าสิบล้านหยวน
นอกเหนือจากมูลค่าของมันแล้ว พลังของมันยังเข้มข้นที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมา
ไข่มุกเรืองแสงเป็นอัญมณีที่หายากและมีชื่อเล่นมากมาย มันสามารถดูดซับพลังจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้ด้วยตัวมันเอง กล่าวคือตราบใดที่กู้หนิงนำมุกเรืองแสงมากับเธอ เธอก็สามารถรวบรวมพลังได้โดยอัตโนมัติ
ไข่มุกเรืองแสงนี้เป็นวัตถุล้ำค่าที่สุดที่กู้หนิงพบจากการล่าสมบัตินี้ ดังนั้นเธอจะไม่ขายมุกเรืองแสง แต่เก็บไว้ใช้เอง
เมื่อเธอดูดซับพลังของมุกเรืองแสงเข้าไป ภายในช่องเก็บของพื้นที่กระแสจิตก็เปลี่ยนไปและมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ตอนนี้มีขนาดถึงสี่ตารางเมตรและความโปร่งแสงได้รับการปรับปรุงด้วย
หลังจากนั้นกู้หนิงก็ใส่ทุกอย่างลงในช่องเก็บของพื้นที่กระแสจิต ก่อนเข้านอน
ตอนนี้เธอขาดเงิน ถึงแม้จะขายวัตถุโบราณเหล่านี้ก็ยังไม่พอ ดังนั้นจึงเก็บเอาไว้ก่อนเพื่อรอการประมูล
โชคดีที่ไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นในวันต่อมา
กู้ฉินเซียงไม่ได้สร้างปัญหาให้กู้ชิงและกู้ม่าน
เฉินจื่อเหยามาเรียนแต่ถูกเพื่อนในโรงเรียนกีดกันไม่เสวนาด้วย เพื่อร่วมห้องพากันวิพากษ์วิจารณ์เธอถึงพฤติกรรมไม่ดีของเธอไม่จบไม่สิ้น เธอเกิดความวิตกกังวลไปทั้งวัน เธอเห็นกู้หนิงหลายครั้งแต่ไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้ากู้หนิง อย่างไรก็ตามเมื่อกู้หนิงเดินผ่าน เธอก็มักจะจ้องกู้หนิงอย่างกินเลือดกินเนื้อทุกครั้ง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่กล้ำกลืนความโกรธเกลียดไว้
ที่เมือง G หงหยุนเรียลเอสเตทไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรหลังจากที่เจิ้งหัวแย่งซื้อที่ดินที่ถนนเจิ้งหยาง ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขากำลังวางแผนอย่างลับๆ
เป็นเพราะเจิ้งหัวยังไม่ได้เริ่มสร้างอาคารบนถนนเจิ้งหยาง ฟางซางเจิ้งจึงคิดแผนจะทำอะไรบางอย่างกับเจิ้งหัวที่เมือง F
ดังนั้นจึงเป็นเพียงความสงบก่อนเกิดพายุใหญ่
หยกบิวตี้จิวเวอรี่กำลังไปได้ดี แม้ว่าผลกำไรจะลดลงหลังจากสามวันแรก แต่ยอดขายก็ยังดีกว่าร้านจิวเวอรี่ปกติมาก
สิ่งเดียวที่ทำให้กู้หนิงหงุดหงิดคือเลิ่งเชาถิงหายหน้าไปเลยหลายวัน และเธอเองก็ไม่ได้ยินข่าวคราวจากเขาเลย เธอเป็นห่วงมาก แต่ผู้ชายคนนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เธอไม่อยากรบกวนเขา
ลี่เจินเจินขังตัวเองอยู่ในห้องสองวันแล้ว เธอไม่กิน ไม่ดื่ม ทำให้คนในครอบครัวตื่นตระหนกมาก เธอไม่ยอมเปิดประตู ลี่เจินหยูจึงต้องพังเข้ามา เขาพบว่าน้องสาวกำลังหมดสติและรีบพาเธอไปโรงพยาบาล
ครอบครัวของเธอถามว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้นแต่ลี่เจินเจินไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ครอบครัวของเธอจึงคิดว่าเป็นเพราะฉินอี้ฟาน แต่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย เพราะฉินอี้ฟานปฏิเสธลี่เจินเจินหลายครั้ง และลี่เจินเจินก็ไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อน
ถ้าอย่างนั้นทำไม?
ครอบครัวของเธอหาเหตุผลไม่เจอ
ทันใดนั้นลี่เจินหยูก็นึกถึงซูจิง เพื่อนสนิทของลี่เจินเจิน ดังนั้นเขาจึงโทรหาเธอโดยไม่รอช้า
เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลี่เจินเจิน ซูจิงก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดเพราะตอนนี้เธอก็อยู่ในสภาพแย่มากเช่นกัน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวของเธอรู้ ซูจิงจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกินข้าวต่อหน้าพวกเขา ดังนั้นสภาพร่างกายของเธอจึงไม่แย่เท่าลี่เจินเจิน
Chapter 220: อุบัติเหตุที่สถานที่ก่อสร้าง I
เธอเกลียดหลินเหวินคงและหยวนเสิ่นมากจนอยากฆ่าพวกมันให้ตาย แต่เธอรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเผชิญคำถามของลี่เจินหยู ซูจิงได้แต่ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่เธอจะไปเยี่ยมลี่เจินเจิน
ซูจิงบรรจงแต่งหน้าเพื่อปกปิดสภาพที่อิดโรยของเธอก่อนออกจากบ้าน
เมื่อเธอมาถึงโรงพยาบาลก็มีเพียงลี่เจินหยูเฝ้าลี่เจินเจิน ซูจิงต้องการคุยกับลี่เจินเจินตามลำพัง ดังนั้นลี่เจินหยูจึงเดินออกไป
“เจินเจิน ฉันขอโทษ ถ้าฉันไม่โทรเรียกเธอออกมาให้ดื่มด้วย ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น” ซูจิงขอโทษลี่เจินเจินด้วยความจริงใจ
เดิมทีลี่เจินเจินย่อมเกลียดซูจิง ถ้าซูจิงไม่โทรให้ออกไปดื่ม ก็คงไม่มีเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเธอเองที่ตัดสินใจออกไปกับพวกเขา และซูจิงก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน
ลี่เจินเจินเงียบ ซูจิงจึงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ ลี่เจินเจินก็เปิดปากขึ้น “ซูงจิง เธออยากแก้แค้นไหม?”
“อยากสิ แต่ทำยังไงล่ะ?” เสียงจูซิงเศร้าสร้อย รูปภาพและวิดีโออยู่ในมือของพวกมัน
“ตราบใดที่พวกมันตายก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แล้ว” ลี่เจินเจินพูด แววตาอาฆาตฉายออกมาจากดวงตาที่ว่างเปล่าของเธอ
ซูจิงตัวสั่น “แล้วพวกมันจะตายได้ยังไง?”
เธอไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง
แน่นอนว่าลี่เจินเจินรู้ว่าซูจิงคิดอะไรอยู่ เธอเองก็คิดแบบเดียวกันจึงพูดว่า “ไม่ต้องคิดมาก พวกเราจะไม่เป็นไร”
ระหว่างกินข้าวเที่ยงในวันพฤหัสบดี โทรศัพท์กู้หนิงก็ดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา ประกายในแววตาก็สว่างวาบขึ้น “สวัสดี!” เธอกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของกู้หนิง ทำให้คนอื่นๆอยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนบอสของพวกเขากำลังมีความรัก!
“กินอะไรรึยัง?” เลิ่งเชาถิงถามอย่างอ่อนโยน
“อื้ม กำลังกินอยู่ นายล่ะ?” กู้หนิงถามกลับ
“ยังเลย แต่อีกเดี๋ยวก็จะกินแล้ว”
“นายทำงานเสร็จแล้วหรอ?”
“ใช่ แต่ยังมีงานอื่นอีก ตอนนี้เลยกลับไปหาเธอไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เอาเรื่องงานก่อน ไว้มีเวลาว่างพวกเราค่อยเจอกันก็ได้” กู้หนิงเข้าใจ
พูดคุยกัยอยู่สักพัก ทั้งคู่จึงวางสาย ทันใดนั้นกู้หนิงเพิ่งตระหนักว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วย กู้หนิงตกใจนิดหน่อย
“บอส เธอกำลังมีความรักหรอ?” ฉู่เพ่ยหานยิงคำถามทันที คนที้เหลือจึงจ้องหน้าเธอเอาจริงเอาจัง
“อืม...”
“ห๊ะ จริงดิ!”
“บอส เขาหน้าตายังไง?”
“เขาทำอะไร?”
“มีรูปเขาไหม?”
“เขาหน้าตี เป็นทหาร และฉันไม่มีรูปเขา” กู้หนิงตอบ
ทุกคนหูตั้งตาโตที่แฟนหนุ่มของกู้หนิงหน้าตาดี และยังเป็นทหารอีกด้วย! แต่น่าเสียดายที่ไม่มีรูป พวกเขาอยากเห็นหน้าแฟนของกู้หนิง
“เอาไว้วันหลังฉันจะแนะนำให้รู้จัก มาเถอะ พวกเรายังต้องซ้อมหลังจากกินข้าวเสร็จ” กู้หนิงจบบทสนทนา
ถึงจะเสียใจที่ไม่มีรูปให้เห็น แต่พบตัวเป็นๆก็ดีกว่ามาก
เมื่อชั้นเรียนกำลังจะเริ่มขึ้น กู้หนิงและเพื่อนๆก็กำลังเดินไปเข้าห้องเรียน ทันใดนั้นภาพๆหนึ่งก็ปรากฏแวบเข้ามา คนงานก่อสร้างที่กำลังทำงานบนที่สูง เพียงพริบตาเดียวก็ร่วงตกลงมา เขาดิ้นอยู่สองสามวิก่อนจะขาดใจตาย
กู้หนิงชะงักนิ่ง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีภาพปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ? ทำไมถึงรู้สึกสมจริงขนาดนี้? เป็นความสามารถที่เพิ่มเข้ามาของเธอเหรอ เดจาวู? แล้วสถานที่ก่อสร้างที่เกิดเหตุอยู่ไหน?
กู้หนิงนึกถึงสถานที่ก่อสร้างที่กำลังดำเนินอยู่ของเจิ้งหัวเรียลเอสเตทในทันที เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หากเธอมีความสามารถในการทำนายอนาคต สิ่งที่เธอคาดเดาได้อาจเกี่ยวข้องกับตัวเธอเองและสิ่งที่เธอคิดได้ในตอนนี้คือสถานที่ก่อสร้างของเจิ้งหัว
“ฮ่าวหรัน ฉันขอยืมรถนายได้ไหม? ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ” กู้หนิงพูดกับฮ่าวหรัน เธอไม่อาจบอกความจริงได้ จึงโกหก
“ได้สิ” ฮ่าวยื่นกุญแจรถให้โดยไม่ลังเล พวกเพื่อนๆไม่ได้ถามว่าเธอจะไปไหน
กู้หนิงรับกุญแจมาและวิ่งออกไปทันที
“หนิงหนิงรีบร้อนจัง มีเรื่องด่วนเหรอ?” หยูหมิงซีกังวลนิดหน่อย
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ฉันคิดว่าบอสจัดการได้” มู่เค่อพูดขึ้น
ถึงแม้ทุกคนจะเชื่อมั่นในตัวกู้หนิงแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ นับวันเธอยิ่งทำตัวมีลับลมคมในมากขึ้นเรื่อยๆ
กู้หนิงวิ่งไปลานจอดรถและขับรถออกไปด้วยความเร็วสูง แม้จะใช้ความเร็วเกินกำหนด แต่ก็ไม่ได้ขับผ่าไฟแดง โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน รถจึงบางตา
โดยปกติจะใช้เวลาขับรถสิบห้านาทีไปที่นั่น แต่กู้หนิงมาถึงภายในสิบนาที
รถหยุดกะทันหันที่หน้าประตูไซต์ก่อสร้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตกใจกับเสียงเบรกรถกะทันกัน และวิ่งเข้ามาดู พวกเขาบ่นและคิดกับตัวเองว่า ทำไมรถคันนี้ถึงรีบร้อนขนาดนี้?
กู้หนิงลงมาจากรถพร้อมบัตรผ่านในมือ เดินเข้าไปในไซต์ก่อสร้าง อ้ายกวงเหยาได้เตรียมบัตรผ่านให้เธอไว้แล้วเพื่อที่เธอจะได้เข้าออกบริษัทหรือไซต์งานก่อสร้างได้ทุกเมื่อ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสังเกตเห็นว่ากู้หนิงสวมเครื่องแบบนักเรียน เขาจะเข้ามาหยุดเธอ แต่ไม่คิดว่าเมื่อเข้าไปใกล้ กู้หนิงแสดงบัตรผ่านให้เขาดู แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าเธอเป็นคนงานที่นี่ แต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอมีบัตรผ่าน ดังนั้นจึงปล่อยเธอเข้าไป
ก่อนที่กู้หนิงจะเดินเข้าไปข้างใน เธอหยิบหมวกที่ใช้ในงานก่อสร้างมาสวม
เมื่อกู้หนิงเดินเข้าไปในไชต์ก่อสร้าง เธอก็วิ่งไปยังตึกที่ปรากฏให้เธอเห็น ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นงุนงงและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ใช่แล้ว พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้ และตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกู้หนิง
กระนั้นเธอก็ยังมาช้าไป เมื่อเธอเข้าใกล้อาคาร ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่ากลัว ตามมาด้วยชายคนหนึ่งตกลงมาจากชั้นห้า
จากภาพที่ปรากฏ คนงานก่อสร้างจะตายในไม่กี่วินาที แต่เขาตกลงไปแล้วและเธอช่วยเขาไม่ทัน ดังนั้นการปฐมพยาบาลอาจช่วยเขาได้ เธอจึงรีบไปก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
เสียงกรีดร้องที่น่าสยดสยองดึงดูดสายตาผู้คน อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังจากร่างกระแทกพื้นอย่างแรง
ตอนนี้ทุกคนตะลึงกับภาพที่เห็น
กู้หนิงมาถึงจุดที่คนงานตกลงมา เธอวางมือบนหน้าอกของเขาทันที มอบพลังให้กับเขาเพื่อยื้อชีวิต