บทที่ 47 วิ่ง!
บทที่ 47 วิ่ง!
ทันทีที่พวกเขาเห็นกิ่งไม้ของต้นไม้เซียนวิลโลว์ยุ่นหลิงและจิ้งจอกก็รีบวิ่งหนีไปทันที
ยุ่นหลิงอาจไม่เคยเห็นต้นเซียนวิลโลว์มาก่อน แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้ยินจากจิ้งจอกและพลังที่เขารู้สึกว่ากิ่งไม้นั้นเปล่งออกมานั้นทำให้คิดว่ากิ่งไม้ที่ปรากฎต่อหน้าพวกเขาน่าจะเป็นหนึ่งในกิ่งของต้นไม้เซียนวิลโลว์
ยุ่นหลิงลอยอยู่บนดาบบินของเขาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดที่เขาใช้ในการเดินทางตลอดระยะเวลาที่อยู่ในหุบเขาพันภูเขา จิ้งจอกก็ทำแบบเดียวกัน มันวิ่งแซงยุ่นหลิงไปโดยไม่สะดุดหรือล้มลง
กูฟ่านหมิงและลูกศิษย์คนอื่นๆ ต่างตกตะลึงกับการปรากฏตัวของกิ่งไม้แปลกๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงลดการตั้งท่าป้องกันลงและยืนดูยุ่นหลิงกับจิ้งจอกวิ่งหนีไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
เหวินไป่ชิกัดฟันแน่นเมื่อเห็นกิ่งไม้นั้น เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขาบอกได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเขาแน่ๆ ทันทีที่เขาใช้กระบวนท่าเทพเจ้าสายฟ้าและพุ่งผ่านเหล่าลูกศิษย์ที่ยังตกตะลึงกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องที่เขาหลงเหลือไว้
“กะ เกิดอะไรขึ้น”? ลูกศิษย์คนหนึ่งของนิกายวารีพาดผ่านถามด้วยความกลัว พวกเขารู้สึกได้ว่ากิ่งก้านนั้นเปล่งพลังออกมาเกินกว่าที่พวกเขาจะสัมผัสมันทั้งหมดได้ แม้แต่เจ้านิกายในนิกายของพวกเขาก็ไม่สามารถให้ความรู้สึกเช่นนั้นกับพวกเขาได้
ในที่สุดกู่ฟ่านหมิงก็ตั้งสติได้
"วิ่งเร็วเข้า!" เขาออกคำสั่งและรีบวิ่งหนีโดยทิ้งลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ยังไม่ทันตอบรับคำสั่งของเขา พวกเขายังคงจ้องมองด้วยงุนงงและความหวาดกลัวที่กิ่งไม้นั้น
กิ่งไม้นั้นตั้งตระหง่านในระยะไกลหันไปทางพวกเขาราวกับว่ามันกำลังมองลงมาที่พวกเขา มันหยุดนิ่งไปสองสามวินาทีแล้วทันใดนั้น ...
มันพุ่งลงมาหาพวกเขาด้วยความเร็วที่เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ!
ลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านทั้งสามคนที่ถูกทิ้งไว้ พวกเขากลายเป็นซากศพแห้งๆทันทีเมื่อกิ่งไม้และใบไม้รอบๆกิ่งนั้นสัมผัสโดนตัวพวกเขาเพียงไม่ถึงวินาทีเดียว สำหรับลูกศิษย์อย่างพวกเขาซึ่งขอบเขตการฝึกฝนนั้นต่ำกว่าต้นไม้เซียนวิลโลว์ในเชิง
ปฎิบัติมากมันไม่ต้องใช้ความพยายามสักนิดในดูดพลังชีวิตให้เหี่ยวแห้งตายไป
กู่ฟ่านหมิงและลูกศิษย์อีกสองคนหวาดกลัวทันทีเมื่อพวกเขาเห็นชะตากรรมของเพื่อนทั้งสามคนนั้น พวกเขาใช้พยายามมากหลบหนีให้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องการประสบชะตากรรมเดียวกับพวกเขา อย่างไรก็ตามความพยายามของพวกเขายังไม่เพียงพอ กิ่งไม้เหล่านั้นสัมผัสโดนตัวพวกเขาในเวลาอันสั้น
“ท่านกู่! ช่วยข้าด้วย!” หนึ่งในลูกศิษย์สองคนร้องเรียกกู่ฟ่านหมิงเมื่อเขาสะดุดรากไม้และล้มลงบนพื้น
กู่ฟ่านหมิงและลูกศิษย์อีกคนไม่สนใจเขา พวกเขาไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
ไปช่วยเขาแล้วได้อะไร? แล้วพวกเขาจะตายไปพร้อมกับเขาไหม? หากพวกเขาสามารถช่วยเขาได้เขาก็อาจจะทำ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ พวกเขาไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น
ศิษย์ผู้โชคร้ายเฝ้าดูทั้งสองจากไปด้วยความเร่งรีบ พวกเขาไม่แม้แต่จะมองกลับมาที่เขาในขณะที่พวกเขายังคงหนีต่อไป เขารู้สึกไม่พอใจ เขายังไม่อยากตาย จากนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องดังออกมาเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองถูกกิ่งไม้ดูดพลังชีวิตจนหมด
กู่ฟ่านหมิงมองไปข้างหลังและเห็นว่ากิ่งไม้นั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เมตร เขารีบจับศิษย์อีกคนที่อยู่ข้างๆเขาแล้วโยนไปที่กิ่งไม้หวังว่าจะถ่วงเวลามันไว้เล็กน้อย
“ท่านกู่ ทำไมกัน?!” ลูกศิษย์คนนั้นตะโกนใส่เขา เขาไม่คิดว่ากู่ฟ่านหมิงจะทำแบบนี้ เขาขี้ขลาดและระแวงจนขนาดศิษย์ที่อยู่สำนักเดียวกันก็ยังไม่ช่วยเหลือ แล้วเขาก็จดจ่อกับกิ่งไม้มากเกินไปจนละเลยบุคคลอันตรายที่อยู่ข้างๆเขา
“ทำตัวให้มีประโยชน์และยอมตายเพื่อข้าซะ” กู่ฟานหมิงพูดอย่างเย็นชาและทิ้งเขาไว้ข้างหลังเพื่อถ่วงเวลา
“ไอ้กู่! ข้าสาบานว่าข้าจะฆ่าเจ้าถ้าข้ารอดไปได้! และถึงข้าจะตายข้าก็จะกลายเป็นผีมาหลอกหลอนเจ้า!” ศิษย์คนนั้นตะโกนด้วยความเกลียดชัง
“ขอให้สมหวังแล้วกัน” กู่ฟ่านหมิงล้อเลียนเขาขณะที่ศิษ์คนนั้นยังพูดต่อ เขาไม่สนใจคำขู่ของศิษ์คนนั้นเลย ตอนมีชีวิตอยู่ยังทำอะไรข้าไม่ได้ แล้วตอนตายจะทำอะไรได้อีก?
ยุ่นหลิงซึ่งอยู่สูงกว่ากู่ฟ่านหมิงและคนอื่นๆ เห็นการกระทำของกู่ฟ่านหมิงแบบนั้น
‘ชายคนนั้น…เขาไม่ลังเลเลยที่จะเสียสละเพื่อนของเขาแบบนั้น’ ยุ่นหลิงคิดขณะที่มองอยู่ข้างหลังเขา ถ้าเขาเป็นกู่ฟ่านหมิงเขาก็อาจจะทำเช่นเดียวกันดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ถ้าเป็นหนึ่งในสมาชิกในครอบครัวของเขา เขาจะไม่มีวันทำแบบนี้เด็ดขาด
ยุ่นหลิงได้ยินจิ้งจอกที่เริ่มหอบหนักที่ข้างกายมัน จิ้งจอกเร็วกว่าเขาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้มันเริ่มวิ่งช้าลง
“เจ้ายังทนต่อไปได้ไหม”? เขาถาม
“ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้ มันถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว” จิ้งจอกยอมรับอย่างน่าอับอาย “ใช้โอกาสนี้เพื่อหนีไป ข้าจะพยายามถ่วงเวลาไว้ให้”
ยุ่นหลิงซึ้งใจกับพฤติกรรมของจิ้งจอกตัวนี้ เขาเลือกถูกแล้วที่พยายามช่วยจิ้งจอกตัวนี้ไว้
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ข้าจะพาพวกเราทั้งหมดออกไปจากที่นี่” ยุ่นหลิงพูดขณะที่เขามองไปที่กิ่งไม้แล้วคิดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเขารู้สึกประหม่าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่การประหม่าจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ของเขาดีขึ้นเลยสักนิด เขาต้องสงบใจและชั่งน้ำหนักตัวเลือกของเขาอย่างสมเหตุสมผล เขาไม่ควรปล่อยให้ความกังวลใจของเขาส่งผลต่อการตัดสินของเขา
เขาขมวดคิ้ว กิ่งไม้ของต้นเซียนวิลโลว์มันมีความเร็วเหนือกว่ามาก หากพวกเขายังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปกติพวกเขาจะถูกตามทันในไม่ช้า แม้ว่าจิ้งจอกจะพยายามถ่วงมัน แต่มันก็เป็นเพียงการเอาชีวิตไปทิ้ง
ยุ่นหลิงหรี่ตาลงเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สิ่งนั้น
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีทองในขณะที่ตาขาวของเขากลายเป็นสีดำสนิท จากนั้นร่างของเขาก็สวมชุดคลุมเกราะสีม่วงทันทีทำให้เขาดูเหมือนเทวดาจากสวรรค์ที่กำลังลงมาบนพื้นโลก
“นี่เจ้า…” จิ้งจอกมองไปที่ยุ่นหลิงด้วยความประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเขา
ยุ่นหลิงอุ้มลูกราชาราชสีห์ที่หลับใหลไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างระมัดระวังและมืออีกข้างก็จับจิ้งจอกเอาไว้
“เอาล่ะจะไปล่ะนะ” ยุ่นหลิงพูด
วินาทีต่อมาคลื่นเสียงขนาดมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมาหลังจากที่ยุ่นหลิงพุ่งไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเสียงถึงสี่เท่า ราวกับว่าเขาพุ่งไปเพียงวินาทีเดียวก็ไปถึงเส้นขอบฟ้าแล้ว