บทที่ 46 กิ่งก้านของต้นไม้เซียนวิลโลว์
บทที่ 46 กิ่งก้านของต้นไม้เซียนวิลโลว์
“นะ นี่เจ้ารู้ได้ยังไง”? เหวินไป่ชิถามขณะที่เขามองเขา
“เจ้าคือคนที่ข้าไว้ชีวิตดังนั้นข้าจึงไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าในเรื่องนั้น” ยานหลิงกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ลืมมันไปซะ ข้าจะปล่อยเจ้าไปครั้งเดียว แต่ครั้งต่อไปถ้าเจ้ายังทำอะไรแบบนี้อีก ข้าจะฆ่าเจ้า”
ยุ่นหลิงตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตเหวินไป่ชิเพราะเขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรีบไปจากที่นี่และออกไปให้ได้
ยุ่นหลิงสามารถบอกได้ว่าเหวินไป่ชิไม่ได้สู้เต็มที่ ถ้าเขาสู้กับเหวินไป่ชิจนถึงตายจริงๆ มันต้องใช้เวลาสักพักแน่เพราะคู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่แค่มีแรงกดดันบางอย่าง และการต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนอาจทำให้ต้นไม้เซียนวิลโลว์รับรู้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ยุ่นหลิงไม่อยากให้เกิดขึ้น
สำหรับวิธีที่เขารู้ว่าเหวินไป่ชิไม่ได้เอาจริงนั้นเป็นเพราะครั้งแรกที่เขาพบกับเหวินไป่ชิ เขาพึ่งอยู่ในช่วงปลายของขอบเขตการสถาปนา อย่างไรก็ตามในครั้งนี้หลังจากที่เขาตรวจสอบขอบเขตการฝึกตนของเขาอีกครั้งยุ่นหลิงก็พบว่าแท้จริงแล้วเขาอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตการเปลี่ยนแปลงที่สี่!
มันเป็นไปไม่ได้! แม้แต่อัจฉริยะสูงสุดอย่างเขาก็ไม่สามารถก้าวไปได้อย่างรวดเร็วได้ เขาต้องใช้อะไรบางอย่างในการฝึกตนของเขาแน่มิเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถก้าวข้ามได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ นอกจากนี้ยุ่นหลิงก็ยังบอกไม่ได้ว่านี้คือขอบเขตการฝึกตนที่แท้จริงของเขา ในความเป็นจริงเขาอาจมีขอบเขตที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้
ยุ่นหลิงคาดไม่ถึงจริงๆ สายตาของเขามองขอบเขตการฝึกตนที่แท้จริงของเขาไม่ออกเลย ของบางอย่างในตัวเหวินไป่ชิอาจปิดบังไว้
หยุนหลิงเดินไปหาจิ้งจอกในขณะที่เขาดึงดาบบินของเขาซึ่งวางอยู่บนพื้นใกล้กับเขา จากนั้นเขาก็อุ้มลูกชายของจิ้งจอกที่หลับใหลไว้ในอ้อมแขนของเขาพร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะ”
จิ้งจอกพยักหน้า
"เดี๋ยว!" เหวินไป่ชิเรียกเขา แต่ยุ่นหลิงไม่สนใจเขาขณะที่เขายืนอยู่บนดาบบินและหนีไปโดยมีจิ้งจอกตามหลังเขา
“อยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว จงรีบออกไปจากที่นี่ซะ” ยุ่นหลิงกล่าวก่อนออกไป
เหวินไป่ชิไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับคำพูดของเขา เขาอาจกำลังพูดถึงลูกศิษย์ที่ไล่ตามเขา
“ข้าลืมถามว่าเขาจะใช้กระบวนท่าของเทพเจ้าสายฟ้าได้อย่างไร…เขาอาจจะไม่ตอบข้าแม้ว่าข้าจะถามเขาก็ตาม” เหวินไป่ชิพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าเขาเป็นลูกศิษย์จากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า? ไม่ ไม่น่าเป็นไปได้ เขาจะต้องดูข้าออกแน่ๆถ้าเขาเป็นเช่นนั้น”ยุ่นหลิงได้ยินสิ่งที่เหวินไป่ชิพูด
จากสิ่งที่ยุ่นหลิงรู้ กระท่าเทพเจ้าสายฟ้าเป็นกระบวนท่าการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ยอดเยี่ยมในระดับที่สูง มันสามารถเพิ่มความเร็วของผู้ใช้ได้เร็วกว่าความเร็วของเสียงในเวลาสั้นๆ โดยเหลือเพียงแค่เสียงฟ้าร้องไว้เบื้องหลัง เมื่อศัตรูของผู้ใช้กระบวนท่าชั้นยอดนี้ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องมันคงสายเกินไปสำหรับพวกเขา
มันเหมือนกับสายฟ้า เจ้าจะเห็นแสงฟ้าแลบก่อนที่จะได้ยินเสียง ต้องขอบคุณประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าของยุ่นหลิงเท่านั้นที่เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีส่วนใหญ่ของเหวินไป่ชิได้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เพียงพอเนื่องจากเขาถูกดาบของเหวินไป่ชิบาดที่แก้ม
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะกระบวนท่าเทพเจ้าสายฟ้าที่ทำให้ยุ่นหลิงยังมีปริศนาบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเขา
นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นหนึ่งในนิกายที่ทรงพลังที่สุดในโลกพสุธา แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นนักสู้ที่ใช้กระบวนท่าเทพเจ้าสายฟ้ามาก่อน แต่เขาก็ยังได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอยู่บ้าง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในตอนแรกที่เขาเห็นเหวินไป่ชิใช้กระบวนท่าชั้นสูงนั้นทำให้เขารู้ว่าเหวินไป่ชิเป็นศิษย์จากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า
อย่างไรก็ตามเมื่อเหวินไป่ชิพูดว่ามีเรื่องเข้าใจผิดยุ่นหลิงก็ต้องหยุดและคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย
ลูกศิษย์นิกายจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพังในหุบเขาพันภูเขาเนื่องจากความอันตรายในนั้น เท่าที่ยุ่นหลิงรู้สาวกที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะถูกจัดให้เป็นกลุ่มสามคนอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เป็นลูกศิษย์นิกายเพราะเขาอยู่คนเดียว ถ้าเขาเป็นลูกศิษย์นิกายและมีเพื่อนร่วมทางกับเขาจริง เขาคงจะเรียกเพื่อนของเขาออกมาแล้วเพื่อที่ให้พวกเขาช่วยเขาต่อสู้กับยุ่นหลิงหรืออย่างน้อยที่สุดก็ส่งสัญญาณเพื่อให้พวกเขามาถึงที่อยู่ของเขา
สรุปคือ เหวินไป่ชิไม่ใช่ลูกศิษย์นิกาย แต่เขาสามารถใช้หนึ่งในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ เหวินไป่ชิโจมตีเขาก่อนราวกับว่าเขาระวังคนอื่น แต่หลังจากนั้นเขาก็บอกยุ่นหลิงว่ามันเป็นความเข้าใจผิดโดยบอกว่ายุ่นหลิงไม่ใช่เป้าหมายของเขา
เอาจริงๆแล้วนี่ไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่าคนที่ทำร้ายเขาคือเหวินไป่ชิ เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมยุ่นหลิงถึงคิดว่าเป็นเขาก็คือยุ่นหลิงรู้สึกว่ากลิ่นอายของเขาคุ้นเคยกับเหวินไป่ชิคนที่เขาพูดด้วยในเมืองเฉินหลัน
ถึงอย่างนั้นยุ่นหลิงก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเขาหรือเปล่ายุ่นหลิงจึงพยายามหลอกล่อเขาเพื่อดูปฏิกิริยาของเขาด้วยการเรียกชื่อเขา
“เหวินไป่ชิทำไมเจ้าถึงโจมตีใส่ข้า”?
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นข้า”?
เหวินไป่ชิติดกับดักยุ่นหลิงเต็มๆ
“โอ้ๆ เอาละดูสิว่าเราอยู่กับใครอยู่ที่นี่”?
ยุ่นหลิงและจิ้งจอกไม่สามารถไปไหนได้ไกลเมื่อพวกเขาพบกับผู้ชายที่ไม่เป็นมิตรด้วยสายตาที่หรี่ลงพร้อมด้วยลูกศิษย์ห้าคนจากนิกายวารีพาดผ่าน ยุ่นหลิงคุ้นเคยกับพวกเขาเล็กน้อย หนึ่งในห้าคนนั้นเป็นคนที่พ่ายแพ้เขาที่ทางเข้าหุบเขาพันภูเขา
ยุ่นหลิงและจิ้งจอกหยุดนิ่งเมื่อเห็นพวกเขา
“คนที่เอาเจ้าชนะคือเจ้าโง่เขลาคนนี้ใช่ไหม”? ชายที่ดูไม่เป็นมิตรถามลูกศิษย์ที่อยู่ตรงหน้า
“ใช่ คนนี้แหละ”
“ฮี่ๆๆๆๆๆ เขาสวยอย่างที่เจ้าพูดจริงๆแต่แย่จังเขาเป็นผู้ชาย มีจิ้งจอกอยู่กับเขาด้วยและนั่นคือ ลูกราชาราชสีห์หรือเปล่า? มันแปลกๆนะ เขานำอสูรสองตัวนี้มาด้วยตอนที่เขาเข้าไปในหุบเขาหรือไม่?” กู่ฟ่านหมิงถามเมื่อเห็นจิ้งจอกข้างๆยุ่นหลิงและลูกราชาราชสีห์อยู่ในอ้อมแขนของเขา
“เขาเข้าไปคนเดียวท่านกู่”
“อย่างนั้นเหรอ? ข้าคิดว่าพวกเขาอาจจะรู้เกี่ยวกับการหายตัวไปของอสูรหายากที่นี่”
“ท่านกู่เอาชนะเขาได้จริงเหรอ”? ลูกศิษย์คนหนึ่งถามอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่ต้องการถูกยุ่นหลิงทำร้ายอีกหาก กู่ฟ่านหมิงไม่สามารถเอาชนะเขาได้
“ช่างเป็นคำถามที่โง่เขลานัก เจ้าสงสัยในความสามารถของข้าใช่หรือไม่”? ท่าทางขี้เล่นของกู่ฟ่านหมิงหายไปเมื่อเขามองลูกศิษย์คนนั้นอย่างไร้เยือกเย็น
ลูกศิษย์คนนั้นตกใจทันที “ไม่ข้าไม่มีวันหรอก! ข้าเชื่อว่าท่านกู่สามารถเอาชนะชายคนนั้นได้อย่างง่ายดาย!”
“เก็บคำประจบสอพลอของเจ้าไว้เถอะ!” กู่ฟ่านหมิงตบเข้าที่ลูกศิษย์คนนั้นทำให้เขากระเด็นออกไป “เจ้าทำเหมือนกับว่าข้าโง่มากงั้นรึ”?
“อั๊ก ข้าขอโทษท่านกู่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ศิษย์คนนั้นจับหน้าของเขาขณะที่มองไปที่กู่ฟ่านหมิงอย่างหวาดกลัว
“ท่านกู่มีชายอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งชี้ไปที่เหวินไป่ชิซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้อย่างหลบซ่อนและพยายามทำให้ตัวเองไม่เป็นที่สังเกต
“หึ้ย ไอ้นิกายบ้านี่อีกแล้วเรอะ” เหวินไป่ชิเดาะลิ้นของเขาด้วยความไม่พอใจ
กู่ฟ่านหมิงรู้สึกดีที่เหวินไป่ชิปรากฏตัว
“ดีมาก! เจ้าพวกเหยื่อของข้า! พวกเจ้าทุกคนเตรียมตัว!”
เหล่าลูกศิษย์เข้าสู่ท่าเตรียมต่อสู้ทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของ กู่ฟ่านหมิง
"พวกเรากำลังจะทำอะไร?" จิ้งจอกเหลือบมองไปที่ยุ่นหลิงและถาม
การแสดงออกของยุ่นหลิงดูสับสนขณะที่เขากำหมัดแน่น
“ไอ้พวกรกโลกทั้งหลาย…”
เขาไม่ได้ตอบสนองใดๆกับจิ้งจอก แต่เขามองไปที่กู่ฟ่านหมิงและคนอื่นๆ ด้วยความโกรธที่เห็นได้ชัดบนใบหน้าของเขา เขาอยากจะออกจากที่นี่เต็มทนแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงออกมาทีละเล็กทีละน้อย มันทำให้เขาถึงขีดจำกัดที่เขาจะอดทนได้แล้ว
“ข้าไม่ทนอีกต่อไปแล้ว!”
ตู้ม!
เสาไม้ที่ดูหนาและสูงเกินความสูงของต้นไม้ที่สูงที่สุดรอบบริเวณนั้นก็ลอยขึ้นมาจากท้องฟ้าในระยะไกล โดยมีใบไม้อยู่รอบๆ กิ่งไม้ที่มีขนาดเทียบเท่ากับเด็กตัวเล็กๆ ใบไม้เรืองแสงสีฟ้าและสีเขียวดูสวยงามและน่าทึ่งมากสำหรับทุกคนที่ได้เห็นมัน
ยุ่นหลิงและแววตาของจิ้งจอกเบิกกว้างโดยเฉพาะจิ้งจอก เพราะมันคุ้นเคยกับสิ่งที่เห็นมาก สำหรับคนอื่นมันอาจจะดูสวยงาม แต่สำหรับมันทันทีที่เห็นก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น
จู่ๆเขาและยุ่นหลิงก็ถึงกับเหงื่อตก
นี่ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากกิ่งก้านของต้นไม้เซียนวิลโลว์!