เล่ม1 : บทที่ 75 – ประตูแห่งแสงสว่าง
กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 75 – ประตูแห่งแสงสว่าง
กลุ่มขบวนกำลังเคลื่อนที่ตามการนำของเวอร์จิเนียร์ ในตอนแรกเหล่าผู้พิทักษ์ต่างแสดงสีหน้าให้กันด้วยความเกลียดชัง แต่แล้วก็ผันเปลี่ยนเป็นความหลงไหลเมื่อได้มองเรือนร่างของเวอร์จิเนียร์ที่เดินนำอยู่ข้างหน้า
สายตาของโนอาห์เองก็จดจ้องไปที่เธอเช่นกันแต่กลับมองด้วยเหตุผลที่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ
‘คิดไม่ออกเลยว่าเธอคนนั้นจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกัน’
ไม่ว่าเขาจะลองตรวจสอบเธอมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงระดับของเธอได้เลย เธอน่าจะถูกปิดยังอยู่ภายใต้บางสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งช่วยลบล้างพลังงานจิตที่พุ่งมาหาเธอ
‘นี่เธอแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ฉันไม่สามารถตรวจสอบได้เลยเหรอ? หรือมันเป็นเพียงแค่กระบวนที่ตระกูลโชสติเอาไว้ปิ้งกันตัวเอง?’
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใช้พลังงานจิตทั้งหมดเนื่องด้วยความกลัวว่ากลุ่มอื่น ๆ จะจับได้
หลังจากเดินทางผ่านไปครึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงพื้นที่แห้งแล้งที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้พิทักษ์ในชุดเกราะสีขาว ผู้พิทักษ์ในชุดเกราะสีขาวโค้งคำนับเมื่อเห็นเวอร์จิเนียร์มาถึง และเปิดทางให้กลุ่มขบวนได้เดินเข้าไปข้างใน
กลุ่มขบวนต่างปลดระเบียบเพื่ออยู่ในท่าผ่อนคลาย และทายาททั้งหมดก็กระโดดลงมาจากรถม้าเพื่อมารวมกลุ่มกับเหล่าผู้พิทักษ์ของพวกเขาตามลำดับ
เวอร์จิเนียร์ยืนอยู่แทบจะปลายสุดของพื้นที่และหญิบอัญมณีเปล่งประกายชิ้นหนึ่งออกมาจากไหนก็ไม่ทราบ ผู้พิทักษ์หนุ่มหลายคนต่างประหลาดใจแต่โนอาห์รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
‘แหวนปริภูมิ!’
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้เขาตกใจ รายงานได้อธิบายสั้น ๆ ถึงเหตุการณ์เปิดของมิติที่ถูกแยกตัวแต่ในหลาย ๆ ครั้งคำอธิบายก็ไม่สามารถบอกได้ถึงความงามที่แท้จริงของบางสิ่งได้
เวอร์จิเนียร์วางแหวนลงบนพื้นและทันใดนั้นอักษรรูนจำนวนมาก็สว่างวาบขึ้นมาเหนือผืนดิน ลานกว้างกินบริเวณสองร้อยเมตรกลายเป็นอักษรรูนสีส้มพราวเต็มไปหมด
จากนั้นอักษรรูนก็ได้รวบรวมความสุกใสไว้กับอัญมณีบนพื้นและยิงเป็นสำแสงสีส้มออกไปบนอากศซึ่งหยุดที่ความสูงราวห้าเมตร ลำแสงหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มขยายใหญ่และเปลี่ยนรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมสีส้ม ในที่สุดมันก็ชัดเจน ภาพที่เห็นตรงหน้าคือประตูบานใหญ่ที่มีแสงเรืองรองตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าทุกคน!
ทุกคนต่างตะลึงงึงงันจนแทบจะไม่ได้ยินคำพูดต่อมาของเวอร์จิเนียร์
“ประตูถูกเปิดออกแล้ว ข้าจะเอ่ยชื่อตระกูลและกลุ่มเพื่อเข้าไปข้างใน ลพดับจะขึ้นอยู่กับของกำนัลที่ตระกูลของพวกท่านได้มอบให้แก่ตระกูลโชสติมาตลอดระยะยี่สิบปี”
การถูกเรียกชื่อเป็นตระกูลแรกไม่เพียงแต่จะทำให้ได้เปรียบในการเลือกโจมตีฝูงสัตว์เวทมนตร์ที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศในแวดวงสังคมของตระกูลขุนนางอีกด้วย
จากการทดสอบในปีก่อน ๆ ส่วนใหญ่แล้วด่านที่สองจะมอบรางวัลเพิ่มเติมหากเวลาที่ใช้ภายในมิตินั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่กำหนด
“ตระกูลซอวเลอร์ ก้าวมาข้างหน้า”
เวอร์จิเนียร์ประกาศและกลุ่มทั้งชายหญิงในชุดสีน้ำเงินก้าวออกมาใกล้ประตูแสง จากนั้นหัวหน้ากลุ่มก็เดินไปสัมผัสแสงและหายวับไปในทันที ผู้พิทักษ์และทายาทที่อยู่ข้างหลังก็เดินตามเข้าไปและพวกเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
‘นั่นมันคือการเคลื่อนย้ายสสารนี่’
โนอาห์อ้าปากค้างตั้งแต่อักษรรูนปรากฏขึ้นมา
‘ถ้าคิดเรื่องการใช้ปราณ มนุษย์ในโลกนี้ทำในบางเรื่องบางสิ่งให้เกิดผลในทางทฤษฎีเพียงแค่ไม่กี่อย่างเทียบกับโลกก่อนหน้าที่ฉันจากมา’
“ต่อไป ตระกูลนอร์จี”
ครั้งนี้เป็นกลุ่มของผู้พิทักษ์ที่สวมชุดเกราะสีดำก้าวออกมาข้างหน้าและเข้าไปยังที่ดินมรดก
“ตระกูลบัลวัน”
โนอาห์เรียกสติกลับมาหลังจากได้ยินชื่อตระกูลของเขา
เทรเวอร์เดินนำกลุ่มในชุดเกราะสีแดงเคลื่อนพลไปข้างหน้าประตูตามมาด้วยผู้พิทักษ์และทายาทตระกูล เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตู โนอาห์ก็สัมผัสถึงแรงกดดันจากปราณที่ใช้เพื่อให้ประตูทางเข้าถูกเปิดออกอยู่ตลอดเวลา
‘รายงานระบุไว้ว่าจะมีการใช้ปราณในปริมาณที่มากแต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นก็ไม่คิดว่ามันจะมากถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าช่วงสัปดาห์ที่เปิดที่ดินมรดกเราถึงมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่จะได้เข้าไป เพราะอย่างนี้นี่เอง’
อัญมณีที่เวอร์จิเนียร์ใช้อุดมไปด้วยปราณปริมาณมาก เนื่องจากเส้นทางภายในมิติที่แยกออกนั้นซับซ้อนและอันตราย แต่ละกลุ่มมักจะต้องอยู่ข้างในนั้นมากกว่าหนึ่งสัปดาห์สำหรับหนึ่งโอกาส และหลังจากนั้นประตูก็จะปิดไปจนกว่าอีกยี่สิบปีข้างหน้าจะมาถึง
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตรกูลโชสติจึงเลือกที่จะใช้ทั้งสองอัญมณีนี้ในทุก ๆ ยี่สิบปี หนึ่งอันสำหรับตระกูล และอีกหนึ่งอันสำหรับผู้อยู่ใต้การปกครองของพวกเขา เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้รับสิ่งของสมนาคุณมากกว่าที่จะเป็นของล้ำค่าธรรมดา ๆ
คาถา อาวุธเวทมนตร์ และเคล็ดวิชา เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากและช่วยสร้างรากฐานให้แก่ตระกูล แล้วค่าของเงินล่ะเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับรากฐานที่มั่นคง?
เทรเวอร์ไม่รอช้า เขาก้าวข้ามผ่านขอบของประตูแสงไปและคนอื่น ๆ ก็ตามเขาเข้าไป เมื่อโนอาห์จับประตู เขาก็รู้สึกว่าการมองเห็นและทะเลแห่งสติก็ถูกโจมตีด้วยแรงกดดันมหาศาล แต่ด้วยความแข็งแกร่งของทรงกลม เขาเพียงแค่หลับตาครู่หนึ่งเพื่อต้านแรงก่อนจะลืมตาอีกครั้ง
เมื่อลืมตา ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยสีเขียวพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปข้างบนและเห็นท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้ม ไม่มีพระอาทิตย์หรือดาวแม้แต่ดวงเดียว ความหนาแน่นของปราณสูงกว่าข้างนอกเล็กน้อยแต่แทบจะไม่รู้สึกถึงความต่างเลย
‘นี่สินะมิติที่ถูกแยก ถ้านั่นไม่ใช่ท้องฟ้าและความจริงที่ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าในทุกทิศทาง ฉันก็กล้าสาบานได้เลยว่าที่นี่ไม่ต่างอะไรจากโลกภายนอกเลย’
เขายังคงมองไปรอบ ๆ แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองมาที่เขา โนอาห์หันไปมองยังทิศทางดังกล่าวและเห็นเทรเวอร์กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกโพลง โนอาห์รู้สึกสับสน แต่จากนั้นเขาก็สังเกตว่าทุกคนในกลุ่มยังคงหลับตาอยู่เพื่อต้านแรงกดดันจากการเคลื่อนย้ายสสาร
คนต่อมาที่ลืมตาก็คือลีน่า และเมื่อเธอเห็นสายตาของเทรเวอร์ก็เข้าใจว่าโนอาห์คือคนแรกที่ฟื้นฟูจากแรงกดดันได้สำเร็จ และมองโนอาห์ด้วยความประหลาดใจไปพร้อม ๆ กับหัวหน้ากลุ่ม
‘สงสัยจะมีปัญหาเข้าแล้ว’
โนอาห์คิดและตอบกลับสายตาเหล่านั้นด้วยท่าทีที่เย็นชาเช่นเคย