ทะลุมิติเทพศาสตรา EP.67 สองพี่น้องบุกโจมตี
EP.67 สองพี่น้องบุกโจมตี
“ปัง!”
ฝ่ามือหนึ่งตบลงบนโต๊ะทำงานไม้สีดำอย่างรุนแรง แก้วน้ำชาและข้าวของบนโต๊ะสะเทือนจนตกลงพื้น ผู้ว่าการมณฑลชางหนานหูเถี่ยหนิงเดือดพล่าน คำรามออกมา “เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกทีซิ!”
นายทหารส่งสารผู้หนึ่งที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้า กำลังตัวสั่นงันงก “ใต้เท้า…ทหารของค่ายเฟยฉี (ค่ายม้าเร็ว) พบศพเจ็ดเทพยุทธ์กวานหยางกับเย่เหลียงในป่าสัตตะดารา ลักษณะการตายของกวานหยางคล้ายคลึงกับฮว๋าเทียนเป็นอย่างมาก ส่วนเย่เหลียงถูกพิษและถูกตัดคอ ม้าศึกและอาวุธของเขาถูกชิงไปจนหมด”
“ไอ้พวกสวะ ไอ้พวกสวะ!”
หูเถี่ยหนิงใบหน้าหวาดกลัว สูดหายใจเข้าไม่หยุด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ค่ายเฟยฉียังไล่ตามอยู่หรือไม่”
“ขอรับ แต่ระหว่างทางต้องเจอกับการจู่โจมของสัตว์วิญญาณอยู่หลายครั้ง ทำให้สูญเสียกำลังทหารและม้าไปจำนวนหนึ่ง”
“เสียกำลังไปทั้งสิ้นเท่าใด”
“สามร้อยนายขอรับ…พวกเขาเจอกับงูหลามยักษ์ที่อายุอย่างน้อยสี่พันปีเข้าตัวหนึ่ง…”
“บัดซบ!”
หูเถี่ยหนิงตบโต๊ะอย่างเดือดดาลอีกครั้ง “ถ้าฆ่าหลินมู่อวี่ไม่ได้ ข้าหูเถี่ยหนิงไหนเลยจะยังกล้าเป็นผู้ว่าการมณฑลได้อีก! จงรีบทำหนังสือรายงานไปยังแม่ทัพเซี่ยงอวี้ทันที ให้เขาตรึงกำลังนอกเมืองหลันเยี่ยนให้แน่นหนา ทันทีที่จับหลินมู่อวี่ได้ก็ให้จัดการได้ทันที!”
“ขอรับ…”
……
วันที่เก้าของการหลบหนี ป่าสัตตะดารา
ที่ข้างลำธารน้ำใสสะอาดแห่งหนึ่ง ฉู่เหยากำลังซักเสื้อผ้าที่เปลี่ยนออกมา ส่วนหลินมู่อวี่ก็กำลังให้อาหารม้า พลางกางแผนที่ดูสัญลักษณ์บนนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ย “แผนที่นี้…ข้าดูไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่พวกเราน่าจะอยู่ห่างจากเขตเมืองหลันเยี่ยนไม่ไกลแล้ว อย่างมากใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน ก็สามารถเข้าเขตป่าล่ามังกรที่อยู่รอบนอกเมืองหลันเยี่ยนได้ พี่ฉู่เหยา พวกเราต้องเข้าไปในป่าล่ามังกรไหม”
“ต้องเข้า!”
ฉู่เหยาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มพูด “ประกาศจับของพวกเรามาจากมณฑลชางหนาน คนที่ตามฆ่าเราส่วนใหญ่ก็มาจากมณฑลหนานชางเช่นเดียวกัน แต่เมืองหลันเยี่ยนเป็นเมืองศูนย์กลางจักรวรรดิ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจปกครองของมณฑลใดๆ ทหารรับจ้างเร่ร่อนพวกนั้นที่ตามฆ่าเราคงจะเกรงกลัว อย่างน้อยคงไม่ฆ่าคนอย่างบ้าบิ่นเปิดเผยแบบนั้น”
“อย่างนั้นก็ดี เรากินข้าวเสร็จแล้วรีบออกเดินทางไปป่าล่ามังกรกันเถอะ”
“อือ!”
เพื่อลดการฆ่าคนให้น้อยที่สุด หลินมู่อวี่เลือกหลบหนีโดยใช้เส้นทางที่มีคนอยู่เบาบางประปราย เช่นนี้ผ่านไปแล้วสองวันจึงไม่ได้พบเจอผู้ใด และไม่เจอกับพวกทหารรับจ้างอีกด้วย
ช่วงเที่ยง สิ่งที่ทำให้อิ่มท้องนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ยังคงเป็นน้ำแกงเนื้อ แต่ฉู่เหยากลับมองไปยังลำธาร ท่าทางดูไม่สบายใจ
“เป็นอะไรไปเหรอ” หลินมู่อวี่ถามยิ้มๆ
ฉู่เหยาขมวดคิ้วน้อยๆ พูด “อาอวี่ เราหนีตายกันมาหลายวันขนาดนี้ ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลยสักครั้ง…”
“เรื่องนี้เองหรอกเหรอ…” หลินมู่อวี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเป็นผู้ชาย เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตาย ไม่เคยคิดถึงเรื่องกลิ่นตัว แต่ฉู่เหยาเป็นหญิง นางไม่เหมือนเขาที่ไม่พิถีพิถันอะไร
“เช่นนั้นพี่ฉู่เหยาท่านไปอาบน้ำเถอะ ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่” เขาพูด
ฉู่เหยาพยักหน้ายิ้มรับ “ข้าจะไปอาบตรงทางนั้น แล้วจะรีบกลับมา”
“ตกลง หากเจออันตรายก็ตะโกนเรียกข้าล่ะ”
“อือ”
หลินมู่อวี่จัดการอุ่นน้ำแกงในหม้อต่อ ด้านฉู่เหยาก็หอบเสื้อผ้าที่จะผลัดเปลี่ยนเดินไปอาบน้ำ
น้ำแกงหอมขึ้นเรื่อยๆ ในหม้อนั้นยังคงเป็นเนื้อกวางเหมือนเดิม
จากนั้นไม่นานกระเพาะของหลินมู่อวี่ก็ร้องจ๊อกๆ ไม่หยุด ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่ว่าจะแอบขโมยกินเนื้อดีหรือไม่นั้น จู่ๆ เสียงร้องของฉู่เหยาก็ดังลอยมาจากทางเนินเล็กๆ อีกฝั่ง
เกิดเรื่องแล้ว!
หลินมู่อวี่คว้ากระบี่ขึ้นอย่างรวดเร็วพุ่งออกไป ฝีเท้าดาวตกทำให้เขาพุ่งออกไปราวกับลมพายุ ทะยานข้ามไปถึงเนินเขา ร่างขาวเนียนราวหิมะของฉู่เหยาที่อยู่กลางลำธารก็ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า นางหันหลังให้หลินมู่อวี่ ตีสายน้ำจนแตกกระเซ็นพลางถอยหลังไป ส่งเสียงตะโกนลั่น “ออกไปนะ ออกไป!”
มีบางอย่างอยู่ในน้ำ!
หลินมู่อวี่ก้าวเท้าพุ่งตัวลงไปในน้ำ ประกายกระบี่เคลื่อนผ่าน กลิ่นอายเย็นเยียบของกระบี่จ้วงแทงทะลุผ่านน้ำที่แตกกระเซ็นนั่น ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งกระจายออกมา ถัดมาร่างของงูน้ำที่ขาดเป็นสองท่อนก็ลอยขึ้นมา หลินมู่อวี่ตกตะลึง งูน้ำตัวนี้ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่กว่างูน้ำทั่วไปมาก แต่…ก็ไม่ได้เป็นอันตรายนี่นา
ที่ด้านหลัง ฉู่เหยากอดเขาไว้แน่น หวาดกลัวจนตัวสั่น “มัน…ตายหรือยัง”
“ตายแล้วล่ะ…” หลินมู่อวี่รู้สึกอยากจะร้องไห้ “พี่ฉู่เหยา นี่แค่งูธรรมดาเท่านั้นเอง ไม่ใช่สัตว์วิญญาณเลยด้วยซ้ำ ท่าน…ท่านเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปฐพีชั้นที่หนึ่ง ทำไมถึงมาตกใจเพราะงูแค่นี้ล่ะ”
ฉู่เหยาเม้มปาก กระเง้ากระงอด “ข้า…ข้ากลัวสัตว์ที่กระดุกกระดิกแบบนี้มาตั้งแต่เกิด ข้ากลัวงูที่สุด ดังนั้น…ดังนั้นพอกลัวขึ้นมา แม้แต่ปราณยุทธ์ข้าก็ลืมจนหมดสิ้น”
ขณะที่พูด ใบหน้าน่ารักก็แดงขึ้นมา “อาอวี่ ข้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า…”
“ข้ารู้น่า เห็นแล้วล่ะ…”
“อะไรนะ เจ้าเห็นแล้ว?” หัวใจดวงน้อยของฉู่เหยาเต้นโครมครามอย่างไม่เอาไหน
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้ม “ด้านหลังพี่ฉู่เหยายังคงงดงาม ด้านหน้าข้าคงไม่ต้องมองแล้ว ท่านย่อตัวลงในน้ำเสีย ข้าจะไปแล้ว ท่านก็รีบกลับมากินข้าวก็แล้วกัน”
“อือ”
ฉู่เหยาค่อยๆ ย่อตัวลงในน้ำ หลังจากหลินมู่อวี่กระโดดวูบหนึ่งก็หายข้ามเขาไป ไม่หันหลังกลับมามอง
“เจ้าเด็กโง่…”
ฉู่เหยามองเงาด้านหลังของเขา นางไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกดีใจหรือว่าผิดหวังกันแน่
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่เหยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินกลับมา ผมสั้นนั้นยังคงมีน้ำหยดลงมาเป็นสาย หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมองแล้วหัวเราะ “พี่ฉู่เหยาเป็นสาวงามหยดย้อยที่แท้จริง!”
ฉู่เหยาหน้าแดง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
“รีบกินเถอะ มิเช่นนั้นสาวงามจะหิวจนกลายเป็นยายแก่”
“อยากโดนตีหรือไง เจ้าเด็กบ้า…” ฉู่เหยาเขินอายไม่หยุด
ทั้งสองแบ่งอาหารกันกินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จัดการเก็บกวาดสถานที่ แล้วรีบออกเดินทางทันที เนื่องจากมีม้าสองตัว ดังนั้นความเร็วในการเดินทางจึงเพิ่มขึ้นไปด้วย
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ก็เดินทางมาถึงชายป่าล่ามังกร
บนแผ่นป้ายหินโบราณอันหนึ่งสลักอักษรว่า ‘ป่าล่ามังกร’ เอาไว้ หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปใกล้ แล้วยิ้มออกมา “ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิในตำนาน เมืองหลันเยี่ยน!”
ฉู่เหยาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เจ้าอย่าฝันหวานไปหน่อย ป่าล่ามังกรแทบจะโอบล้อมเมืองหลันเยี่ยนไว้ทั้งเมือง มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล พวกเรามาถึงแค่ป่าล่ามังกรเท่านั้น หากคิดจะเข้าเมืองหลันเยี่ยนยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกสามวัน อีกอย่างพวกเราก็จะไม่ไปเมืองหลันเยี่ยน อย่าลืมวิว่าตอนนี้พวกเราเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ของจักรวรรดิ ในเมืองหลันเยี่ยนต้องมีภาพวาดของพวกเราติดอยู่เป็นแน่”
“อืม ไม่ไป อยู่ในป่าล่ามังกรนี่แหละ ให้ผ่านไปสักพัก พวกเราค่อยออกไป”
“ตกลง”
พอตกกลางคืน ดูเหมือนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเดินทางต่อไปอีก ทั้งสองจึงหาพื้นที่ราบท่ามกลางหุบเขาบริเวณเขตแดนระหว่างมณฑลชางหนานกับเมืองหลวงจักรวรรดิเป็นที่พักแรม หลินมู่อวี่กางกระโจมง่ายๆ เพื่อให้เป็นที่นอนสำหรับฉู่เหยา ส่วนตัวเองออกไปเก็บฟืนมาก่อกองไฟ ต้มน้ำแกงเนื้อ
ลมกลางคืนนั้นเงียบสงบเป็นพิเศษ หลินมู่อวี่จึงอาศัยความมืดฝึกหมัดเสียงปีศาจ จากนั้นก็ฝึกมีดเสียงปีศาจอีกรอบ แล้วก็ฝึกร่ายรำเพลงกระบี่วายุ ฉู่เหยานั่งหัวเราะคิกคักอยู่บนโขดหินด้านข้างมองเขาฝึกซ้อม ศิษย์น้องที่ขยันหมั่นเพียรผู้นี้ทำให้นางประหลาดใจยิ่งนัก การนั่งมองเขาฝึกยุทธ์เหมือนว่าจะกลายเป็นความเพลินเพลินอย่างหนึ่งของฉู่เหยาไปเสียแล้ว
“ปุดๆ…ปุดๆ”
กลิ่นน้ำแกงเนื้อฟุ้งกระจาย ฉู่เหยายิ้มหน้าระรื่น “อาอวี่ กินข้าวได้แล้ว!”
“อือ”
หลินมู่อวี่ยิ้มน้อยๆ แล้วหยุดฝึกเพลงกระบี่ แต่ทว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ ฌาณสัมผัสของเขารับรู้ถึงการเคลื่อนไหว รู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดสองสายที่เข้ามาใกล้
เขาทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ปิดปากเล็กๆ ของฉู่เหยาเอาไว้ “มีคนมา!”
ขณะที่พูด ก็คว้าเอวของนางมาโอบไว้โดยไม่อธิบาย แล้วก็กระโดดขึ้นลงอยู่สองสามครั้ง จนมาหยุดลงในพุ่มไม้ที่ห่างออกไปไม่ไกล พวกเขาหลบอยู่ในพุ่มไม้มองเหตุการณ์ที่อยู่ไกลออกไป ขณะเดียวกันก็กดเสียงพูดให้ต่ำ “ลดลมหายใจกับพลังของตัวเองลง อย่าโคจรปราณ กลั้นหายใจไว้จะดีที่สุด พยายามอย่าปล่อยกลิ่นอายของพลังออกมา…”
ฉู่เหยาทำตามที่บอก นางเป็นคนละเอียดอ่อน ทำตามสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องยาก
หลินมู่อวี่ก็กลั้นหายใจเช่นกัน ลดพลังของตัวเองให้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด ให้เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป เช่นนี้ผู้อื่นก็ยากที่จะรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา
จากนั้นไม่กี่นาที เงาร่างของคนสองคนก็บินโฉบลงมาจากบนเทือกเขา ด้วยระดับความเร็วที่น่าอัศจรรย์ ฝีมือของคนทั้งสองไม่เลวทีเดียว ฝีเท้าเร็วมากราวกับขี่ม้า อีกอย่าง หน้าตาของทั้งคู่ก็เหมือนกันราวกับแกะ เพียงแต่อาวุธไม่เหมือน คนหนึ่งถือธนูยาว อีกคนถือหอกงู (หอกที่ใบมีดมีลักษณะคดหยักคล้ายลำตัวของงู) ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดร้ายและไอสังหาร
“เจอแล้ว!” ผู้ที่ถือหอกงูเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านพี่ อย่าบุ่มบ่าม พวกมันน่าจะอยู่ในกระโจม”
ผู้ที่ถือธนูหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เหรินโท่ว รอให้พี่ยิงทะลุพวกมันสักสามสี่รูก่อนค่อยว่ากัน ให้พวกมันรู้จักลูกธนูสี่ดอกติดของข้าสักหน่อย!”
“อือ”
ผู้ที่ถือคันธนูดึงลูกธนูดอกหนึ่งออกจากซองอย่างรวดเร็ว “ฟิ้ว” ลูกธนูพุ่งตรงไปทางกระโจม เขายิงลูกธนูตามออกไปอีกสามดอกติดด้วยระดับความเร็วปานสายฟ้า ลูกธนูพุ่งออกไปติดๆ กัน กระโจมถูกยิงทะลุเป็นรูใหญ่ๆ ถึงสี่รู ฝีมือเช่นนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมือในการยิงธนูที่ไม่ธรรมดา
ผู้ที่ถือหอกยาวคำรามแล้วพุ่งตัวออกไป หอกพุ่งเข้ามาด้วยความรุนแรง เกิดเปลวไฟปะทุขึ้นมา!
“เปรี้ยง!”
กระโจมระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษเถ้าไปเสียสิ้นทันที
“ไม่มีคน?” ผู้ที่ถือธนูงงงัน “ไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วหรอกนะ”
“ไล่ตามไป!”
“ตกลง!”
ทั้งสองพุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้า ฝีมือทรงพลังน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก
รอจนคนทั้งสองหายลับไปจากสายตา หลินมู่อวี่ก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วเอ่ยขึ้น “ใครมาจากไหนกันอีกล่ะเนี่ย”
ฉู่เหยาสูดลมหายใจเข้า “อา…แฝดผู้ฝึกยุทธ์ น่าจะเป็นเทพแฝดในเจ็ดเทพยุทธ์ อาอวี่ เรารีบไปจูงม้ากันเถอะ คืนนี้ค้างแรมที่นี่ไม่ได้แล้ว”
“อือ”
ทั้งสองรีบออกไปจูงม้า ครั้งนี้หลินมู่อวี่มีลางสังหรณ์ ใช้ญาณสัมผัสกระจายไปทั่วโดยรอบอย่างเต็มที่ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายจากที่ไกลออกไปกำลังเพิ่มระดับเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว รีบพูดขึ้น “พี่ฉู่เหยา ระวัง พวกมันกลับมาแล้ว!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีเสียงลมแหวกดังเข้ามา
หลินมู่อวี่รีบผลักฝ่ามือออกไปอย่างรีบร้อน กระดองเต่าทมิฬสั่นสะเทือนปรากฏอยู่เบื้องหน้า เสียงปล่อยธนูดังติดกันสามครั้ง “กึง กึง กึง” ลูกธนูสามดอกที่ฝ่ายตรงข้ามยิงมากระเด็นออกทั้งหมด ครั้งนี้ลอบทำร้ายไม่สำเร็จ
ในความมืดมิด คนสองคนค่อยๆ ก้าวออกมา ผู้ที่ถือธนูหัวเราะอย่างเย็นเยียบ “หลินมู่อวี่ที่คนเล่าลือกันมีฝีมืออยู่เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะสามารถหลบการยิงสามครั้งติดของข้าได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ชิ้ง”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมา เอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้าเป็นใครกัน”
ผู้ที่ถือธนูหัวเราะเยาะเย้ย “หนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์ ซ่งปาฝู่!”
ผู้ที่ถือหอกก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “หนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์ ซ่งเหรินโท่ว!”