ตอนที่ 22 ชายที่อันตรายที่สุด
ผู้บ่มเพาะปีศาจมีเส้นทางเดียวให้เดิน : พลัง ในขณะเดียวกัน เส้นทางอันชอบธรรมจะเป็นไปตามกฏที่กำหนดไว้เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง ก้าวไปทีละก้าว เนื่องจากการไล่ล่าอย่างป่าเถื่อนนี้ ผู้บ่มเพาะปีศาจจึงถูกมองเป็นคนบ้า ใช้วิธีการน่ารังเกียจเพื่อเพิ่มพลังตัวเอง นี่ทำให้ผู้บ่มเพาะสายธรรมะกลัวพวกเขา
การสู้กับพวกเขาเหมือนสู้กับคนบ้า
ด้วยความรู้นี้ในหัว โหยวเฉวียนจึงเริ่มเสียใจที่สู้กับจั๋วฝาน แม้จะมั่นใจ การสู้กับผู้บ่มเพาะปีศาจที่ไร้ยางอายก็ต้องส่งผลลบกับเขา
“ข้าต้องรีบยุติเรื่องนี้”ดวงตาของโหยวเฉวียนระเบิดจิตสังหารออกมา และพลังปราณสีม่วงก็หลั่งไหลออกจากฝ่ามือเขา
อากาศรอบตัวเขาเย็นลงและแม้กระทั่งลั่วหยุนชางที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าวก็พลันรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่กัดกิน
นางตระหนักถึงอันตรายและหัวใจก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่ก่อนนางจะได้เตือนจั๋วฝาน โหยวเฉวียนก็ได้เปลี่ยนเป็นเงาดำ และพุ่งใส่ ดอกไม้ทั้งหมดตามทางร่วงโรยหมด
“วิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นสูง กรงเล็บทมิฬ”(กรงเล็บโหยวหมิง)
ปัง!
พลังสีม่วงเย็นกระแทกกับหน้าอกของจั๋วฝานจนเขากระอักเลือดออกมาพร้อมเศษน้ำแข็ง
“ฮึ่ม หัวใจของเจ้าโดนข้าผนึกไว้แล้ว เจ้าไม่สามารถแสดงลูกไม้อะไรออกมาได้อีกแล้ว”
โหยวเฉวียนพอใจที่การโจมตีของเขาได้ผลและผ่อนคลาย
มีความต่างของพลังถึงสี่ขั้นระหว่างพวกเขา และผู้บ่มเพาะปีศาจยังไม่ลังเลที่จะใช้เทคนิคแปลกๆหรือโหดเหี้ยม เมื่อหัวใจโดนพลังปราณสกัดไว้ อีกฝ่ายจะไม่สามารถใช้พลังได้ ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ
ซุนยู่เฟยส่งเสียงร้องยินดี“ฆ่าเขาซะ”ขณะที่ลั่วหยุนชางกับคนอื่นประหม่า
เขาพยักหน้าอยู่ภายใน แม้จะรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่เอาการและโกรธ โหยวเฉวียนก็ยอมรับว่าคำพูดของนางครั้งนี้เป็นจริง ศัตรูผู้บ่มเพาะปีศาจต้องไม่รอดชีวิต
เพราะการแก้แค้นของผู้บ่มเพาะปีศาจมักโหดเหี้ยม
ตอนนี้ ฝ่ามือสีม่วงเล็งไปที่หัวของจั๋วฝาน“ฮึ่ม ตายซะ!”
ลั่วหยุนชางกับคนอื่นต่างตกใจ หัวใจของพวกนางดีดขึ้นคอ
แต่หลังเสียงระเบิด หัวของจั๋วฝานกลับปกติดี ส่วนโหยวเฉวียนถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไป พ่นเลือดกลางอากาศ
“ฝ่ามือโลหิต!”จั๋วฝานร้องตะโกน ตั้งท่าต่อสู้
“นั่นเป็นไปไม่ได้!”
โหยวเฉวียนตะเกียกตะกายลุก กุมหน้าอกด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ“ข้าผนึกหัวใจเจ้าไปแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังใช้วิชายุทธ์ได้?”
“ฮึ่ม ไม่มีอะไรที่พี่ชายจั๋วฝานทำไม่ได้!”ลั่วหยุนไห่เชิดหน้าขณะที่ลั่วหยุนชางและหัวหน้าผางแสดงความโล่งใจ
แต่แล้ว จั๋วฝานก็พ่นเลือดออกมาอีกกอง ตอนนี้มีรูประดับบนหน้าอกเขา ซึ่งมีเลือดไหลออกมา
“กะ-เกิดอะไรขึ้น?”ลั่วหยุนชางตกตะลึงขณะที่หัวหน้าผางวิ่งไปพยุงจั๋วฝาน
มีแค่โหยวเฉวียนถึงเข้าใจและตำหนิ“เขาดูเหมือนจะระเบิดหัวใจตัวเองตอนข้าใช้วิชาข้ากับเขาเพื่อทำลายกรงเล็บทมิฬ เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”
“เจ้าพูดอะไรนะ?”ลั่วหยุนชางกังวล
โดยไม่สนใจนาง โหยวเฉวียนเยาะเย้ยจั๋วฝาน“น่าเสียดายจริง ถ้าเจ้ามีระดับเท่าข้า กระบวนท่าเจ้าคงจบลงด้วยการหักล้างกัน แต่มันกลับจบด้วยการเร่งความตายเจ้า”
เขาพุ่งไปหาจั๋วฝาน แม้ความเร็วจะลดลง มันก็ไม่ใช่อะไรที่พวกลั่วหยุนชางจะจัดการได้
“ไม่!”ลั่วหยุนชางกระโดดมาด้านหน้าจั๋วฝานพร้อมกางแขน โหยวเฉวียนจึงเย้ยหยัน“ฮี่ๆๆ คุณหนูลั่ว ข้าไม่ว่าอะไรที่จะฆ่าเจ้าไปด้วย”
หวือ!
สมาชิกตระกูลลั่วเห็นกรงเล็บของโหยวเฉวียนแต่ไร้อำนาจจะหยุดมันไม่ให้เข้าใกล้หัวของจั๋วฝาน
โหยวเฉวียนอยากฆ่าจั๋วฝานต่อหน้าพวกเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย จู่ๆ จั๋วฝานก็ยิ้มแปลกๆ
ปัง!
ทันใดนั้น กรงเล็บสีม่วงก็โดนคว้าจับ
“วิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นกลาง กรงเล็บมังกรซ่อน?”
โหยวเฉวียนยกหัวขึ้น พบใบหน้าอบอุ่นที่ทักทายเขา มันเป็นของชายหนุ่มอายุประมาณ 18 สวมชุดสีทองและใบหน้าเหมือนพวกนักปราชญ์ แต่กลับมีดวงตาเฉียบคม
“หลงเจี๋ย?”โหยวเฉวียนขบฟัน
ซุนยู่เฟยตกใจ“ศาลาเฉียนหลง”
“โหยวเฉวียน เจ้าฆ่าคนเป็นว่าเล่นเลยนะ”หลงเจี๋ยยิ้ม
“ฮึ่ม มันเป็นเรื่องของข้า ไสหัวไป”
หลงเจี๋ยส่ายหัว เขาอาจดูใจดี แต่กลับมีความแน่วแน่ในดวงตา“ข้าได้รับคำสั่งโดยลุงจิ่วให้ปกป้องตระกูลลั่ว ถ้าเจ้าอยากฆ่าเขา เจ้าก็ต้องผ่านข้าไปก่อน”
“ทำไมจู่ๆศาลาเฉียนหลงถึง…”
ซุนยู่เฟยตัวสั่น ไม่คิดฝันว่าตระกูลลั่วจะได้รับความช่วยเหลือจากศาลาเฉียนหลง
ตระกูลซุนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของโหยวหมิงกู่และถึงแม้ตระกูลลั่วจะมีแค่สี่คน พวกเขากลับมีศาลาเฉียนหลงหนุนหลัง ตามพื้นหลัง ตระกูลเดียวที่สามารถสู้กับตระกูลซุนได้ในเมืองเนตรสายลมคือตระกูลลั่ว
นี่ได้ทำลายความเหนือกว่าของซุนยู่เฟย
นางจับจ้องลั่วหยุนชาง แทบจะไม่ปิดบังความเกลียดชังในสายตา
“ฮึ่ม หลงเจี๋ย เรามีพลังพอๆกัน เจ้าคิดว่าจะปกป้องพวกเขาได้หรือไง?”โหยวเฉวียนมองจั๋วฝานด้วยจิตสังหาร
ด้วยใบหน้าจริงจัง หลงเจี๋ยพูดอย่างเย็นชา“โหยวเฉวียน อย่าลืมบาดแผลเจ้า ตอนนี้เจ้าคิดว่ายังเทียบเคียงกับข้าได้อีกหรือไง?”
ก่อนเขาจะได้สวนกลับ หลงเจี๋ยก็พูด“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร ผู้บ่มเพาะปีศาจสามารถแสดงพลังได้ 120% แต่ถ้าเราสู้กันที่นี่ มันจะเกิดสงครามระหว่างตระกูลเรา เจ้าเตรียมพร้อมรับความผิดชอบเช่นนี้แล้วหรือ?”
โหยวเฉวียนลังเล
โหยวหมิงกู่กับศาลาเฉียนหลงคือเจ็ดตระกูลใหญ่ แต่ก็ยังมีความขัดแย้งกัน มันเป็นแค่เรื่องของเวลาก่อนสงครามจะปะทุขึ้น แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าเขาทำลายแผนของตระกูล เขาคงไม่สามารถแบกรับผลที่ตามมาได้
“หึ”
เพียงเมื่อเขาพยักหน้า มือหนึ่งก็เกาะกุมหน้าอกเขาไว้
เขารีบเร่งปราณด้วยความตื่นตระหนกเพื่อสกัดกั้นการโจมตี แต่ปราณสีเลือดก็ทำให้การควบคุมของเขาปั่นป่วน ในชั่วพริบตานั้น มือก็แทงทะลุหน้าอกเขาและคว้าจับหัวใจ
“อาจารย์ของเจ้าไม่ได้เตือนหรือ?ในการต่อสู้กับผู้บ่มเพาะปีศาจ อย่าประมาทไม่งั้นเจ้าจะตาย”
เสียงคุ้นเคยดังในหูของโหยวเฉวียนขณะที่สายตาของเขาถูกทักทายด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของจั๋วฝาน
“จะ-เจ้า…”โหยวเฉวียนตกตะลึง
จั๋วฝานกำลังจะตาย แต่ตอนนี้กลับมีแรงพอจะขยับ แต่สิ่งที่ทำให้เขางงงวยยิ่งกว่าคือเขาแข็งแกร่งและเร็วกว่าตอนแรกที่สู้กันเสียอีก
ทุกอย่างชัดเจนแล้ว เขาตกหลุมพราง และไม่ใช่แค่เขา…
เขาหันไปมองหลงเจี๋ยที่ตกใจไม่แพ้กัน
[ช่วยข้าด้วย…]
“ตาย!”เสียงอันแสนชั่วร้ายของจั๋วฝานดังก้องในหูของทั้งสองและทั้งสองก็ตะโกน“ไม่!”
มันสายเกินไไป จั๋วฝานได้ควักหัวใจของโหยวเฉวียนออกมาแล้ว เลือดไหลพรากราวกับน้ำพุจากอกของโหยวเฉวียนขณะที่เขาล้มลง
เขาไม่อยากสู้กับผู้บ่มเพาะปีศาจเพราะทุกการเคลื่อนไหวต่างถูกวางแผนไว้อย่างเลือดเย็น…
“เปียวเกอ!”
ซุนยู่เฟยกรีดร้องอย่างเจ็บปวดขณะเดินไปหาเขา ผู้คุ้มกันตระกูลซุนรีบพาตัวนางออกไป พวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนอีกและสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยคนของศาลาเฉียนหลง
หลงเจี๋ยที่สงบนิ่งได้เห็นความตายเป็นครั้งแรก เขากลืนน้ำลายลงคอ หันไปมองจั๋วฝาน เขาเห็นหัวใจทีท่ยังเต้นในมือจั๋วฝานและเหงื่อแตก
เขาเห็นผู้บ่มเพาะปีศาจมามาก แต่จั๋วฝานเรียกได้ว่าน่ากลัวสุด ถ้าเอาเขาไปเทียบกับคนอื่น ผู้บ่มเพาะปีศาจเหล่านั้นคงมองเขาเป็นราชาตอนเห็นวิธีการของจั๋วฝาน
“เจ้าคือคนที่ปู่จิ่วส่งมาปกป้องเรา?ขอบคุณที่ช่วย โปรดส่งข้อความหาเขา ว่าเราไม่ต้องการ”จั๋วฝานโยนหัวใจทิ้งพร้อมประสานมือ
หลงเจี๋ยประสานมือกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น จากนั้นก็จากไป
หกชั่วโมงต่อมา ภายในศาลาเฉียนหลง
ปัง!
หลงจิ่วทุบโต๊ะด้วยความโกรธ ตาที่เหลือแค่ข้างเดียวของเขาแทบถลนออกมา หลงเจี๋ยกับหลงขุ่ยยืนก้มหัวอยู่ ไม่กล้าแหงนมอง
“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ที่ข้าหลงจิ่ว ผู้ท่องไปทั่วโลกได้โดยไม่มีใครขัดขวางจะมาโดนเด็กสารเลวเหยียบหัว เขากลับทำลายแผนของตระกูลเราจนป่นปี้!”
หลงขุ่ยลังเลและถาม“ลุงจิ่ว ข้าไม่เข้าใจ การลอบโจมตีของจั๋วฝานเกี่ยวอะไรกับศาลาเฉียนหลง?”
“เด็กโง่”หลงจิ่วด่า“อาเจี๋ยอยู่ทีี่นั่และขัดแย้งกับโหยวเฉวียน ทุกคนต่างเห็นมัน เด็กนั่นฆ่าโหยวเฉวียนต่อหน้าอาเจี๋ย บอกข้ามา ใครกันที่จะโดนว่า?”
“ตระกูลลั่ว!”หลงขุ่ยพูด
หลงจิ่วหัวเราะขณะส่ายหัว “เสี่ยวขุ่ย เจ้าเชื่อว่าตระกูลเล็กๆจะกล้าฆ่าศิษย์ของเจ็ดตระกูลใหญ่หรือ?”
หลงขุ่ยส่ายหัวหลังคิดจบ
หลงเจี๋ยพูดต่อ“ถ้าแม้แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อ งั้นโหยวหมิงกู่กับตระกูลซุนก็คงไม่เชื่อ พวกเขาจะโทษเรา”
“ว่าไงนะ?แต่นั่นหมายความว่าเราเป็นคนโชคร้ายสิ ทำไมเราถึงต้องเป็นแพะรับปากให้ตระกูลลั่วด้วย?”
“ฮึ่ม โชค?ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของเจ้าเด็กนั่น จากอาเจี๋ย ข้าเข้าใจว่าเด็กนั่นกำลังจะตายตอนเขาไปถึง ต่อให้โหยวเฉวียนอยากเอาชีวิตเขา เขาก็ไม่สามารถทำได้เพราะอาเจี๋ยต้องหยุด จากนั้นเขาก็ลอบโจมตีด้วยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งกว่าตอนแรก นี่เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว”
“ว่าไงนะ?นั่นหมายความว่าเขารู้ว่าพี่ชายหลงเจี๋ยอยู่ที่นั่นตั้งแต่ต้น?”หลงขุ่ยอุทาน
หลงจิ่วถอนหายใจ“เด็กโง่ ไม่เพียงเขาจะวางแผนต่อต้านโหยวเฉวียน แต่เขายังรวมศาลาเฉียนหลงกับโหยวหมิงกู่ไว้ในการคำนวณด้วย ตระกูลเราจะต้องสู้ขณะที่ตระกูลลั่วหลบหนี”
“เป็นไปไม่ได้!เขาไม่กลัวว่าจะตอแยสองตระกูลหรือไง?”
“เขาคิดเรื่องนี้ไว้ด้วย เมื่อเขาขายภาพวาดให้เรา เขาก็ได้ยืนยันจุดยืนเราไปแล้ว ถ้าเราโจมตีพวกเขาหรือไม่สนใจชะตากรรมของตระกูลลั่ว มันก็เหมือนกับการแสดงความอ่อนต่อหน้าโหยวหมิงกู่ สร้างความเสื่อมเสียให้ชื่อเสียงของศาลาเฉียนหลงเรา ทางเลือกเดียวของเราคือปกป้องตระกูลลั่ว”
“เห้อ เขาหลอกใช้ข้าตั้งแต่ต้น..เด็กนี่อันตรายที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา”
เมื่อนึกถึงฉากก่อนหน้า หลงเจี๋ยก็พยักหน้าเห็นด้วย