ทะลุมิติเทพศาสตรา EP.59 การลอบโจมตีของจิ้งจอกอัคคี
EP.59 การลอบโจมตีของจิ้งจอกอัคคี
ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาสามวันสามคืน ในที่สุดท้องฟ้าก็แจ่มใส
บนเขาลึกในป่าสัตตะดารา ชายหญิงคู่หนึ่งค่อยๆ เดินทางต่อไป นั่นก็คือหลินมู่อวี่และฉู่เหยา
อาการบาดเจ็บของหลินมู่อวี่แทบจะหายดีหมดแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถออกแรงมากเกินไปได้ มิเช่นนั้นแผลจะปริออก เขาแบกสัมภาระที่ค่อนข้างใหญ่ไว้บนหลัง เดินไปยิ้มไป แล้วเอ่ยขึ้น “หนักชะมัด พี่ฉู่เหยา ท่านซื้ออะไรกลับมากันเนี่ย”
ฉู่เหยาแลบลิ้นหัวเราะ “ก็ได้แต่ต้องรอฟ้ามืดถึงจะออกไปซื้อเสบียงที่หมู่บ้านใกล้ๆ ได้นี่นา ข้าก็เลยหาซื้อของดีไม่ได้เลย ได้มาแค่หม้อหนึ่งใบ ถ้วยสองใบ แล้วก็น้ำมันกับเกลือ ข้ายังได้กระโจมง่ายๆ ไม่ใหญ่มากมาหลังหนึ่งด้วยนะ แล้วก็ซื้อเสื้อคลุมมาให้เจ้าอีกตัว ใกล้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ตอนกลางคืนในป่าสัตตะดาราจะหนาวมาก”
“อือ”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “นี่ก็พอแล้วล่ะ เห็นประกาศรางวัลนำจับพวกเราบ้างไหม”
“เห็น!”
ฉู่เหยาพยักหน้าอย่างแรงแล้วยิ้ม “หนึ่งแสนเหรียญทองเชียวนะ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะมีค่าหัวมากขนาดนี้ ข้าได้ยินมาว่า นายพรานจำนวนมากต่างคิดจะตามล่าพวกเรา ดีที่ภาพวาดบนประกาศนั่นไม่เหมือนเราสักนิด อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ผมสั้นแล้ว ไม่เช่นนั้นต้องถูกจำได้แน่ จริงสิ ข้ายังได้ยินพวกนายพรานพูดกันอีกว่า มีทหารรับจ้างเร่ร่อนจำนวนมากก็เข้ามาในป่าสัตตะดาราเพื่อตามล่าเราด้วยเหมือนกัน แม้แต่ ‘เจ็ดเทพยุทธ์’ ในตำนานก็ตกลงเข้าร่วมการล่านี้ด้วย ครั้งนี้จะเดินทางไปถึงอาณาเขตของเมืองหลวงจักรวรรดิได้หรือเปล่ายังเป็นปัญหาอยู่”
“เจ็ดเทพยุทธ์คืออะไร”
“คือยอดฝีมือในหมู่ทหารรับจ้างเร่ร่อน เจ็ดเทพยุทธ์คือฉายาที่พวกทหารรับจ้างเรียกพวกเขา ทั้งเจ็ดคนนี้ต่างเป็นยอดฝีมือในพื้นที่ป่าสัตตะดารา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มเมื่อเทียบกับนัยน์ตาเหยี่ยวแล้วยังแข็งแกร่งกว่ามาก”
“อย่างนี้นี่เอง...”
หลินมู่อวี่แอบกำหมัดแต่กลับหัวเราะน้อยๆ “ถ้าพวกนั้นกล้าตามฆ่าเราเพราะเงินทองแล้วละก็ อย่ามาโทษว่าข้าใจดำอำมหิตก็แล้วกัน...”
ฉู่เหยาผ่านเหตุการณ์มามาก เคยชินแล้วกับชีวิตต่อสู้ฆ่าฟัน นางพยักหน้ารับ “อือ”
เมื่อใกล้เวลาเที่ยง ทั้งสองเดินทางข้ามภูเขามาแล้วสามลูก แต่ดูเหมือนยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าไปในเขตลึกของป่าสัตตะดารามากขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะยิ่งลึกก็จะง่ายต่อการพบสัตว์วิญญาณอายุหลายพันปี หลินมู่อวี่รับมือสัตว์พวกนั้นไม่ไหวแน่
ระหว่างทาง หลินมู่อวี่เด็ดใบไม้ริมทางขึ้นมาดมตลอด จากนั้นก็ขมวดคิ้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“อาอวี่ เจ้ากำลังหาอะไรอยู่กันแน่” ฉู่เหยาถามอย่างอดไม่ได้
“จิ้งจอกอัคคี จิ้งจอกอัคคีอายุหกร้อยปีตัวหนึ่งกำลังสะกดรอยตามพวกเรา”
“ฮะ?” ฉู่เหยาอ้าปากกว้างอย่างตกตะลึง
หลินมู่อวี่ยิ้มแล้วอธิบาย “ใบไม้ที่ข้าเด็ดเป็นใบของต้นไม้ประเภท ‘ปาล์ม’ ชนิดหนึ่ง เป็นอาหารโปรดของจิ้งจอกอัคคี ยิ่งอายุต้นปาล์มมาก จิ้งจอกอัคคีก็ยิ่งชอบ อีกอย่างยิ่งจิ้งจอกอัคคีอยู่ใกล้เท่าไหร่ ใบของต้นปาล์มก็จะยิ่งกระจายกลิ่มหอมสดชื่นออกมามากขึ้นเท่านั้น ตามหลักการแล้ว จิ้งจอกตัวนี้อยู่ใกล้เราไม่ถึงสองลี้แล้วล่ะ”
“มิน่าล่ะรอบๆ ถึงได้มีกลิ่นหอม!”
“ใช่แล้ว เราน่าจะเข้ามาในอาณาเขตของจิ้งจอกอัคคีแล้วล่ะ ดังนั้นมันจึงคิดล่าพวกเรา พอดีเลย เราจะกลับเป็นฝ่ายที่ล่ามันแทน วิญญาณของจิ้งจอกอัคคีกับวิญญาณยุทธ์เตียวม่วงของท่านค่อนข้างจะเข้ากันได้ดี หากท่านหลอมวิญญาณของมันก็จะทำให้พลังของพี่ฉู่เหยารุดหน้าอย่างก้าวกระโดดเลยล่ะ”
“แต่ว่า...” ฉู่เหยากะพริบตา แล้วพูด “ปรมาจารย์ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองหยินซานเคยบอกว่า ห้ามดูดซับวิญญาณสัตว์ถี่เกินไป มิเช่นนั้นวิญญาณยุทธ์กับร่างกายจะรับไม่ไหว”
“วางใจได้” หลินมู่อวี่ส่งยิ้มให้ “เชื่อข้า พี่ฉู่เหยา ท่านยังมีพื้นที่สำหรับเพิ่มระดับขั้นอีกมาก”
“อือ งั้นก็ได้...”
เวลาเที่ยง ทั้งสองกินอาหารอยู่ใต้โขดหิน อาหารนั้นก็คือเนื้อวัวย่างสองชิ้น กับน้ำสะอาดภายในน้ำเต้า ทว่าสำหรับหลินมู่อวี่กับฉู่เหยาแล้ว อาหารนี้จัดว่าดีมากแล้ว สองสามวันที่แล้วพวกเขาต้องเดินทางท่ามกลางฝนที่ตกหนัก กินอาหารได้แค่วันละมื้อ แถมยังเป็นหมั่นโถวที่เย็นชืดอีกด้วย
แม้ปากจะกำลังเคี้ยวเนื้อวัว แต่สายตาของหลินมู่อวี่กลับจ้องไปอีกทาง “พี่ฉู่เหยา ระวังตัวด้วย จิ้งจอกอัคคีปรากฏตัวแล้ว มันโจมตีเราได้ทุกเมื่อ และจะต้องเป็นการซุ่มโจมตีด้วย”
“อือ”
ฉู่เหยาพยักหน้าเบาๆ เข็มเงินหนึ่งเล่มปรากฏขึ้นในมือ เข็มเงินที่นางซัดออกไปนั้น ในระยะยี่สิบเมตรยังมีพลังทำลายล้างอยู่มาก แต่หากไกลกว่านี้ แรงก็ไม่เพียงพอ
“จี๊ด จี๊ด...”
ทันใดนั้นเอง ปรากฏเปลวไฟกลุ่มหนึ่งขึ้นจากที่ไกลๆ นั่นคือจิ้งจอกอัคคีที่ถูกหุ้มด้วยเปลวเพลิง จิ้งจอกอัคคีอายุหกร้อยปีแผดร้องเสียงดังอยู่ในพุ่มไม้ เปลวไฟลุกโชน แล้วก็เกิดเสียงดังพรึ่บ ก้อนเพลิงขนาดใหญ่ถูกยิงออกมา
หลินมู่อวี่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขากระโดดลงจากโขดหิน วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏออกมา พร้อมกับกระดองเต่าทมิฬที่โผล่ขึ้นมาสมทบ สลายเปลวไฟที่จิ้งจอกอัคคีพ่นโจมตีออกมา ขณะเดียวกันก็ยกมือซัดมีดเสียงปีศาจออกไป เสียงหวีดแหลมนั้นพุ่งตรงเข้าหน้าผากจิ้งจอกอัคคี
อย่างไรเสียเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ก็บำเพ็ญมาหลายร้อยปี จึงมีความคิดนานแล้ว มันหลบการโจมตีของมีดเสียงปีศาจเข้าไปในพุ่มไม้ด้วยความรวดเร็วอย่างชาญฉลาด แต่การเคลื่อนไหวนี้หลินมู่อวี่คาดการณ์ไว้แล้ว ทันใดนั้นเกิดเสียงดังขึ้น เถาวัลย์สีเขียวที่เต็มไปด้วยหนามโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน นั่นคือทักษะพันธนาการของพุ่มหนาม และพุ่งเข้ารัดจิ้งจอกอัคคีไว้แน่นในชั่วพริบตา
“จี๊ด จี๊ด”
มันร้องเสียงดังขึ้น เปลวไฟเผาทำลายเถาวัลย์น้ำเต้าไม่หยุด ฉู่เหยาพูดรีบร้อน “อาอวี่ ระวังถูกเปลวไฟของมันโจมตี!”
“ไม่หรอก!”
หลินมู่อวี่พุ่งหมัดใส่อากาศดัง “เปรี้ยง” คลื่นอากาศเกิดสั่นสะเทือน มีดเสียงปีศาจที่กำลังบินกลับมาหมุนเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าตัดด้านหลังของจิ้งจอกอัคคี เลือดสาดกระจาย จิ้งจอกอัคคีร้องอย่างทุรนทุรายที่ได้รับบาดเจ็บ
“ซัดเข็มเงินไปที่ตาของมัน!” หลินมู่อวี่ตะโกนเสียงดัง
ฉู่เหยารีบยกมือ แล้วซัดเข็มเงินออกไป วินาทีถัดมาจิ้งจอกอัคคีส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา หลินมู่อวี่ถือกระบี่เหล็กทะยานออกไป เร่งความเร็วของฝีเท้าดาวตกจนถึงขีดสุด แสงแปลบปลาบบนกระบี่สาดสะท้อน “ฉัวะ” หัวของจิ้งจอกอัคคีปลิวกระเด็นออกมาทันที ขณะเดียวกันเปลวไฟที่อยู่โดยรอบก็พุ่งเข้ามาโจมตี
“ตูม!”
โชคดีที่กระดองเต่าทมิฬโผล่ขึ้นมาทันเวลา มิเช่นนั้นเขาต้องโดนเผาเป็นแน่ หลินมู่อวี่ยืนอยู่ตำแหน่งเดิม มองทุ่งหญ้าโดยรอบที่ถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก อดเดาะลิ้นเงียบๆ ไม่ได้ เป็นไปดังคาด สัตว์อายุหกร้อยปีนี่ดูถูกกันไม่ได้เชียว มิเช่นนั้นต้องตกอยู่ในเงื้อมมือมันเป็นแน่
“พี่ฉู่เหยา เร็วเข้า หลอมวิญญาณสัตว์วิญญาณเร็วเข้า”
“อือ!”
ฉู่เหยารีบนั่งลงข้างร่างจิ้งจอกอัคคี ปล่อยวิญญาณยุทธ์เตียวม่วงออกมา เตียวม่วงดูดซับพลังวิญญาณของจิ้งจอกอัคคีอย่างตะกละตะกลาม ส่วนหลินมู่อวี่ก็ทำท่าเหมือนกับคุ้มครองอยู่ด้านข้าง
แต่ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะปลุกภูตระบบลู่ลู่ต่างหาก จากนั้นเขาเรียกติ่งหลอมอาวุธออกมาช่วยฉู่เหยาดูดซับพลังวิญญาณอยู่ด้านข้าง ด้วยพลังของฉู่เหยาไม่มีทางที่จะดูดซับพลังวิญญาณของจิ้งจอกอัคคีตัวนี้ได้ทั้งหมด แต่ติ่งหลอมอาวุธเป็นเหมือนกับภาชนะใบใหญ่ ต้องช่วยนางหลอมพลังวิญญาณก่อน แล้วเหลือส่วนที่เป็นแก่นบริสุทธ์ที่สุดให้แก่นาง ขณะเดียวกันก็ปกป้องวิญญาณยุทธ์ของฉู่เหยาไม่ให้ถูกวิญญาณสัตว์ตีกลับมาทำร้ายได้
ขณะที่ฉู่เหยากำลังหลอมวิญญาณอยู่นั้น ร่างกายนางสั่นเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับนาง อีกอย่างนางก็รู้สึกว่ามีพลังที่เข้มแข็งสายหนึ่งกำลังช่วยเหลือตนเองอยู่ และนางเองก็เดาได้ว่าเป็นผู้ใด
หลินมู่อวี่หลับตาสองข้างลง บังคับพลังของตนเองให้เข้าไปค้นหาภายในวิญญาณสัตว์ของจิ้งจอกอัคคี ทันใดนั้นเอง พลังงานแสบร้อนสายหนึ่งก็เกิดเดือดดาลบ้าคลั่งอย่างรุนแรงขึ้นมา มันนั่นเอง! และใช้กระแสจิตเข้าจับพลังสายนี้อย่างรวดเร็ว นี่คือแก่นวิญญาณของจิ้งจอกอัคคี คิดจะหนีจากติ่งหลอมอาวุธรึ ฝันไปเถอะ!
พลังการหลอมอาวุธของหลินมู่อวี่นั้นราวกับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่จับแก่นวิญญาณของจิ้งจอกอัคคีไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นเขาก็นำแก่นวิญญาณที่ล้ำค่านี้แก่ฉู่เหยา ให้นางค่อยๆ หลอมมันอย่างช้าๆ
ใช้เวลาหลอมไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดก็เรียบร้อย
ตอนที่ฉู่เหยาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมานั้น นางรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง “อาอวี่ ข้าหลอมวิญญาณสัตว์ของจิ้งจอกอัคคีสำเร็จแล้ว สวรรค์ คิดไม่ถึงเลยว่าเตียวม่วงจะได้ทักษะมาด้วย การโจมตีด้วยเปลวไฟเชียวนะ!”
หลินมู่อวี่แอบยิ้ม ดูเหมือนว่าทักษะนี้วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีของถังเสี่ยวซีก็ทำได้เช่นกัน!
“ยินดีด้วยพี่ฉู่เหยา พลังของท่านตอนนี้อยู่ระดับใดแล้วหรือ”
ฉู่เหยาแบมือออก ปล่อยให้ปราณไหลออกมา “อย่างน้อยน่าจะอยู่ขั้นวิญญาณสงครามระดับที่ยี่สิบเจ็ด บางทีอีกไม่นานข้าก็อาจจะเข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นแรกได้แล้วล่ะ!”
“ยอดเลย!”
หลินมู่อวี่พยักหน้าแล้วยิ้ม “ท่านยังต้องฝึกการซัดเข็มอีกเยอะ จะให้ดีต้องซัดให้ถูกเป้าในระยะห้าสิบเมตรให้ได้อย่างแม่นยำ แบบนี้ตอนเราต่อสู้จะราบรื่นยิ่งขึ้น ออกเดินทางกันเถอะ อยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้”
“อือ!”
ส่วนตัวของหลินมู่อวี่เองนั้น เนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่ใช้วัดระดับพลัง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ขั้นบรรพชนสงครามที่ระดับใดกันแน่ แต่สามวันที่ผ่านมานี้เขาฆ่าสัตว์วิญญาณไปหลายตัว ดูดซับวิญญาณสัตว์เข้าไปไม่น้อย พลังเพิ่มขึ้นมากทีเดียว อย่างน้อยก็น่าจะถึงระดับสามสิบหกแล้วกระมัง อีกอย่างภยันตรายก็ยังไม่หมดสิ้น นี่สำหรับการเพิ่มระดับพลังแล้วก็มีประโยชน์อย่างยิ่งยวดเช่นกัน
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินทางต่อเข้าไปในภูเขา ไม่รู้เลยว่าอันตรายจากที่ไกลนั้นได้คืบคลานใกล้เข้ามาแล้ว
หนึ่งชั่วยามต่อมา ในพื้นที่ส่วนลึกของป่าสัตตะดารา
ในป่ารกร้าง ยอดฝีมืออายุประมาณสี่สิบปีถือมีดเล่มยาวเดินเข้ามา หนวดเคราเฟิ้ม แววตาคมเข้มมีพลัง สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่กองขี้เถ้ากองหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว มองร่างของจิ้งจอกอัคคีบนพื้น เขาก้มตัวดมกลิ่น แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“หึ เพิ่งตายไม่ถึงสามชั่วยาม ดูแล้วเป็นบาดแผลจากกระบี่ หลินมู่อวี่ ในที่สุดข้ากวานหยางก็หาเจ้าเจอ!”
พูดจบ เขาก็รีบพุ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว มีดเล่มยาวในมือราวกับจะส่งเสียงแหลมเล็กออกมาอยู่ในที
ที่เมืองหลวง หอสดับพิรุณ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่กลางขุนเขาและทะเลสาบ และเป็นหอที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง แต่กลับไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะย่างกรายเข้ามาได้ คนที่มีคุณสมบัติจะเข้ามาได้นั้นต้องเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยและชาติตระกูลสูงส่ง
บนศาลา มีสาวงามผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ นางสวมชุดสีแดงเพลิง ยืนมองน้ำใสอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อสีแดง ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่มีข่าวของหลินมู่อวี่อีกหรือ”
ผู้ที่สวมชุดเกราะนักรบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตอบกลับอย่างเคารพ “ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงซี ลือกันว่าเจ็ดเทพยุทธ์เคลื่อนไหวและออกตามล่าเจ้าเด็กหลินมู่อวี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซีกัดริมฝีปากที่แดงระเรื่อ “ครั้งนี้ท่านปู่ส่งกองทหารม้ามาอารักขาข้าเท่าไหร่”
“แปดร้อยนายพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
“ให้พวกเขาออกไปทั้งหมด แม้จะต้องพลิกป่าสัตตะดาราก็ต้องหาตัวหลินมู่อวี่มาให้ข้าให้จงได้!”
“แต่...ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีคนอยู่อารักขาองค์หญิงที่นี่...”
ถังเสี่ยวซีปล่อยหมัดออกไปทันใด วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีก็ระเบิดตัวออก ทำลายราวกั้นจนแตกกระจุย ใบหน้างดงามนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“ให้ออกไปทั้งหมด ต้องให้ข้าพูดเป็นครั้งที่สอง? หรือต้องให้ข้าไปทูลขอฝ่าบาทให้ออกคำสั่งกับเจ้าโดยตรง เจ้าถึงจะยอมไป?”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้!”
ถังเสี่ยวซียืนอยู่บนเฉลียงยาวเพียงผู้เดียว มองไปยังทิศใต้ที่ห่างไกล จู่ๆ ร่างกายก็เกิดสั่นเทิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ผู้อาวุโสชวี หากท่านอยู่ด้วยคงจะดีไม่น้อย ศิษย์ที่ท่านภาคภูมิใจที่สุด กำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านรู้หรือไม่”