บทที่ 31 เหวินไป่ชิ
บทที่ 31 เหวินไป่ชิ
“พี่ชายของเจ้ารึ?!” ชายคนนั้นตะโกนด้วยความประหลาดใจทำให้เขาเป็นที่สนใจจากคนรอบๆตัวนั้น เขาโบกมือเชิงบอกว่าไม่มีอะไรให้พวกเขาอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขารวบรวมสติกลับมาขณะที่เขามองยุ่นหลิงอย่างจริงจัง ตอนนี้เขามองดูอย่างใกล้ชิด
ยุ่นหลิงและยุ่นฮุ่ยพวกเขาบางส่วน มีความคล้ายคลึงกัน แม้ว่ายุ่นหลิงจะดูเหมือนผู้หญิงมากเกินไป แต่ก็ไม่ยากที่จะเชื่อว่าเขาและยุ่นฮุ่ยมีความเกี่ยวข้องกัน
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนที่เขาเรียกมั่วๆมานี้จะเป็นน้องชายของอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงจากนิกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์ยุ่นฮุ่ย
“แล้ว เจ้าเป็นใครกันล่ะ” ยุ่นหลิงถามชายคนนี้อย่างใจเย็น ดูเหมือนว่ายุ่นฮุ่ยพี่ชายของเขาได้สร้างชื่อให้กับตัวเอง แม้ว่าเขาจะเป็นสาวกจากนิกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์แต่บางคนจากนิกายวารีพาดผ่าน ก็รู้จักเขา
ด้วยประสบการ์ณของเขานั้นยุ่นหลิงจึงแอบยิ้มในใจขณะที่เขาคิดว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของพี่ชายของเขาเพื่อตัวเองได้
“ข้าชื่อเหวินไป่ชิเป็นศิษย์หลักโดยตรงจากนิกายวีพาดผ่าน ยินดีที่ได้รู้จักน้องชายของผู้อาวุโสยุ่นฮุ่ย” เหวินไป่ชิแนะนำตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำถามของยุ่นหลิง
‘ศิษย์โดยตรง’? ยุ่นหลิงเลิกคิ้วใส่เขา เขาตรวจสอบขอบเขตการฝึกตนของเหวินไป่ชิอย่างรอบคอบเป็นเวลาหนึ่งวินาที ‘อืมไม่เลว เขาอยู่ในช่วงปลายของขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลาง ซึ่งเหนือกว่าอัจฉริยะที่จักรวรรดิเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะพูดความจริง”
ในการตรวจสอบของยุ่นหลิงเวลาสั้นๆ นั้นเขาสามารถรู้ขอบเขตการฝึกตนของเหวินไป่ชิได้เพียงแค่แวบเดียว
ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกมังกรทองส่วนใหญ่ที่จักรวรรดิเป็นเพียงระดับต้นถึงกลางและมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในช่วงปลายของของขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลาง สำหรับคนที่จะเป็นศิษย์หลักโดยตรงของนิกายพวกเขาจะต้องอยู่ในขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลางเมื่ออายุสามสิบหรือน้อยกว่านั้นข้อกำหนดเดียวกันกับที่จักรวรรดิจิ๋นกำหนดไว้สำหรับผู้ที่จะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกมังกรทองได้
แม้ว่ายุ่นหลิงไม่เคยเป็นศิษย์ของนิกายมาก่อน แต่เขาก็รู้ข้อมูลนี้จากพี่ชายของเขาเป็นครั้งแรกที่เขากลับบ้านหลังจากที่กลายเป็นศิษย์ของนิกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์
'ถ้าเขาสามารถเข้าถึงขอบเขตการเปลี่ยนแปลงที่สี่ได้ก่อนอายุสามสิบปีเขาจะกลายเป็นหนึ่งในศิษย์หลักของนิกายวารีพาดผ่าน' ยุ่นหลิงคิดและตัดสินจากสิ่งที่เขาเห็นเหวินไป่ชิคนนี้อยู่ไม่ไกลเกินไปจากที่เขาคิด เมื่อเขาเข้าถึงขอบเขตการเปลี่ยนแปลงที่สี่ เขาอาจจะกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายวารีพาดผ่านไม่ช้าก็เร็ว
ขนาดคนที่มีความสามารถอย่างเหวินไป่ชิ ที่พูดยกย่องพี่ชายของเขา แสดงว่ายุ่นฮุ่ย ทำหน้าที่ได้ดีในนิกายของเขา อันที่จริง เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ยุ่นหลิงได้พบเขาครั้งสุดท้ายดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาแลกเปลี่ยนจดหมายทุกๆสองสามเดือน แต่ยุ่นฮุ่ยไม่ได้เขียนอะไรมากนักในจดหมายของพวกเขา เมื่อยุ่นหลิงพยายามถามเขาว่าเขาเป็นอย่างไร ยุ่นฮุ่ยก็จะบอกว่าเขาตลอดว่าเขาสบายดี
แม้ว่ายุ่นหลิงจะไม่รู้แน่ชัดว่ายุ่นฮุ่ยเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเขามากนักเพราะยุ่นฮุ่ยคอยส่งข่าวให้พ่อแม่ของพวกเขาทุกเดือนเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเขา และเท่าที่เขามองดูพ่อของเขา เขาพอใจทุกครั้งที่เขาอ่านจดหมายของยุ่นฮุ่ยนั่นก็เพียงพอแล้ว ยุ่นหลิงก็เลยสามารถบอกได้ว่าพี่ชายของเขาสบายดีในนิกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์
“เหวินไป่ชิเหรอ? เจ้ามีธุระอะไรกับข้าล่ะ” ยุ่นหลิงถาม
เหวินไป่ชิมีรอยยิ้มที่บนใบหน้าของเขาขณะที่เขาพูดว่า “น้องชายของผู้อาวุโสยุ่นฮุ่ยขอโทษด้วยที่เสียมารยาท แต่เรากำลังไล่ล่าผู้ที่หลบหนีเข้ามาในเมืองนี้ ผู้หลบหนีคนนี้มีศิลปะชั้นยอดที่ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ตามต้องการดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งคำถามกับใครก็ตามที่ดูน่าสงสัยแม้จะเพียงแค่นิดเดียวก็ตามในเมืองนี้”
“เจ้ากำลังบอกว่าข้าดูน่าสงสัยใช่ไหม”
“ไม่ ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้าแบบนั้น เพียงแต่เจ้าดูแตกต่างไปเล็กน้อยและดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้เป็นคนที่อาศัยที่นี่ด้วยเท่านั้นเอง” เหวินไป่ชิส่ายหัวและอธิบายอย่างรวดเร็วขณะที่เขาเหลือบมองไปยังม้าที่ยุ่นหลิงนั่งอยู่
ยุ่นหลิงสังเกตเห็นว่าเขามองไปที่ใด ดูเหมือนว่าสาเหตุที่เขาดึงดูดความสนใจของเหวินไป่ชิได้นั้นเป็นเพราะม้าของเขา สาเหตุนั้นเป็นเพราะม้าของเขาไม่ใช่ม้าธรรมดา แต่จริงๆแล้วเป็นอสูรชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอาชาสงคราม มันต่างจากม้าทั่วไปที่สามารถควบมันด้วยความเร็วเต็มที่เพียงไม่กี่นาที อาชาสงครามนี้สามารถใช้เดินทางได้หลายวันโดยแทบไม่ต้องพักเลย พวกมันเร็วกว่าม้าทั่วไปมากทำให้เหมาะสำหรับการเดินทาง อย่างไรก็ตามนั้นอาชาสงครามก็มีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ มีเพียงขุนนางหรือพ่อค้าที่ร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อได้
“ผู้หลบหนี?” จู่ๆยุ่นหลิงก็อยากรู้อยากเห็น “ผู้หลบหนีคนนี้ทำอะไรถึงได้รับความสนใจเช่นนี้แม้แต่ศิษย์โดยตรงจากนิกายเช่นเจ้า?”
เหวินไป่ชิลังเลเล็กน้อย เขาควรบอกยุ่นหลิงดีหรือไม่? หรือมันควรจะเป็นความลับ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นความลับมากนักเนื่องจากหลายคนรู้อยู่แล้ว แม้แต่ผู้อยู่อาศัยในเมืองบางคนก็รู้ดีดังนั้นหากยุ่นหลิงต้องการสืบเรื่องจริงๆสิ่งที่เขาต้องทำคือถามคนที่รู้ในเมืองแล้วเขาจะได้รับคำตอบ
“ข้าไม่ควรบอกเรื่องนี้กับใครดังนั้นให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับตกลงนะ? เห็นได้ชัดว่าผู้หลบหนีคนนี้นั้นได้สังหารศิษย์หลักของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและคัดลอกคัมภีร์อันล้ำค่าของนิกายม้วนหนึ่งไปไว้ที่ตัวเขา เนื่องจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและนิกายริวารีพาดผ่านเป็นพันธมิตรกันพวกเขาจึงขอความช่วยเหลือจากนิกายของเราในการตามเอาคัมภีร์ของเขากลับมา รวมทั้งข้าด้วยศิษย์หลักชั้นในนิกายของเราบางคนถูกเรียกตัวไปเพื่อค้นหาเขานอกจากนี้ยังมีศิษย์หลักสองสามคนและแม้แต่ผู้อาวุโสจากนิกาย
ของเราก็ต้องออกมาเคลื่อนไหวเพราะผู้หลบหนีคนนั้น” ในที่สุดเหวินไป่ชิก็บอกความจริงกับยุ่นหลิง อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ในตอนนี้
ยุ่นหลิงตกอยู่ในความคิด ไม่น่าแปลกใจที่มีสาวกมากมายจากนิกายวารีพาดผ่านในเมืองนี้ เป็นเพราะว่าพวกเขามาตามล่าผู้หลบหนีที่เมืองแห่งนี้นี่เอง
“ยังไงก็ตามน้องชายของผู้อาวุโสยุ่นฮุ่ยถ้าเป็นอย่างนั้นข้าขอถามได้ไหมว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ เนื่องจากการหลบหนีครั้งนี้เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำเป็นต้องถามเรื่องนี้คนนอก” เหวินไป่ชิถาม
ยุ่นหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะบอกเขาหรือไม่ หากเขาไม่ให้ความร่วมมือเขาอาจมีปัญหากับสาวกนิกายวารีพาดผ่านคนอื่นๆ ในเมือง ยังไงก็ตามเขาก็ต้องตอบเพราะเหวินไป่ชิแค่มาทำตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น
“เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ก็คือข้ากำลังมุ่งหน้าไปที่ หุบเขาพันภูเขาเพื่อฆ่าอสูรหายากตนหนึ่ง” ยุ่นหลิงตัดสินใจว่าน่าจะเป็นการดีที่จะบอกเขาเกี่ยวกับจุดประสงค์ของเขา แต่เขาไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมด แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์ใดๆจากเหวินไป่ชิ แต่เขาก็ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าทั้งหมดในเรื่องนี้
เหวินไป่ชิหยิบพู่กันและกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาขณะที่เขาเขียนคำพูดของยุ่นหลิง “หุบเขาพันภูเขา? เจ้าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่? ถ้าเจ้าต้องการข้าก็จะช่วยเจ้า พวกเราสาวกของนิกายวารีพาดผ่านเข้าไปในหุบเขาพันภูเขาเป็นประจำเพื่อควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ดีไปกว่าสาวกของนิกายวารีพาดผ่านที่เชี่ยวชาญกับสถานที่แห่งนี้”
“แล้วเจ้าไม่ไล่ตามผู้หลบหนีเหรอ” ยุ่นหลิงขมวดคิ้ว
เหวินไป่ชิหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก ศิษย์โดยตรงแค่คนเดียวหายไปคงจะไม่สร้างความแตกต่างใดๆหรอก ตราบใดที่ข้าอธิบายให้รุ่นพี่ฟังเขาก็ยอมให้ข้าไป โปรดให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ”
ยุ่นหลิง เลิกคิ้วขึ้นโดยรุ่นพี่ที่เขาพูดถึงอาจหมายถึงหนึ่งในคนที่ดูแลพวกเขาในการจับผู้ลี้ภัย
“แล้วเจ้าจะได้อะไรจากการช่วยข้า” ยุ่นหลิงถาม
เหวินไป่ชิยิ้ม “ข้าแน่ใจว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้ว เพียงแค่หาคำพูดดีๆไว้ให้กับผู้อาวุโสยุ่นฮุ่ยก็เพียงพอแล้ว”
ยุ่นหลิงก็ยิ้ม ดูเหมือนว่าเขายังประเมินอิทธิพลของยุ่นฮุ่ยต่ำไปเล็กน้อย
“ข้าขอขอบเจ้ามากที่จะให้ความช่วยเหลือข้า แต่ข้าขอปฏิเสธ” ยุ่นหลิงส่ายหัวไปที่เขา เหวินไป่ชิคนนี้อยู่ในช่วงปลายของขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลางเท่านั้น เขาจะกลายเป็นภาระของยุ่นหลิงเมื่อพวกเขาพบกับงูยักษ์สามหัว
เหวินไป่ชิถอนหายใจ “แย่จัง ข้าคิดว่าจะสามารถช่วยเจ้าได้และได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสยุ่นฮุ่ย”
ยุ่นหลิงยิ้ม “น่าเสียดายจริงๆ”
หลังจากที่ยุ่นหลิงจากไปแล้วเหวินไป่ชิก็มองไปที่สาวกของนิกายวารีพาดผ่านคนอื่นๆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
“น้องชายของผู้อาวุโสยุ่นฮุ่ยงั้นเหรอ?” เหวินไป่ชิพึมพำกับตัวเอง เขามองไปรอบๆตัวของเขาขณะที่เขาถอนหายใจ “การรักษาความปลอดภัยที่นี่แน่นหนาเกินไป แล้วข้าจะหนีออกจากที่นี่ด้วยตัวเองได้ยังไงกัน”