ตอนที่แล้วตอนที่ 108 เรื่องที่อยากถาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 110 ทำร้าย

ตอนที่ 109 จบคดี


ตอนที่ 109

จบคดี

"คุณเนตร คนคนนั้นเป็นใครเหรอคะ"หลังจากกวีถามคำถามกับเนตรเสร็จเรียบร้อยแล้วกวีก็ออกไปจากอาคารที่เนตรใช้เป็นที่ทำงาน แต่เพราะเนตรกลัวว่าจะทำกวีไม่พอใจก็เลยเดินมาส่งกวีด้านล่างด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกมากสำหรับคนอื่นๆเพราะปกติเนตรไม่ค่อยลงมาส่งแขกด้วยตัวเองหรอก

"ไม่ต้องรู้หรอก แต่ถ้าเขามาอีกก็ให้ขึ้นไปพบฉันได้ทันทีเลยเข้าใจนะ"เนตรตอบพลางเดินกลับขึ้นไปบนห้องทำงานด้วยท่าทีนิ่งๆเหมือนเดิมอย่างกับท่าทีที่แสดงออกมาตอนอยู่กับกวีไม่เคยมีจริงงั้นล่ะ

"........."ไม่ใช่แค่ลงมาส่งด้วยตัวเอง เนตรถึงกับให้สิทธิ์เขาคนนั้นเข้าพบได้ทันทีเลยงั้นเหรอ ได้คำตอบแบบนี้ก็ยิ่งสงสัยกันพอดี

.

.

.

กึก….

ร่างของกวีลุกออกมาจากเครื่องสร้างโลกเสมือนจริงก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยเพราะตัวเขาต้องออกไปทำธุระข้างนอกนั่นเอง

เป้าหมายในการออกมาข้างนอกของกวีครั้งนี้ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแก้ว ตัวเขาไม่เคยสั่งให้คนของตนเองลงมือทำร้ายแก้ว เพราะงั้นคนที่ทำก็ต้องเป็นคนอื่น แถมเจ้านั่นยังป้ายความผิดมาให้กวีอีกต่างหาก ความเกลียดชังของแก้วที่มีต่อกวีเป็นสิ่งเดียวที่กวีไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ว่ากวีจะทำอะไรแก้วก็ยังมองกวีเป็นศัตรูเสมอ เพราะงั้นการดึงตัวแก้วมาเป็นพวกนั้นก็เลยยากมากๆ วันนี้เมษบอกสาเหตุให้กวีรู้ถือเป็นข่าวดีสำหรับกวีมากทีเดียว

เอี๊ยด…

กวีขับรถเข้ามาในสถานีตำรวจที่อยู่ในเขตปกครองเดียวกันกับที่บ้านของแก้วตั้งอยู่ ใช่แล้ว กวีเองก็รู้เหมือนกันว่าในโลกภายนอกแก้วอาศัยอยู่ที่ไหน แม้จะสืบข้อมูลเหล่านี้มาแล้วแต่ก็ไม่เคยเอามาใช้เลยจนกระทั่งวันนี้

ในวันที่แก้วโดนดักทำร้ายเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนที่สงครามในเกมจะเริ่ม ถึงจะออกไปไหนก็ไม่น่าจะพ้นตัวบ้านเท่าไหร่ เพราะแก้วต้องกลับมาเข้าเกมนั่นเอง เพราะงั้นหากแก้วแจ้งความเอาไว้เรื่องก็ต้องอยู่ในสถานีตำรวจในพื้นที่แน่ๆ

"มาติดต่ออะไรครับ"ร้อยเวรที่ทำหน้าที่เฝ้าโต๊ะอยู่เห็นกวีเดินเข้ามาก็เอ่ยปากถามตามหน้าที่ ในสมัยนี้คนไม่ค่อยออกมาข้างนอกนักตำรวจกลับไม่ได้มีงานน้อยลงสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องในเกมก็เอามาแจ้งความได้หลังจากกฎหมายเริ่มปรับให้เข้ากับโลกเสมือนจริงมากขึ้น แม้การฆ่ากันในเกมหรือทำร้ายร่างกายกันในเกมจะไม่ถือเป็นความผิดในข้อกฎหมายแต่ก็ยังมีการหลอกลวงให้เห็นเป็นประจำอยู่ดี

"ผู้กำกับอยู่หรือเปล่าครับ"กวีถามพลางมองขึ้นไปบนบันไดของสถานี เรื่องที่กวีต้องการติดต่อนั้นไม่สามารถทำผ่านร้อยเวรได้

"มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับถึงได้ต้องการพบท่านผู้กำกับ"ร้อยเวรได้ยินก็ขมวดคิ้วด้วยท่าทีงุนงงก่อนจะมองกวีตั้งแต่หัวจรดเท้า กวียังหนุ่มอยู่เลย แถมท่านผู้กำกับของสถานีนี้ก็ไม่เคยมีคนรู้จักหน้าตาแบบนี้มาก่อน ถ้ามาขอพบมั่วๆมีหวังได้โดนผู้กำกับด่าแน่ๆ

"ผมมีเรื่องสงสัยนิดหน่อยครับ ก็เลยต้องมารบกวนท่านผู้กำกับเขา"กวีตอบด้วยท่าทีเป็นมิตรเพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นตำรวจ

"ตอนนี้ท่านผู้กำกับไม่อยู่ ถ้าแค่เรื่องสงสัยละก็ถามผมมาได้เลยก็ได้"ร้อยเวรว่าพลางเสนอตัวเข้าช่วยแทน

"อยากจะมาตามความคืบหน้าของคดีที่มีคนมาแจ้งในวันที่สิบสองเมษาของปี**นะสิครับ"กวีตอบออกไปด้วยท่าทีช่วยไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าผู้กำกับจะไม่อยู่พอดี

"คดีนานขนาดนั้นมัน..เธอเป็นผู้เสียหายของคดีนั้นงั้นเหรอ"ร้อยเวรถามพลางขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัย หรือว่าจะเป็นผู้เสียหายที่มาตามคดีที่ไม่คืบหน้าสักทีกัน…

"เปล่าครับ แต่ผมมีเหตุผลที่ต้องรู้"กวีตอบพลางยิ้มออกไปด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่คำตอบของกวีกลับทำให้อีกฝ่ายยิ้มไม่ออก

"จะไปทำได้ไงกัน เนื้อหาคดีไม่สามารถให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องดูได้หรอกกลับไปซะ"ตามกฎหมายแล้วกวีก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งจริงๆนั่นล่ะ แต่เพราะมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่กวีค้างคาใจมาตลอด ก็เลยอยากจะรู้ให้ได้ละนะ

"ถึงได้บอกไงว่าไปพบผู้กำกับดีกว่า"กวีถอนหายใจออกมาก่อนจะโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง

"ครับ…ผมกวีเองครับจำได้หรือเปล่า"กวีถามคนที่อยู่ปลายสายก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายอย่างกับรู้จักกันดีเสียอย่างนั้น แต่ร้อยเวรที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ทราบหรอกว่ากวีกำลังโทรหาใคร

"ครับ พอดีผมมีธุระที่สถานีตำรวจนิดหน่อย ก็เลยอยากจะขอคำอนุญาตจากท่านครับ"กวีพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่เห็นกวีเรียกอีกฝ่ายว่าท่านร้อยเวรตรงหน้าก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว

"ครับ คุณร้อยเวรครับช่วยพูดสายกับท่านหน่อยนะครับ"กวีว่าพลางยื่นมือถือไปให้ร้อยเวรที่อยู่ตรงหน้า เหมือนจะต้องการให้พูดกับคนที่อยู่ปลายสาย

"ดะ ได้…."ร้อยเวรเห็นแบบนั้นก็ยื่นมือไปรับโทรศัพท์จากกวีมาแล้วเริ่มคุยกับคนในสายช้าๆ ตอนแรกเขาก็มีท่าทีเกร็งๆแต่พอเริ่มคุยไปพักหนึ่งก็เริ่มมีท่าทีแตกตื่นให้เห็น

"ครับ ทราบแล้วครับ"พอคุยกันต่อ ร้อยเวรก็ทำท่าทีอ่อนน้อมออกมาทันที แถมยังรับปากคนในสายอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก

"ไม่ทราบว่าคดีที่ต้องการจะค้นดูเป็นคดีไหนเหรอครับ"ร้อยเวรวางสายก่อนจะคืนมือถือให้กวีด้วยท่าทีนอบน้อม แม้เขาจะไม่ได้มีท่าทีดุดันอะไรมาแต่แรก แต่ท่าทีของเขาก็อ่อนลงไปอย่างกับคนละคนอยู่ดี

"คดีดักทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงหนึ่งคนกับผู้ชายหนึ่งคน ชื่อ…."กวีบอกชื่อของแก้วกับพายัพออกไปให้ตำรวจฟังทำให้ร้อยเวรรีบพากวีขึ้นไปชั้น 2 แล้วเข้าไปค้นเอกสารคดีเก่าออกมาให้กวีทันที เพราะมีวันที่และชื่อผู้ร้องชัดเจนก็เลยสามารถหาได้ไม่ยากเลย

"คดีนี้มัน….เจอแล้ว ดักทำร้ายร่างกาย"ร้อยเวรนำแฟ้มคดีแผ่นบางเฉียบออกมาวางตรงหน้ากวี ก่อนจะเปิดเอกสารออกอ่านทันที

"คดีมัน….จบไปแล้วนี่นา"ทันทีที่ได้ยินคำตอบของร้อยเวร กวีก็ขมวดคิ้วออกมาทันที คดีจบแล้วก็ควรจับคนร้ายได้แล้วนี่นา ทำไมแก้วยังมาสงสัยเขาอีกล่ะ หรือว่าคนร้ายยอมรับว่าเป็นคนของกวีงั้นเหรอ?

"คดีนี้รู้ตัวคนร้ายแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินคดีนะ ดูเหมือนผู้เสียหายจะถอนฟ้องก่อนจะดำเนินคดี"กวีได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ ถอนฟ้อง? แก้วไม่มีทางถอนฟ้องแน่ๆ ก็เธอแค้นขนาดนั้น อย่างแก้วคงต้องฟ้องคืนให้สาสมต่างหากไม่ใช่หรือไง

"คนถอนฟ้องเป็นผู้เสียหายคนไหนเหรอครับ"กวีถามพลางมองในเอกสารด้วยท่าทีสงสัย

"เป็นฝ่ายผู้ชาย….ดูเหมือนจะตกลงกันได้ พอจ่ายค่าเสียหายแล้วก็แยกย้ายกันกลับนะ"ร้อยเวรตอบก่อนจะเอาเอกสารอีกชุดมาดู ในนั้นมีรูปของคนก่อเหตุอยู่ด้วย แต่เพราะจ่ายค่าเสียหายกันเรียบร้อยไปแล้วก็เลยไม่ใช่ผู้ต้องหาแต่อย่างไร

"แปลกจริงๆ"กวีแสดงท่าทีครุ่นคิดออกมาให้เห็น แก้วโดนดักทำร้าย นั่นคือเหตุผลที่แก้วเกลียดกิลด์สุริยันจันทรามาจนถึงทุกวันนี้ แต่คนที่ดักทำร้ายไม่ใช่คนของกวี แถมฝ่ายพายัพยังแอบมาถอนฟ้องอีกต่างหาก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แปลกๆ แต่เท่านี้กวีก็สามารถยืนยันความจริงได้แล้วว่ากวีไม่ใช่คนทำ เพราะคนร้ายต่างสามารถตามตัวเจอกันหมดแล้ว

"ผมขอสำเนาของคดีนี้ไปหน่อยนะ"กวีว่าพลางชี้ไปที่เอกสารของคดี ความจริงไม่สามารถให้คนนอกได้ แต่…

"ได้ครับ...แต่ห้ามให้คนอื่นรู้นะครับ"ร้อยเวรตอบพลางยิ้มแห้งๆออกมา ท่านผู้นั้นเป็นคนขอทั้งที ถ้าไม่ทำตามต่อให้เป็นผู้กำกับก็เถอะ

"ขอบคุณ…"กวีตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีพึงพอใจ หลังจากนั้นร้อยเวรก็ถ่ายเอกสารข้อมูลในคดีใส่ซองกระดาษแล้วเอามาส่งให้กวีด้วยท่าทีลับๆล่อๆแล้วส่งกวีออกจากสถานีไปอย่างนอบน้อม

.

.

.

"เจมส์ ช่วยหาคนให้หน่อยได้หรือเปล่า"หลังจากออกมาจากสถานีตำรวจ กวีก็ถ่ายรูปคนที่ดักทำร้ายแก้วส่งไปให้เจมส์หนึ่งในสมาชิกรุ่นบุกเบิกของกิลด์สุริยันจันทราทันที ถ้าเป็นโลกข้างนอกนี่ละก็เจมส์ช่วยได้เยอะทีเดียว

"ได้เลย ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอ ผมขอสนุกด้วยสิ"เจมส์ว่าพลางหัวเราะออกมาด้วยท่าทีชอบใจ ไม่บ่อยนักหรอกนะที่กวีจะติดต่อมานอกเกมแบบนี้

"ก็แค่เรื่องค้างคาใจนิดหน่อย"กวีตอบด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก ถึงความจริงแล้วกวีจะสามารถใช้หลักฐานเหล่านี้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ แต่จะเปลี่ยนความเกลียดชังที่แก้วมีต่อตนเองได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ กวีเลยเลือกอีกเส้นทางมากกว่า

"พี่….คนพวกนี้มันคนของลุงผมนี่นา"ทันทีที่เจมส์เปิดดูข้อมูล เจมส์ก็แทบไม่ต้องส่งคนไปสืบหาตัวเลย ทันทีที่เห็นหน้าเจมส์ก็คุ้นหน้าตาทันที แถมยังจำได้อีกด้วยว่าเคยเห็นคนพวกนี้อยู่กับลุงของตนเอง

"ว่าไงนะ…."วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าประหลาดเสียจริง เรื่องที่คนพวกนี้เป็นคนของลุงที่เจมส์รู้จักทำให้กวีรู้สึกผิดคาดมาก ถ้าจำไม่ผิด ลุงของเจมส์เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลยุคเก่า แต่ถึงจะมีโลกเสมือนจริงเข้ามาแล้วลุงของเจมส์ก็ไม่ได้ปล่อยให้กลุ่มเสียอำนาจไปเฉยๆ แต่กลับโยกย้ายคนเข้ามาในโลกเสมือนจริง แต่ไม่ได้เข้ามาเล่นเกมเหมือนพวกกวี ส่วนเรื่องครอบครัวของเจมส์จะเป็นยังไงนั้นบางทีคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่...คนของลุงเจมส์มาเกี่ยวอะไรกับพายัพกัน?

“ให้ผมบอกลุงให้ดีหรือเปล่า ถ้าพี่อยากเจอผมช่วยเรียกเจ้าพวกนี้มาได้นะ”เจมส์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจมส์สนิทกับลุงมากทีเดียว แค่เรียกลูกน้องของลุงมาไม่ใช่เรื่องยากหรอก

“ได้....เรียกพวกมันมา”กวีได้รับคำตอบก็เปลี่ยนเส้นทางของรถที่ขับอยู่ทันที เป้าหมายต่อไปก็ต้องเป็นบ้านของเจมส์สินะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด