ตอนที่ 270 สัญญาลูกผู้ชาย
‘ประสกละวางความแค้นลงเสียเถิด หากประสกดื้อรั้น อาตมาก็คงได้แต่กักขังประสกเอาไว้ จนกว่าประสกจะได้สติ’
เพียงหนึ่งคำพูด กำแพงอักษรศักดิ์สิทธิ์ที่กั้นขวางก็โอบล้อมร่างเตชินท์เอาไว้ จากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปบาตรศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่าม
เตชินท์พยายามทำลายบาตรทองคำอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งใช้แรง ยิ่งใช้ปราณมารต่อต้าน บาตรทองคำก็ยิ่งแข็งแกร่ง ขณะที่คำเทศนามากมายดังก้องข้างหูของเตชินท์
“ลงเพ่งดูใจตนเองก่อนเถิด หากยังรุ่มร้อนดั่งไฟเผา นั่นไม่ใช่ไฟเผาศัตรู แต่มันกำลังเผาทำลายประสกจากภายใน มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะทำลายตัวเอง เพียงเพราะความแค้นที่ไม่มีตัวตน
ทุกชีวิตย่อมมีวิบากกรรมเป็นของตัวเอง หากเห็นว่าใครเขาทำไม่ดี ก็ปล่อยเขาไปเถิด ปล่อยให้เขาไปชดใช้กรรมของตน โดยที่เราไม่ต้องลงไปเกลือกกลั้ว ละวางเสียเถิด
ส่วนเรื่องอิสตรีนั้นก็อย่าถือสาเป็นเรื่องใหญ่โตเลย ชายหญิงพานพบ ก็เพียงเพื่อจากกันในวันหนึ่ง”
พระอาจารย์พยายามกล่อมเตชินท์ด้วยธรรมะ หวังให้เขาละวางความแค้น
ทว่าสายตาของเตชินท์กลับแข็งกร้าวขึ้นมา นี่มันไม่ยุติธรรมต่อเขาแม้แต่น้อย ทำไมตอนที่เหนือภพถูกไอมารสิงสู่ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมาย นักบวชท่านนี้กลับนิ่งเฉย แล้วทำไมยามที่เขาอยากเข่นฆ่าเหนือภพบ้าง ทำไมจะทำไม่ได้
ในสายตาของเตชินท์เวลานี้ทั้งเกลียด เคียดแค้น เดือดดาล และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมเลยสักนิด
“เพราะอะไร ท่านถึงขัดขวางข้า”
แววตาของเตชินท์เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์
“ท่านบอกข้าที อะไรคือความยุติธรรม อะไรคือเรื่องถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่นักบวชอย่างท่านควรทำกัน”
คำพูดของเตชินท์ ทำให้พระอาจารย์สิริจันโทเผยแววตาละอายใจ
“อาตมาผิดเอง หากอาตมาสั่งสอนศิษย์ตัวเองให้ดีกว่านี้ วิบากกรรมนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น และประสกเองก็คงจะได้ใช้ชีวิตสุขสงบ”
แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เหนือภพสังหารผู้บริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่พระอาจารย์รู้แจ้งว่าสักวันจะต้องเกิดขึ้น มันเป็นชะตาที่จะเกิดขึ้นกับตัวเหนือภพ
ขอเพียงเหนือภพในยามนั้นสำนึกผิด กลับใจยอมรับโทษทัณฑ์ที่ได้กระทำไป เส้นทางชีวิตของเหนือภพก็จะลำบากช่วงต้น บั้นปลายชีวิตจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ และมีชีวิตอย่างสุขสงบ แต่ไม่คาดว่าศิษย์คนนี้จะไม่ยอมรับผิด แถมยังดึงดันผูกกรรมหนักกับผู้อื่นเพิ่ม เดือดร้อนถึงอาจารย์ต้องมาคอยช่วยชี้ทางและประคับประคอง
“ประสกเชื่ออาตมาเถิด ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต แต่หากกลับใจได้ นั่นคือฟากฝั่งที่พักพิง”
เตชินท์เผยแววตาแข็งกร้าว
“ต่อให้เบื้องหน้าเป็นทะเลทุกข์แล้วยังไง ทะเลคมดาบแล้วยังไง ข้าจะลากมันลงไปกับข้า ข้าไม่สนคำพูดไร้แก่นสารของท่าน พูดมามากมายที่แท้ก็อยากให้ศิษย์ท่านสมหวัง ฝันไปเถอะ”
เตชินท์ไม่พูดเปล่า เขาใช้กำปั้นผสานไอมารหวังทะลวงบาตรศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ว่าจะต่อยไปสักกี่ครั้ง นอกจากก่อเกิดเสียงสะท้อนอันดังกังวาน ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับบาตรศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
พระอาจารย์สิริจันโทพ่นลมหายใจออกมา พลางส่ายหน้าอย่างลำบากใจ เวลาก็ผ่านไปแล้วกว่าหกชั่วโมงเตชินท์ก็ยังไม่มีท่าทีจะสงบ ทว่าไอมารบนร่างเขายิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น หากยังเป็นเช่นนี้ย่อมเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นมารร้ายอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นโลกใบนี้อาจจะถือกำเนิดพญามารตนใหม่ สรรพชีวิตมากมายอาจต้องทนทุกข์
แต่หากปล่อยให้เตชินท์เข้าไปในงานพิธีได้สำเร็จ ดวงชะตาเตชินท์ก็จะดับสูญ ณ ที่นั้น และนั่นจะเป็นสาเหตุทำให้แคว้นอมตะล่มสลาย สรรพชีวิตทั้งหมดจะต้องล้มตายไปพร้อมกับเหนือภพ
ผู้เป็นอาจารย์ย่อมไม่อาจทนมองศิษย์ตัวเองเดินไปสู่ความตายเช่นนี้ได้ และก็ไม่อาจทนมองสรรพชีวิตล้มตายไปได้เช่นกัน มีเพียงหนทางเดียวจะยับยั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ขอเพียงเตชินท์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานแต่งงาน เตชินท์ก็จะไม่ตาย แล้วเหนือภพก็จะรอดเช่นเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถช่วยสรรพชีวิตทั้งหมดให้รอดพ้นจากเภทภัยครั้งนี้
ส่วนอนาคตจะเป็นเช่นไรต่อ ก็คงแล้วแต่บุญแต่กรรม นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่อาจารย์คนนี้จะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้
พระอาจารย์สิริจันโทแหงนหน้ามองฟากฟ้า
‘ที่ควรมา ก็มาถึงแล้ว’
ครืนนนนน
เหนือฟากฟ้านอกชายแดนเมืองอมตะปรากฏเงายักษ์ทะมึน เพียงพริบตาก็บดบังแสงจากดวงตะวันที่ส่องสว่าง สู่ชายแดนเมืองหลวงอมตะ การปรากฏตัวของเรือยักษ์สร้างความกังวลให้ชาวเมืองอมตะในแถบชายแดนเป็นอย่างมาก
เหนือภพนิ่วหน้าขณะแหงนมองออกไปด้านนอก เขาเห็นฟ้ามืดครึ้มมาแต่ไกล นั่นเป็นสัญญาณของลางร้าย
“นี่เจ้าตัวเลวร้าย มองอะไรของเจ้า”
บุษย์น้ำทองที่กำลังยื่นมือไปเบื้องหน้าเคียงคู่กับเหนือภพเพื่อรดน้ำสังข์ เกิดความสงสัย
‘ดูเหมือนจะเกิดเรื่อง’ เหนือภพตอบผ่านทางจิต
บุษย์น้ำทองหันมองหน้าเหนือภพแวบหนึ่ง แล้วก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
เป็นขณะเดียวกันนั้นองค์เจ้าแคว้นก็เสด็จมารดน้ำสังข์ ร่วมอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวตามพิธี ขณะที่ทรงรดน้ำที่มือของเหนือภพนั้น พระองค์ก็ตรัสผ่านกระแสจิตไปถึงเหนือภพ
‘เหนือภพ เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าจะปกป้องหลานสาวข้าด้วยชีวิตของเจ้า’
เหนือภพเงยหน้าสบตากับองค์เจ้าแคว้น เขาเห็นแววพระเนตรที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า ทว่าแฝงไปด้วยความจริงใจ
ชายหนุ่มหันมามองบุษย์น้ำทองที่ยิ้มร่าเริงอยู่ข้างกาย ยามพูดคุยกับองค์ราชินี ที่กล่าวอวยพร และสั่งสอนอย่างยืดยาว
‘ดูเหมือนท่านจะซ่อนความลับเกี่ยวกับตัวนางไว้ นางใช่ลูกสาวลับ ๆ ของท่านหรือไม่’
เหนือภพตอบในใจ พร้อมยิ้มมุมปากน้อย ๆ แต่สายตาจับจ้องรอคอยการจับผิด
องค์เจ้าแคว้นแสดงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ถือสา
‘เจ้า อย่าได้เหลวไหล’
‘ฮ่า ฮ่า ข้าก็แค่ล้อเล่น ท่านไม่ต้องกังวล หากนางไม่ทำเรื่องผิดต่อข้า ข้ารับปากว่าจะไม่มีสิ่งใดทำร้ายนางได้ และตราบใดที่นางยังเป็นภรรยาของข้า ข้าก็จะปกป้องนางอย่างสุดความสามารถ’
‘งั้นก็ดี’
องค์เจ้าแคว้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเสด็จถอยหลัง ให้องค์ราชินีเข้ามาอวยพรต่อ
“น้ำทองจำคำป้าไว้นะ หากวันไหนที่ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน โกรธกัน ให้นึกถึงวันนี้เข้าใจไหม คนเรากว่าจะมีโอกาสได้พบกัน ได้แต่งงานเคียงคู่กัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ควรทะนุถนอมช่วงวันเวลานี้ให้ดี ผิดถูกก็ให้อภัยกัน อุปสรรคที่จะเข้ามาในวันข้างหน้าคือบททดสอบความรักของพวกเจ้า”
องค์ราชินีจับมือขวาของเหนือภพมากุมจับมือซ้ายเล็ก ๆ ของบุษย์น้ำทองไว้
“จำไว้ ต้องจับมือกันไว้ให้แน่น ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและผ่านพ้นมันให้ได้ อุปสรรคที่เข้ามาจะเติมให้ความผูกพันแข็งแกร่งขึ้นเข้าใจหรือไม่”
“หึ ทำไมข้าต้องจับมือเจ้าตัวเลวร้ายนี่กัน”
บุษย์น้ำทองไม่พูดเปล่า แต่ยังชักมือที่อยู่ใต้มือของเหนือภพออก
“น้ำทองเจ้านี่ เจ้าโตแล้ว ออกเรือนแล้ว อย่าทำเป็นเล่นแบบนี้อีกรู้ไหม ต่อไปอย่าดื้อกับสามี แล้วรีบมีหลานให้ป้าอุ้มรู้ไหม นี่ถึงจะเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ดี”
“ฮึ ใครจะมีกันเพคะ หากข้ามีลูกกับเจ้าตัวเลวร้ายนี่ ข้าขอไปมีลูกกับหมู่กับหมาเสียดีกว่า”
พอพูดจบ เจ้าสาวหมาด ๆ ก็ทำจมูกย่นเลียนแบบหมู อู๊ด อู๊ด
เหนือภพหลุดหัวเราะออกมา เมื่อเห็นบุคลิกที่แก่นแก้วปากร้ายของบุษย์น้ำทอง จะว่าไปนางก็ดูน่ารักไร้พิษสงดีเหมือนกัน
“ทำไม เจ้าหัวเราะอะไร หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า เจ้าคงรู้ดีสินะ หึหึ”
บุษย์น้ำทองไม่พูดเปล่า แต่เธอยังแอ่นตัวเพื่อให้เหนือภพมองเห็นลวดลายตั๊กแตนปักด้วยดิ้นเงินทองบนอาภรณ์สีดำ พลางทำหน้าทำตาท้าทาย
‘วงจรชีวิตตั๊กแตนงั้นเหรอ ไม่ทันไรนางก็คิดจะกินเจ้าเสียแล้ว ช่างเร่าร้อนเสียจริง ภรรยาที่ดีแบบนี้เจ้าจะหาจากที่ไหนได้กัน’
เมทินีพูดอย่างประชดประชัน
‘ขืนกินนาง ข้าได้ตายกันพอดี เจตนาฆ่าข้าแบบนี้เป็นภรรยาดีตรงไหนกัน ข้าว่าเจ้าต้องประสาทกลับไปแล้วแน่ ๆ’
เมทินีหัวเราะคิกคักให้กับความคิดของเหนือภพ
ด้านนอก พระอาจารย์สิริจันโทได้ทำสิ่งที่ควรทำอย่างเต็มความสามารถ พระอาจารย์ได้ทำการเคลื่อนไหวบาตรศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มขังเตชินท์ ออกจากพระราชวังสู่ชายแดนอย่างรวดเร็ว
บาตรศักดิ์สิทธิ์สีทองลอยละลิ่วออกไป ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโวยวายของเตชินท์ที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม
ณ นาวาปราณทมิฬ
เตชทัตขมวดคิ้วขณะมองไปเมืองอมตะ
‘มีคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์กำลังพุ่งมาทางนี้’
เสียงของเหล่ายามรักษาการณ์บนเรือ ส่งตรงมาสู่ความคิดของเตชทัตโดยตรง
‘สี่สิบแปด สี่สิบเจ็ด สี่สิบหก ออกไปกำจัดมันให้ข้า’
เมื่อเตชทัตออกคำสั่งผ่านทางจิต ชายร่างใหญ่นามสี่สิบแปดก็หยิบขวานสะพายขึ้นหลังทันที ขณะที่สี่สิบเจ็ดผู้ใช้ทวนยาวตอบรับเพียงสั้น ๆ ว่า ‘ได้’ ขณะพลิ้วกายออกมาจากป่าไผ่จำลองภายในห้อง สุดท้ายสี่สิบหก สตรีอาภรณ์ม่วงปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากากอสูรที่กำลังสะบัดแส้โจมตีหุ่นไม้ฝึกซ้อม ก็วางมือพริ้วกายออกมาจากห้องฝึก
แล้วทั้งสามก็มุ่งหน้าไปทางหัวเรือ ก่อเกิดเส้นแสงสีดำสามเส้น ก่อนจะตั้งท่าพร้อมโจมตีเมื่อได้เห็นปราณสีทองรูปบาตรพระขนาดใหญ่ พุ่งมาทิศทางนี้
“รนหาที่ตาย !”
สี่สิบแปดดึงขวานยักษ์ที่สะพายอยู่บนหลัง ผนึกปราณมารจนคมขวานเอ่อล้นไปด้วยปราณมารหนาแน่น จากนั้นฟันออกไปราวกับผ่าฟืนท่อนหนึ่ง
คลื่นมารจันทร์เสี้ยวพุ่งกระทบกับบาตรทองคำ ส่งเสียงกังวาน ไอมารสลายไปจนสิ้น ท่ามกลางความตกใจของสี่สิบแปด สี่สิบเจ็ดและสี่สิบหก ไม่เว้นแม้แต่เตชทัต ผู้นำหน่วยสี่ขุนพลมารที่จับจ้องเหตุการณ์อยู่ภายในเรือ
เตชินท์ที่อยู่ภายในบาตรศักดิ์กัดฟันกรอด เปล่งพลังปราณมารหวังทำลายจากภายใน
“ย๊ากกก”
คลื่นมารราชาที่เตชินท์ปลดปล่อยออกมา ทำให้บาตรศักดิ์สิทธิ์หม่นหมองลงชั่วขณะ และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เตชทัตเห็นใบหน้าของผู้ที่ถูกกักขังในบาตรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน มันคือใบหน้าที่ถอดพิมพ์มาจากเขาโดยไม่มีผิดเพี้ยน
“เตชินท์ ลูกพ่อ”
‘สี่สิบแปด สี่สิบเจ็ด สี่สิบหก หยุดมือ ! นั่นลูกข้า’
‘ลูกงั้นเหรอ’
ทั้งสามงุนงง แต่พอจ้องมองเข้าไปยังด้านในบาตรศักดิ์สิทธิ์ให้ดี ๆ ก็พบว่าเหมือนมีหัวหน้าพวกเขาอยู่ภายในอีกคน ใบหน้าที่ถอดพิมพ์ออกมาแบบนั้นยากที่จะปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่พ่อลูกกัน