ตอนที่แล้วตอนที่ 263 พระอาจารย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 265 เคลื่อนไหว

ตอนที่ 264 นาวาปราณ


“หา” เหนือภพอ้าปากค้าง ก่อนจะพูดเสียงสั่น

“ดะ เดี๋ยวนะอาจารย์ จะเป็นไปได้ยังไง”

“เรื่องของเนื้อคู่ เป็นอะไรที่ซับซ้อน แม้แต่อาจารย์ก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่เมื่อเนื้อคู่มาแล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดหลีกหนีเลย”

“ศิษย์น้องฟังอาจารย์เถอะ อ่ะ อ้วกก”

เหนือภพตรงไปช่วยลูบหลังศิษย์พี่ ที่กำลังเมา จากการเดินทางแบบไร้ระยะของพระอาจารย์

“อาจารย์ หมายความว่าท่านจะมาร่วมพิธีของศิษย์หรือ”

พระอาจารย์พยักหน้า

“เพื่อที่จะให้งานแต่งของเจ้าราบรื่น อาจารย์ต้องมา นี่คือจุดเปลี่ยนชีวิตของเจ้า”

“หมายความว่าพรุ่งนี้ศิษย์อาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิตสินะ”

พระอาจารย์สิริไม่ตอบ เพียงหาที่เหมาะ ๆ ในสวนพฤกษาในเขตเรือนไพศาล เรือนพระราชทานของเหนือภพ จากนั้นพระอาจารย์ก็หลับตาเข้าฌานสมาธิ

แม้อาจารย์ไม่พูด แต่เหนือภพก็เข้าใจ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขารู้สึกกังวลมากที่สุดในชีวิต ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่เมทินีพูดเป็นความจริง

‘นางไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้น แต่ยังเป็นจุดจบชีวิตของเจ้า’

ข่าวการเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวในงานแต่งงานขององค์หญิงแห่งเมืองอมตะ และตัดสินโทษประหารชีวิตขององค์ชายเตชินท์ สร้างความไม่พอใจแก่เมืองอนันต์อย่างมาก ที่จู่ ๆ ก็ได้รับข้อหากบฏ

แม้จะดึกดื่นค่ำคืน พวกเขาก็ต่างมาประชุมเพื่อหาทางออก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ล่มสลายของราชวงศ์เมืองอนันต์

“หึ  คิดจะกำจัดข้าประมุข ยกทัพมาก็สิ้นเรื่อง  ไม่เห็นต้องใช้อุบายให้มากความ บัดซบนัก”

องค์ประมุขแห่งเมืองอนันต์กัดฟันกรอด ขณะบีบกระดาษอาคมภายในมือจนยับยู่ยี่ แล้วเขวี้ยงระบายอารมณ์ ท่ามกลางสีหน้าตกใจของเหล่าขุนนาง ที่ต่างทราบเรื่องก็นั่งไม่ติดที่

“องค์ประมุข ข้าเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะมีแผนร้ายมาตั้งแต่ต้น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีก็แค่ข้ออ้าง ที่จะให้องค์ชายของเราไปติดกับเมืองอมตะตั้งแต่ต้น  ใครก็รู้ว่าองค์เจ้าแคว้นชัยอมเรศวร มีความคิดอยากรวบเมืองทั้งหมดภายในแคว้นตก มาอยู่ใต้อำนาจของเขาอย่างเบ็ดเสร็จ”

แววตาขององค์ประมุขแห่งเมืองอนันต์ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่เขาคงมาดเยือกเย็น ก่อนหวนคิดถึงคำทำนายจากเทพพยากรณ์ ท่านทองปาน ที่เคยทำนายให้เขาเมื่อต้นปี ในงานประมูลเมืองนิรันดร์กาล มาวันนี้เขาถึงได้เข้าใจ

‘รากฐานเดิมจะถูกล้มล้าง รากฐานใหม่จะขึ้นแทนที่ เมืองอนันต์ต้องผ่านคราวเคราะห์หนัก หากผ่านพ้นได้ก็จะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน’

หายนะที่ต้องเผชิญมาถึงเร็วเพียงนี้เลยหรือ ยังดีที่มีเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

“องค์ประมุข ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ”

“อะไร”

“บนฟ้า ! ด้านบนฟ้ามีเงาสัตว์ยักษ์กำลังบินมาทางวังหลวงขอรับ”

“ว่าไงนะ !”

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเสียงของขันทีรายงานก็ต่างฮือฮาเสียงดัง พากันออกมานอกท้องพระโรง เพื่อมองให้เห็นชัด ๆ ว่าสัตว์ยักษ์ที่ว่าคืออะไร

ภายใต้ท้องฟ้าสีหมึก มีแสงเพียงจากดวงจันทร์สลัว แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้องค์ประมุขแห่งเมืองอนันต์เบิกตากว้าง ด้วยระดับปราณอาคมที่สูงส่ง สายตาขององค์ประมุขย่อมเห็นได้ไกล จึงทำให้รู้ว่าเงาที่ว่าไม่ใช่สัตว์ยักษ์แต่อย่างใด แต่นั่นคือนาวาปราณ

นาวาปราณคือเรือยักษ์ขนาดใหญ่ที่ใช้เดินทางข้ามทวีป คนส่วนใหญ่ในแคว้นอมตะไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นมากนัก ตระกูลที่มีนาวาปราณมีเพียงแค่สองตระกูลเท่านั้น คือตระกูลครุฑ กับตระกูลนาคราช

ทว่าหากเทียบนาวาปราณที่ทั้งสองตระกูลมี กับนาวาปราณที่เขาเห็นเบื้องหน้า มันก็เหมือนกับการนำเนินเขาไปเทียบกับเทือกเขา

นาวาปราณลำใหญ่ลำนี้มีสีดำ เพียงแค่ขนาดของมันก็ใหญ่พอ ๆ กับเมืองอนันต์ทั้งเมือง เพียงเคลื่อนที่ผ่านก็บดบังแสงจันทร์เต็มดวงจนมืดมิด เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังของเรือเหาะลำนี้ ต้องมีผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะรู้จัก และผู้มีอำนาจมากขนาดนั้นจะมาที่เมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองอนันต์ของเขาเพื่ออะไร

“ในที่สุดก็มา”

สนมเอกกัษษานีเงยหน้ามองฟ้า ผ่านหน้าต่างตำหนักของนาง นางคือมารดาของเตชินท์ หากลูกชายได้รับภัยมีหรือผู้เป็นแม่อย่างนางจะทนรอ

ทันทีที่นาวาปราณสีดำเคลื่อนที่มาหยุดอยู่เหนือเมืองอนันต์ กัษษานีก็พลิ้วกายหายไปจากตำหนัก ก่อนจะมาปรากฏกายบนนาวาปราณที่มีคนรอรับอยู่

“ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”

กัษษานีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาชายตรงหน้า เขาคือชายวัยกลางคนหน้าหวานเส้นผมสีแดงดำเหลือบชมพู คล้ายกับว่านี่คือต้นแบบใบหน้าของเตชินท์

ชายวัยกลางคนโผเข้ากอดกัษษานี

“กัษษา เจ้าเป็นยังไงบ้าง”

“ข้าไม่เป็นไร แต่ลูกของเรา”

“เตชินท์ เขาเป็นอะไร”

กัษษานีได้ทีจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เตชทัต พ่อที่แท้จริงของเตชินท์ฟัง เมื่อเตชทัตได้ยินเช่นนั้นก็เดือดดาล เขาปลดปล่อยกลิ่นอายพลังปราณอาคมขอบเขตปราณเหนือฟ้า ออกมาอย่างไม่ปิดบัง

กลิ่นอายอันทรงพลังนี้ถึงกับทำให้ชาวเมืองอนันต์สั่นสะท้าน บ้างก็สิ้นสติ เลือดไหลออกจากตา จมูก ปาก

“เป็นแค่แมลง บังอาจมายุ่งกับลูกชายข้า กัษษา พาข้าไป ข้าจะทำให้พวกมันรู้ว่า พวกมันได้ทำเรื่องผิดมหันต์ โทษทัณฑ์ของมันคือต้องหายไปจากทวีปนี้”

“ท่านพี่ แล้วเขาล่ะ”

เตชทัตรู้ดีว่ากัษษานีหมายถึงใคร นั่นก็คือองค์ประมุขเมืองอนันต์

“เจ้าเตชัสรึ เมื่อก่อนมันอาศัยอำนาจและพลังที่เหนือกว่าข่มเหงข้า ขับไล่ข้าไป แล้วแย่งชิงเจ้า ยี่สิบปีแล้วสินะ ถึงเวลาที่ข้าจะให้มันชดใช้คืน”

แววตาของเตชทัตเต็มไปด้วยความแค้น

“แต่...”

“เจ้าไม่ต้องกังวล ยังไงมันก็เป็นพี่ชายของข้า ข้าไม่ฆ่ามันหรอก มันก็ทำหน้าที่เป็นพ่อแทนข้ามาหลายปี ข้าจะไม่ทำให้มันลำบากใจเกินไปนัก ขอเพียงเจ้าอยู่กับข้า ข้าก็พอใจแล้ว และตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่มีใครกล้าแยกพวกเราจากกันอีก”

แววตาของเตชทัตเต็มไปด้วยความหวานซึ้ง ความรักความห่วงใยที่มีให้กันไม่เคยเปลี่ยน ต่อให้คนรักต้องตกเป็นเมียของผู้อื่น เขาก็ไม่เคยสนใจ

กัษษานียิ้มทั้งน้ำตา ความรู้สึกที่ต้องแยกจากคนรักมานานแสนนาน มันเป็นความทรมาน ทว่าพอได้พบกัน ความเจ็บปวดในอดีตก็คล้ายจะมลายหายไป

นาวาปราณทมิฬหยุดจอดอยู่เหนือเมืองอนันต์เพียงชั่วครู่ จากนั้นมันก็เคลื่อนตัวจากไป เพียงพริบตามันก็หายไปจากน่านฟ้าเมืองอนันต์

เหล่าชาวบ้านและขุนนางต่างปลดเปลื้องความรู้สึกภายในใจ ยกเว้นเพียงองค์ประมุขเมืองอนันต์ที่มีสีหน้าเจ็บปวดอยู่เพียงผู้เดียว การได้รับรู้ความจริงว่าตัวเองถูกสวมเขามาทั้งชีวิต ช่างเจ็บแสบนัก ลูกชายที่คิดว่าเป็นทายาทคนสุดท้าย แต่กลับไม่ใช่เสียแล้ว

ณ คุกหลวง

ในเวลานี้เตชินท์มีแต่ความสิ้นหวัง แววตาท้อแท้หมดกำลังใจที่จะมีชีวิต ทั่วร่างถูกตอกตรึงด้วยเหล็กไหลเพื่อสะกดพลังปราณอาคม

“นั่นใคร”

“อ๊าก”

เสียงการต่อสู้ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องของเหล่าทหารยามที่ถูกฆ่าตายดุจใบไม้ร่วง ไม่นานกรงขังที่จองจำเตชินท์อยู่ก็ถูกพลังปราณบางอย่าง ระเบิดจากด้านนอกจนโซ่ขาด

เตชินท์เงยหน้าขึ้น พลางหรี่ตามองท่ามกลางความมืด

“สวาหะ เจ้ายังไม่ตายหรือนี่”

ในเวลานี้สวาหะมีใบหน้าซีดเซียว แขนขวาขาดหาย ตามตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล

“เจ้าจะตายไม่ได้ ข้ามาช่วยเจ้า”

“เจ้าไปเถอะ”  เตชินท์ท้อแท้กับการมีชีวิตเสียแล้ว

“เจ้าจะให้เหนือภพทำสำเร็จงั้นเหรอ เมื่อไหร่ที่มันได้แต่งงานกับบุษย์น้ำทอง คนรักของเจ้า มันคงทรมานนางทุกวี่วันเพื่อแก้แค้นเจ้า เจ้าทนได้งั้นเหรอ นางต้องถูกมันย่ำยีวันแล้ววันเล่า สุดท้ายก็ต้องตายไป”

แววตาของเตชินท์พลันแข็งกร้าว

สิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวจิตใจเขาไว้ได้ ก็มีเพียงแค่ชื่อเดียว ‘บุษย์น้ำทอง’ เมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง ความกระหายอยากมีชีวิตอยู่ของเขาก็ตื่นขึ้นมา

“เหนือภพ” เตชินท์กัดฟันกรอด ด้วยความเดือดดาล

สวาหะรีบตัดโซ่ตรวน และถอนเหล็กไหลภายในตัวของเตชินท์ออกจนหมด ก่อนร่างสวาหะจะทรุดล้มลงไปกับพื้น

“เจ้าเป็นอะไร ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

เตชินท์ค่อย ๆ ประคองสวาหะให้ลุกขึ้น แต่สวาหะกลับทิ้งน้ำหนักตัวลง ใช้มืออันไร้เรี่ยวแรงผลักเตชินท์ออก

“ข้าไม่ไหวแล้ว เจ้ารีบไป”

“ไม่ ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ไม่ได้”

สวาหะล้วงเข้าไปในอกเสื้อ คว้าขวดกระเบื้องสีนิลออกมา แล้วยื่นให้เตชินท์

“มีเพียงใช้สิ่งนี้ เจ้าจะได้สิ่งที่ต้องการ”

“มันคืออะไร” เตชินท์ค่อนข้างระแวงเป็นพิเศษ

“ไอมารราชาจากเจ้าลัทธิ แตกต่างจากไอมารที่เจ้าได้รับจากผู้ปกครอง มันแข็งแกร่งกว่าหลายร้อยเท่า มันจะช่วยให้เจ้าคืนพลังที่หายไป ทั้งยังทำให้พลังเหนือกว่าเดิม”

“ไม่”

เพราะถูกใส่ร้ายว่าตัวเองฝึกไอมาร จึงทำให้เตชินท์ฝังใจ หากไม่เป็นเพราะไอมาร เขาก็ไม่มีทางหลงกลแผนการชั่วของเหนือภพ

“เจ้าใช้มันเองเถอะ หากเจ้าใช้มัน เจ้าจะรอด”

ทว่าสวาหะส่ายหน้า แววตาค่อย ๆ ไร้ประกายแห่งชีวิตไปทุกที

“ไม่ได้ผลกับข้าอีกแล้ว แก่นพลังปราณของข้าเสียหายยากจะฟื้นฟู หากข้าใช้มัน ก็มีแต่เสียของเปล่า ข้ารู้ว่าเจ้ามีอคติกับไอมาร แต่เจ้าควรรู้ไว้ ไอมารไม่ผิด มันไม่ได้ดีหรือเลว มันก็แค่พลังที่ทำให้เจ้าแข็งแกร่ง หากเจ้าใช้มันทำดี มันก็เป็นพลังที่ดี แต่หากเจ้าใช้มันทำชั่ว มันก็เป็นพลังที่ชั่ว”

แววตาของเตชินท์สั่นไหว เหนือภพมันก็ใช้ไอมารเพิ่มพลังตัวเอง ไฉนคนถึงยังมองว่ามันดี  ใช่แล้ว หากเราแข็งแกร่งขึ้น ดีหรือชั่วล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งกว่ากำหนดทั้งสิ้น

เตชินท์รับขวดกระเบื้องสีนิล แววตาเต็มไปด้วยความแค้นใจ ขณะที่สวาหะอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

“เข้ามาใกล้ ๆ ข้าจะถ่ายทอดไอมารที่ข้าฝึกมายี่สิบปีให้กับเจ้า รวมกับไอมารของเจ้าลัทธิ เหนือภพจะไม่ใช่คู่ต่อกรของเจ้าอีกต่อไป”

“เจ้าช่วยข้ามากถึงเพียงนี้ ข้าควรจะตอบแทนเจ้าเช่นไร”

เตชินท์มองสวาหะแปลกไป เขาไม่คิดว่าสวาหะจะดีกับเขาถึงเพียงนี้

สวาหะยิ้มขอบคุณ ขณะล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ

“จดหมายฉบับนี้... ได้โปรดส่งมันให้ถึงมือธิดามาร มันเป็นคำสั่งเสียของพี่ใหญ่ข้า ได้โปรด… ส่งมันให้ถึงมือนาง”

สวาหะพูดอย่างเหนื่อยล้า แต่ก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ เขาเร่งรวบรวมปราณมารทั่วร่างไว้ที่ฝ่ามือขวา แล้วดันฝ่ามือไปด้านหน้า กระแสปราณมารสีหมึกหลั่งไหลเข้าหาร่างของเตชินท์ที่เปิดใจรับ

ใบหน้าของเตชินท์เวลานี้เต็มไปด้วยความเศร้า ทันทีที่ปราณมารไหลออกจากร่างของสวาหะจนหมด ร่างที่นั่งตรงของสวาหะก็หงายหลังล้มลง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตายังคงเปิดกว้าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด