ตอนที่ 27 : เลือกปฎิบัติ
เขาเปิดเว็บบอร์ดขึ้นหลังจากกลับมาบ้าน อย่างที่คิดไว้ชื่อของเขาถูกกล่าวถึงในหลากหลายกระทู้
ในกระทู้ การระเบิดตัวเองของบอลเพลิงนรก ก็มีผู้ตอบกลับมาแล้วกว่าสี่พันครั้ง
ไม่ใช่แค่นักเวทย์และพ่อมด ผู้เล่นทั้งหมดของเกมนี้ต่างเข้ามาร่วมด้วย การประกาศจากเว็บไซค์ทำให้โรแลนด์กลายเป็นจุดสนใจ
โดยพวกเขาส่วนมากพูดเกี่ยวกับว่าโรแลนด์นั้นเป็นใครกันแน่
จากที่ประกาศได้บอกไว้ ความสามารถภายในเกมนั้นส่วนหนึ่งมาจากความสามรถในชีวิตจริง ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถรวบรวมพลังเวทย์ไว้ในบอลเพลิงได้
นักเวทย์หลายคนต่างบอกว่าพวกเขาสามารถใช้ได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของพลังเวทย์ในเวทย์บทหนึ่ง ถ้าพวกเขาใช้มันมากกว่านี้ หัวของพวกเขาก็จะระเบิดออก
ดังนั้นพวกเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าพรสวรรค์แบบไหนในชีวิตของโรแลนด์กันที่ทำให้เขาสามารถมีความสามารถแบบนี้ในเกมได้
มีคนวิเคราะห์อย่างมากมาย ทว่ากลับมีกระทู้หนึ่งที่สะดุดตาโรแลนด์เป็นพิเศษ
โรแลนด์คลิ๊กเข้าไปยังกระทู้นั้น และพบว่ามันเป็นวีดีโอ
ในวีดีโอนั้นมีนักรบถือดาบมือเดียวกำลังต่อสู้กับเหล่าก็อบลินด้วยฝีเท้าที่คาดเดาไม่ได้และน่าประทับใจ
เหล่าก็อบลินต่างตายลงโดยไม่มีอะไรกระเด็นมาโดนชุดของเขาเลยด้วยซ้ำ
จากที่ผู้โพสต์วีดีโอเล่ามาคือ เขานั้นฝึกฝนดาบมาตั้งแต่ยังเด็กและสามารถชนะชายสองคนได้ด้วยแท่งไม้ในชีวิตจริง ในเกมนั้นไม่มี NPC ในเลเวลเดียวกันสามารถเป็นคู่มือให้เขาได้ เมื่อเขาสามารถทำแบบนี้ได้ แสดงว่าคนอื่นๆที่มีพรสวรรค์ต่างก็สามารถทำสิ่งที่คล้ายๆกันได้ เพราะอย่างนั้นการที่โรแลนด์สามารถรวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมดลงในเวทย์บทเดียวได้ ก็เพราะเขาอาจจะมีพรสวรรค์เช่นเดียวกัน
โดยส่วนตัวเขาคิดว่าโรแลนด์น่าจะเป็นหมอผี
อย่างแรกคือ หมอผีนั้นเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ในชีวิตจริง พวกเขาทั้งร่ายเวทย์ , เต้นรำ และใช้เทคนิคมายากล หากมีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้เป็นหมอผี
การคาดเดาของเขาได้รับการยอมรับจากกลุ่มชาวเน็ตโดยส่วนมาก
หลังจากนั้นการตอบกลับของกระทู้นี้ทั้งหมดต่างเหมือนกันหมด
“ขอทำความเคารพ ท่านโรแลนด์หมอผีผู้ยิ่งใหญ่”
“ขอทำความเคารพ ท่านโรแลนด์หมอผีผู้ยิ่งใหญ่”
โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา เมื่อเห็นการตอบกลับพวกนี้
พวกนั้นคิดกันอย่างจริงจังว่าฉันคือหมอผี....คนพวกนั้นน่ากวนใจจริงๆ!”
ขณะที่โรแลนด์กำลังงงกับมันอยู่ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“เจอกันที่เดิม ขาดนายแค่คนเดียวแล้ว”
เขาจำเสียงนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเบอร์ด้วยซ้ำ
เมื่อโรแลนด์มาถึงยังห้องแพนด้าในบาร์ เขาเห็นคนในห้องหกคนกำลังพูดคุยกันอยู่”
พวกเขาทักทายเขาอย่างเรียบง่ายเมื่อเขาเดินเข้ามา โรแลนด์พบที่นั่งว่างแล้วจึงนั่งลง
หลังจากเขานั่ง ชัคก็พูดออกมาว่า “เอาล่ะหยุดคุยกันก่อน มีเรื่องสำคัญที่ฉันอยากจะพูด”
จากนั้น เขาก็วางรูปที่ปริ้นออกมาไว้บนโต๊ะ
“7 จุดที่มาร์คไว้บนแผนที่นั่งคือจุดเกิดของพวกเราทั้งหมด” ชัคถอนหายใจและพูดว่า “แผนที่นี้มีสัดส่วน 1:50000 ระยะห่างของพวกเราทั้งเจ๊ดคนไกลจนน่ากลัวเลยหละ”
พวกเขาทั้งหมดมองไปยังแผนที่และขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงขนาดของแผนที่
“อาจจะใช้เวลาชั่วชีวิตเลยก็ได้กว่าพวกเราจะรวมตัวกันได้” ฮัสเซอเรตคนที่ผอมที่สุดในกลุ่มกล่าวออกมา “นอกจากนี้เกมนี้แม้งโคตรลำเอียงกับโจรเลย ฉันถูกจับเข้าคุกไปสามครั้งแล้วเนี่ย แม้งเอ้ย พวกยามจับฉันทุกครั้งที่พวกเขาเห็นฉันแม้ว่าฉันยังไม่ทันได้ขโมยอะไรเลย ทำไมพวกนั้นถึงเกลียดฉันขนาดนั้นกัน?”
ทุกคนต่างหัวเราะกับคำบ่นของฮัสเซอเรต
ด้วยบุคลิกของเขา ทำให้เขาชอบเล่นอาชีพจำพวกลอบจู่โจมในหลายๆเกม และเขาก็ทำได้ค่อนข้างดีเสียด้วย
เกมส่วนใหญ่ เมื่อโจรถูกจับได้ว่ากำลังขโมยของอยู่ พวกเขาสามารถหนีจากความวุ่นวายได้ด้วยการซ่อนตัวในเงามืด
ทว่ามันกลับไม่ได้ผลในโลกของฟาลัน เหล่า NPC ล้วนจำได้ว่าใครเป็นคนใครขโมยของพวกเขาเหมือนกับในชีวิตจริง
ราฟเฟลดับบุหรี่ของเขาก่อนพูดว่า “มันก็เดือนนึงแล้ว พวกเราพอจะเข้าใจบทสนทนาประจำวันได้แล้วตอนนี้ ทว่าปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเราไม่มีแหล่งข้อมูล พวกขุนนางในเมืองต่างรังเกียจและคอยกลั่นแกล้นพวกเรา”
ลี่หลิน , ฮัสเซอเรต และบราซิล ต่างพูดซ้ำออกมาพร้อมกัน พวกเขาโดนรังแกโดยเหล่าขุนนางเป็นประจำตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา
“จริงเหรอ?” โรแลนด์พูดออกมาด้วยท่าทีที่อึ้งเล็กน้อย “นายกของเมืองเรดเมาน์เทนก็เป็นขุนนางเหมือนกัน แต่เขาก็ทักทายฉันทุกครั้งที่เขาพบฉัน”
ชัคก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน “ขุนนางที่ฉันเจอส่วนมากก็สุภาพเช่นเดียวกัน”
ทุกคนหันไปมองยังเบทต้าที่กำลังแทะแตงโมอยู่
เบทต้าคายเม็ดออกมาพูดว่า “ในเกมผมเป็นขุนนาง ผมสามารถเข้าพบขุนนางได้หมดตราบใดที่ผมแต่งตัวเป็นทางการ
อ่า....ดูเหมือนจะมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน
บราซิลยิ้มอย่างขมขื่น “นี่มันไม่แฟร์เลย ทำไมพวกนายถึงสามารถเป็นจุดสนใจได้ตั้งแต่ต้นเกมกัน?”
โรแลนด์ก็คิดว่ามันแปลกเช่นกัน นี่พวกเขาทำอะไรไปรึเปล่า?
โรแลนด์หันไปมองชัคและเบทต้า จากนั้นเขาก็เข้าใจบางอย่างและตบมือออกมา “ฉันว่าฉันรู้แล้วหวะ”
“คายมันออกมาซะ” ลี่หลินพูด เขายังคงใจร้อนเหมือนดั่งเคย “อย่ายึกยักที่จะพูด”
โรแลนด์ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ผู้ใช้เวทย์แท้ๆ”
หลังจากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ชัค “คนของศาสนาที่สามารถใช้เวทย์ได้”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เบทต้า “ขุนนางและผู้ใช้เวทย์”
เขาชี้ไปที่ฮัสเซอเรตพร้อมยิ้มออกมา “หัวขโมย”
และชี้ไปยังลี่หลิน “คนเถื่อนขี้โมโห”
และชี้ไปยังราฟเฟิล “คนเถื่อนที่ใช้โล่”
สุดท้ายเขาก็ชี้ไปยังบราซิลพร้อมหัวเราะออกมา “คนเถื่อนที่ยิงนกด้วยธนู”
พวกเขาทั้งสี่คนเป็นผู้เล่นสายกายภาพทั้งหมด หลังจากอึ้งไปสักพักพวกเขาก็ต่างก่นด่าออกมา “เชี่ยไรเนี่ย!”
โลกของฟาลันนั้นมีการตั้งค่าสังคมไว้ในช่วงยุคกลาง ในยุคที่ไม่มีอารยธรรมใดๆและมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมน้อยมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่านักเวทย์จะถูกมองว่าเป็นผู้มีความรู้
สำหรับพวกที่เล่นสายกายภาพอย่างลี่หลิน.....ทำไมพวกเขาจะไม่โดนทำตัวหยาบคายใส่ละ ก็ในเมื่อพวกเขายังไม่แม้แต่จะเข้าใจสิ่งที่ชาวบ้านพูดด้วยซ้ำ?”
ถึงแม้ว่าพวกคนชั้นล่างจะไม่กล้าแสดงท่าทีออกมา แต่กับเหล่าขุนนางล่ะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะยอมเสวนากับพวกสายกายภาพ
เมื่อคิดได้แบบนั้น ลี่หลินและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สามารถเศร้าไปได้กว่านี้อีกแล้ว