ตอนที่ 5 ความหิวที่กัดกิน
จางเสี่ยวเอาเงินทั้งหมดใส่ในกระเป๋า แล้วเดินออกจากบริษัททันที
ด้วยความทรงจำที่ได้มาจากเจ้าของร่างเดิมทั้งหมด ทำให้เธอพอรู้ทิศทาง และมองแผนที่ของเมืองออกบ้าง
ตอนนี้เธอตั้งใจที่จะไปสำรวจเมืองสักหน่อยดูว่า ‘โลกนี้’ มันคล้ายกับโลกเดิมที่เธอเพิ่งจากมาไหม?
เริ่มจากตรวจสอบนวัตกรรมเเละเทคโนโลยี จางเสี่ยวหันไปมองเสาไฟฟ้า ระบบสัญญาณไร้สาย และหน้าจออันใหญ่ที่อยู่กลางเมือง
นอกจากนี้เธอยังเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่มีใบพัดเล็กๆ บินฉวัดเฉวียนผ่านไปมา
ดูเหมือนว่ามันจะทันสมัยยิ่งกว่ายุคก่อนวันสิ้นโลกอีก
งั้นอย่างแรกเธอควรไปดู เทคโนโลยีที่น่าสนใจก่อนดีไหม
จางเสี่ยวแม้ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ แต่เธอเป็นคนที่ค่อนข้างสนใจในเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้คนได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เธอยิ่งชอบเป็นพิเศษ…อาทิ นาฬิกาคำนวณเลข หูฟังจิ๋วเเละ ปากกาทายข้อสอบ…
จำได้ว่าตอนที่สมัยฝึกวรยุทธใหม่ๆ กระดาษหรือหนังสือที่จดเคล็ดลับวิชาไว้มันค่อยๆเปลื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา
แต่ต้องขอบคุณเทคโนโลยีกล้องถ่ายรูปที่ยังพอใช้ได้อยู่ ดังนั้นเธอจึงถ่ายมันและเอาเก็บไว้ในเมมโมรี่ไว้ใช้ดูได้ตลอดเวลา เเม้ต้นฉบับมันจะกลายเป็นกระดาษที่ซีดจนไม่มีหมึกเหลือแล้วก็ตาม…เเต่เธอก็ยังใช้รูปถ่ายที่เก็บไว้สามารถเรียนต่อได้
แต่ติดขัดอยู่อย่างนึงคือ โลกยุควันสิ้นโลกนั้นไฟฟ้าเหลือน้อยมาก ให้เธอไม่ค่อยสะดวกที่จะเปิดเท่าไหร่
ดังนั้นแล้วโลกนี้..เธอคิดว่าไฟฟ้าน่าจะเพียงพอ ดังนั้นมันน่าจะมีอะไรที่น่าสนใจกว่ายุควันสิ้นโลกหรือยุคก่อนวันสิ้นโลกถูกไหม!?
ถ้าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้โกงข้อสอบ หรือ เเฮ็กชีวิตประจำวันได้ก็ประเสริฐไปเลย
จางเสี่ยวคิดอย่างสบายใจ…จากนั้นเธอก็ลองสุ่มเดินเข้าไปในห้องสมุดเเห่งการเรียนรู้….เพราะห้องสมุดนั้นน่าจะบันทึกเเละมีทุกอย่างที่สามารถเรียนรู้ได้เเบบฟรีๆ เหมาะสำหรับคนกระเป๋าเล็กอย่างเธอมากที่สุด
เเละก็เป็นอย่างที่คิด! ยุคนี้ล้ำกว่ายุคก่อนยุควันสิ้นโลกมาก รถยนต์เเละรถเครื่องปัจจุบันล้วนเเต่เปลี่ยนรูปร่างไปจนหมด เเละขับเคลื่อนด้วยพลังงานเเม่เหล็กใต้พิภพเเทน…เเม้เเต่เทคโนโลยีการตรวจสอบก็ดีขึ้นอย่างไม่มีที่ติ
จางเสี่ยวนั่งศึกษาเรื่องนี้จนเกือบเย็น…จากนั้นเธอถึงนึกได้ว่าควรจะรีบกินอาหารเย็นเเล้วกลับบ้านไปตั้งหลักก่อน เเล้วคิดหาลู่ทางมีชีวิตในโลกนี้อย่างมีความสุขเเละรวยทีหลัง
เมื่อพูดถึงอาหาร….ตั้งแต่อยู่ในยุคสิ้นโลก อาหารที่เธอกินได้นั้นเเล้วอร่อยแทบจะไม่มี ความทันสมัยและเทคโนโลยีของสมัยเก่าก่อนนั้นดูเหมือนถูกยุควันสิ้นโลกดูดหายไปหมด
แม้กระทั่งการผลิตเสื้อผ้ายังต้องใช้หนังวัวหนังควายเอามาทำกันเลย แล้วพวกเครื่องปรุงที่แสนอร่อยมันจะไปมีได้ยังไง
ยุควันสิ้นโลกเป็นยุคที่แม้แต่ทอดไข่ยังไม่อร่อย และเป็นยุคที่เกลือ ยิ่งกว่าชีวิตคน
แต่ก็เอาเถอะต่อให้คนอื่นอดตายหมดกันทั้งโลก แต่ด้วยยูนีคสกิลที่พระเจ้าประทานมาให้เธอ เธอสามารถเก็บดินหรือก้อนหินตามทางเอามากินแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานได้
เธอแสนจะเกลียดยูนิคสกิลของตัวเองอย่างมาก แต่พี่ชายของเธอนั้นชอบสกิลนี้เพราะมันทำให้เขาประหยัดเงินในการเลี้ยงน้องสาวเป็นอย่างมาก แม้วันไหนเขาจะล่าอะไรมาไม่ได้เลยก็ตาม น้องสาวสามารถเอาก้อนหินที่อยู่ข้างๆเตียงนอนมากินแก้หิวได้
และมันโคตรจะมีประโยชน์ ตอนที่จางหลิงพาจางเสี่ยวหนีย้ายทวีป พวกเขาสองพี่น้องอดอยาก เเต่ด้วยพลังของเธอ จางเสี่ยวสามารถเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นของกิน ถึงแม้มันจะเป็นของกินที่ไม่อร่อยก็ตาม
ความสามารถของของเธอนั้น นอกจากเปลี่ยนอาหารที่กินให้เป็นพลังงานและกลั่นออกมาให้ร่างกายดูดี…ในภายหลังได้แล้ว มันสามารถเปลี่ยนสิ่งของโดยรอบให้กลายเป็นอาหารได้ แต่ว่ามันก็ทำได้ไม่สมบูรณ์
เธอสามารถเปลี่ยนก้อนหิน 1 ก้อนให้กลายเป็น ข้าวหนึ่งก้อนได้แค่นั้นเอง แต่มันก็แลกมาด้วยพลังเกือบทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่ใช้บ่อยนัก…เพราะถ้าจวนตัวเเล้วใช้พลังหมดเธออาจจะถึงตาย
แต่พูดตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอไม่ได้อยู่ในยุควันสิ้นโลกแล้วและร่างนี้ก็เป็นร่างใหม่
เธอควรจะลืมอดีตสมัยยุควันสิ้นโลกไปซะให้หมด
จางเสี่ยวเดินไปถึงศูนย์อาหารที่อยู่ใกล้ๆกับบริษัท ศูนย์อาหารของเมือง B นั้นเป็นศูนย์อาหารเก่าแก่ มาเป็นร้อยปี ให้บรรยากาศโดยรอบเเบบเก่าแก่ เเต่อย่างน้อยร้านอาหารนั้นก็หรูจนคล้ายภัตตาคาร
จางเสี่ยวได้กลิ่นของไก่ทอดที่ลอยเอามาจากร้านนั้น เธอไม่ลังเลทันทีที่จะเดินเข้าไป
ทันทีที่จางเสี่ยวเข้าไปในร้านอาหาร พนักงานสาวก็รีบกล่าวคำต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับค่ะ รับอะไรดีคะ?”
ด้วยความที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าจำนวนมาก ปลุกความเป็นเสี่ยที่อยู่ในตัวให้ตื่นขึ้น…เเต่ประทานโทษ เธอไม่รู้เรื่องเมนู
“ขออาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เอาที่ดังๆนั่นเเหละ” จางเสี่ยวไม่รู้เมนู เลยพูดแบบนั้นไป เธอไม่รู้เลยเพราะคำนั้น จะทำให้เธอรู้ความจริงข้อหนึ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ในร่างกายตัวเอง
“การจริงๆหรอคะ อาหารจานนั้นน่ะ”
จางเสี่ยวได้ยินก็แปลกใจ ก่อนที่จะไอเบาๆกลบเกลื่อนบรรยากาศและตอบว่า
“ใช่ มาที่นี้ก็ต้องกินไอ้นั่นเท่านั้นแหละ” เพราะบรรยากาศของร้านนั้นดูเลิศหรู เธอไม่อยากทำตัวให้เป็นบ้านนอกเข้ากรุง
จะเอ่ยปากบอกว่าขอไก่ทอดจานนึงหรือไข่เจียวจานนึง แล้วร้านเขาไม่มี เธอจะหน้าแตกและ กินข้าวในร้านหรูๆไม่ได้อีกต่อไป…นั่นไม่เท่ากับเเผนการกินจบเห่หรอกเหรอ?
จางเสี่ยวนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็เอาช้อนและส้อมมาเคาะกัน เสียงก้องแก้งดังไปทั่วร้าน ลูกค้าคนอื่นหันมามองเธอด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม มีเด็กบางคนหัวเราะในปฏิกิริยาที่ไม่รู้มารยาทของเธอ
คนอื่นจะคิดยังไงจางเสี่ยวไม่รู้ แต่เธอเบื่อมาก พ่อครัวของร้านอาหารเลิศหรูทำไมถึงได้ทำกับข้าวช้านัก เธอไม่เข้าใจว่ายุคที่เธอมาอยู่ใหม่นี้ มันจะเหมือนกับยุคที่เธอจะมาไหม เเล้วร้านอาหารจะเหมือนเดิมหรือเปล่า?
เสียดาย เมื่อครู่นี้เธอไม่น่าไปแอบฟังพวกพนักงานไร้ค่าพวกนั้นพูดคุยกันเลย ทำให้การโอนย้ายข้อมูลนั้นเกือบจะไม่สำเร็จ
“ได้แล้วค่ะ” พนักงาน 4 คนถืออาหารจานใหญ่เดินเข้ามาจากนั้นก็วางลง
พวกเธอกล่าวพร้อมกันตามสโลแกนร้าน
“ขอให้นายท่านมีความสุขกับการกินค่ะ”
จากนั้นก็วางนาฬิกาที่จับเวลา 1 ชั่วโมงเอาไว้ ก่อนที่จะพูดว่า
“เชิญค่ะ เริ่มได้เลยค่ะ ถ้ากินไม่หมดภายในเวลา 1 ชั่วโมงจะมีการปรับเป็น 5 เท่าของราคาอาหารนะคะ”
จบเสียงของพนักงานสาวของร้าน จางเสี่ยวก็ตกตะลึง เธอจำได้ว่าเธอกำลังสั่งอาหารสักจาน แต่ทำไมถึงกลายเป็นการแข่งกินจุไปได้
เเต่ก็ช่าง! มีกินก็พอเเล้ว จางเสี่ยวจึงไม่รอช้า เธอโปรดปรานการกินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอเปิดฝาครอบออกมาทันทีและสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือ
แกงอะไรบางอย่างที่คล้ายกับแกงกะหรี่ มีหมูทอดวางโต๊ะ อยู่เต็มจาน
จานของมันนั้น แต่พอๆกับกะละมังซักผ้า ที่ขายตามร้าน 10 หยวน
จางเสี่ยวปรี่เข้าไปหยิบทัพพีของร้านขึ้นมาทันที ในจังหวะนั้นผู้คนในร้านได้มองมาด้วยสายตาที่แปลกใจ
นึกไม่ถึงว่าผู้ที่มาท้าแข่งกินกับทางร้านจะเป็นเพียงหญิงสาวที่ร่างกายผอมแห้ง และหน้าตาธรรมดา ดูผิวเผินเหมือนคนทั่วไปแต่ถ้ามาท้าแข่งกินกับทางร้านอย่างงี้
อย่างน้อยก็ควรจะมีตากล้องมาอัดวีดีโอเอาไปลง YouTube ไม่ใช่เหรอ หรือกล้องจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
จางเสี่ยวหารู้ไม่ว่า ทุกคนในร้านกำลังคิดอะไร เธอได้แต่มองอาหารตรงหน้าจากนั้นก็ปรี่เข้าไปสวาปามอย่างรวดเร็ว