ตอนที่ 10 ส่วนกลาง
จางเสี่ยวกลับเข้ามานั่งในห้องนอนให้หัวเย็น เธอรู้สึกปวดหัวมาก เรื่องหมายศาลและเรื่องลูกเธอจะทำยังไงกับมันดี
เงินเธอก็อยากได้แต่สำหรับลูกนั้น... มันค่อนข้างยากสักนิดหน่อย แต่เธอไม่ใช่คนใจดีที่จะเลี้ยงลูกให้ใคร
หรือเธอจะยอมจ่ายค่าปรับ 1 ล้านหยวนเพื่อให้ผู้ปกครองใหม่รับลูกชายราคาถูกของเธอไปเลี้ยงเอง
แต่มันก็ติดอยู่ที่ว่าเธอไม่มีเงิน
จางเสี่ยวนอนคิดอยู่บนเตียง เตียงนอนอันหนานุ่มของเธอนั้นทำมาจากเตียงยางพาราอย่างดี แม้จะนุ่มมากเเต่ก็ไม่นุ่มจนเกินไป นอนเเล้วรู้สึกสบายดี ดูจากเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้องเเล้ว เธอก็คิดว่าเจ้าของร่างเดิมน่าจะเป็นคนที่มีเงินในระดับหนึ่ง
พูดถึงเรื่องเงิน
ตั้งเเต่เเรกที่เธอตื่นขึ้นมาในร่างนี้ เธอได้ลองไปค้นหาวิธีหาเงินมากมายสารพัดชนิดจากในห้องสมุดแห่งการเรียนรู้.... วิธีหาเงินในโลกนี้มีมากมาย และมากกว่ายุคเดิมๆ อย่างเทียบไม่ติด
อาชีพบางอาชีพแปลกจนเหมือนไม่น่าจะมี
อะไรคือผู้ฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้
อะไรคือ นักปรับปรุงภูมิทัศน์
อะไรคือ มือปราบโซเชียล
ถึงจะแปลกแต่อาชีพพวกนี้ทำเงินได้อย่างดี และถ้าเธอได้งานแบบนั้น และมีเงินมากกว่านี้ เธอน่าจะหาเตียงนอนที่ดีกว่านี้มาเปลี่ยนได้
เธอไม่ได้อยากใช้ของเก่ามือสองเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะมันเป็นเตียงของคนที่เคยตายมาแล้ว
เธอไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่เป็นของคนตายอยู่ มันไม่ค่อยมงคล แต่ที่เธอยอมทนอยู่เพราะมันประหยัด
ก็อย่างที่คิดเธอมีเงินอยู่ในซองทั้งหมดหลักหมื่นหยวนกว่าหรือเท่าไหร่ก็ไม่รู้กันแน่ เพราะเธอยังไม่ได้นับอย่างละเอียด
จะเอาเป็นว่าน่าจะพอมีเยอะอยู่ ดังนั้นแล้ว... ในขณะที่คิดสายตาก็เหลือบไปมองหมายศาลที่ยับยู่ยี่และกองอยู่ปลายเท้า
ค่าปรับ 1 ล้าน
ได้ยินแล้วก็ปวดหัว... เงินหลักหมื่นของเธอไม่สามารถจ่ายค่าปรับ 1 ล้านได้แน่นอน คิดเลขแบบนี้ได้แล้วก็เซ็งจางเสี่ยวถอนหายใจยืดยาวออกมา
ถ้าตัดเรื่องค่าปรับออกไป เธอก็ยังมีค่าครองชีพที่ต้องจัดการอยู่
ไม่ว่าโลกไหนเงินทองก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ไม่อย่างนั้นในยุควันสิ้นโลกเธอคงไม่ถอดออกไปล่าสัตว์ล่าซอมบี้ล่าพวกปีศาจ การออกมาแลกอาหารหรอก
แถวนี้ยิ่งเป็นยุคแห่งนวัตกรรมอันก้าวไกล
มันไม่มีนวัตกรรมใดที่ช่วยให้คนจนอยู่ๆก็ร่ำรวยขึ้นมาในพริบตา เเต่ถ้าเธอฉลาดกว่านี้อาจจะคิดได้
แต่ปัญหาก็คือเธอไม่ได้ฉลาด
เธอจำได้ว่าอยู่ในสกิลของเธอระยะแรกนั้นมันมีชื่อว่าตะกละ มันเป็นสกิลที่ช่วย เรื่องพละกำลัง
แต่ประทานโทษเธออยู่ในยุควันสิ้นโลกไม่มีอาหารดีๆให้เธอเปลี่ยนเป็นพลัง หยิบดินหยิบหินหยิบทรายขึ้นมามันก็เเค่ช่วยให้เธออิ่มไม่อดตายและมีพลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เลยทำให้เธอเริ่มอ่อนแอลง
แต่ถึงจะอ่อนแอยังไงในวันหนึ่งสกิลของเธอนั้นมันก็อัพขึ้นมาทีนี้ร่างกายของเธอไม่กินอะไรเข้าไปเท่าไหร่มันก็ไม่พอเหมือนลูกโป่งอีกแล้วแต่มันกลับให้ผลที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นแทน
นั่นก็คือ นอกจากกินแล้วไม่พอยัง......
มันเป็นดังฝันร้าย ดังนั้นเธอไม่อยากจะพูดถึง แต่เธอก็ตัดใจไม่พัฒนาก็ไม่ได้เพราะเธอไม่อยากใช้ชีวิตอดอยากเหมือนเดิมอีกแล้ว
ในยุควันสิ้นโลกที่เธออดอยากจนไม่มีพละกำลังนั้นเพราะเธอไม่มีอาหาร ต่อให้มีคริสตัลนับร้อยแต่ถ้าไม่มีอาหารให้แลกมันก็เปล่าประโยชน์
แต่ไม่ใช่กับยุคนี้
ที่นี่มีทั้งอาหารที่ดี ที่ประเสริฐ และงานที่ปลอดภัย
มันเป็นดั่งโลกที่ทุกคนในยุควันที่โลกนั้นโหยหา แต่ทว่ากลับไม่ได้มาในครอบครอง
เมื่อพูดไปคิดไปหญิงสาวก็เริ่มนึกถึงพี่ชาย... เธออยากให้เขาได้มีโอกาสกินแกงกะหรี่เหมือนเธอบ้าง
ถึงเธอจะรู้ว่าต่อให้เขากินเข้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างน้อยกินมันก็มีความสุข
ในขณะที่คิดอย่างมีความสุข สายตาก็หันจับไปที่หมายศาลเหมือนเดิม จะเอายังไงกับมันดี
ในความคิดของจางเสี่ยวตอนนี้ก็คือเธออยากจะพับหมายศาลให้เป็นรูปจรวดแล้วก็พาออกไปนอกหน้าต่างและทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
จะคิดทำไม….ทำไปเลยดีกว่า!
โบราณว่าเอาไว้ ปัญหาคุณก็จะไม่มีปัญหา?
ดังนั้นแล้วถ้าปัญหาไม่อยู่ตรงหน้า มันก็เท่ากับไม่มีปัญหาถูกต้องไหม
ดีจริงๆอาหารที่กินเข้าไปสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานสมองทำให้เธอคิดเรื่องฉลาดฉลาดแบบนี้ขึ้นมาได้ จางเสี่ยวหัวเราะอยู่ในใจอย่างมีความสุข
เมื่อคิดแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้แล้ว เธอก็จัดการพับกระดาษเป็นรูปจรวดทันที แล้วก็ปามันออกไปนอกบ้าน
จากนั้นก็นั่งๆนอนๆสบายใจอยู่ในบ้านเหมือนเดิม
ใช้ชีวิตประหนึ่งเหมือนหมายศาลไม่เคยมีมาก่อน
มันไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อยทำไมเธอต้องสนใจมันด้วย
ลืมไปเถอะ จางเสี่ยวไม่ใช่พระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดอะไรขนาดนั้น
เธอก็แค่อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขให้สมกับที่ลำบากมาหลายปี ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอต้องแสวงหาความลำบากให้กับตัวเองทั้งๆที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเธอทั้งสิ้น
ที่สำคัญเด็กคนนั้นเธอไม่แม้แต่จะเคยพบหน้า
ความผูกพันไม่มี
แล้วเธอจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องไปรับเด็กมาเลี้ยงล่ะ ไม่มีทาง!
ในขณะที่กำลังนั่งนอนอย่างสบายใจเเละลืมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเอง ก็มีคนโทรมาหา เสียงเรียกเข้าดังจนขี้หูเเทบตกกระจาย
“สวัสดีค่ะ จากส่วนกลางของหมู่บ้านนะคะ ตอนนี้ทางเรากำลังจะทำสนามเด็กเล่นใหม่จึงจะขอเพิ่มเงินค่าส่วนกลางอีก 10 หยวนเป็นเวลา---”
เสียงใสๆ ยังไม่ทันจบ จางเสี่ยวก็รีบวาง เธอไม่ได้จะไปไหน รับใคร หรือมีลูกสักหน่อย จะเสียค่าส่วนกลางเพิ่มไปทำไม ไม่ยุติธรรม! ดังนั้นไม่จ่าย
ทว่า! ยังไม่ทันจะนอนหลับดี เสียงกริ่งก็ดังออกมาที่หน้าบ้าน! จางเสี่ยวพยายามไม่สนใจ เเต่ดูเหมือนที่หน้าบ้านจะกดย้ำจนสนุก…เสียงดังไปทั่วพื้นที่ จางเสี่ยวเลยจำต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้
“ใครคะ? มีธุระอะไร?” เสียงของจางเสี่ยวบอกถึงความไม่สบอารมณ์ เธอหงุดหงิดมากเเล้ว ทำไมคนพวกนี้ถึงเเห่มารบกวนเธอ
“จากส่วนกลางของหมู่บ้านค่ะ! มาเก็บค่าส่วนกลาง” หญิงสาวคนหนึ่งที่มาพร้อมกับชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้น ในมือมีเอกสารบางอย่างถืออยู่ 1 เเผ่น
“ฉันอยู่คนเดียวค่ะ เเละฉันไม่ได้ใช้ของส่วนกลาง…ดังนั้นเรื่องขอเพิ่ม…” จางเสี่ยวยังพูดไม่ทันจบก็โดนหญิงสาวอีกฝั่งพูดต่อกลับมา
“ในสัญญาผ่อนบ้านระบุไว้ชัดเจนเรื่องของการจ่ายค่าส่วนกลางค่ะ ต่อให้ไม่ใช้คุณก็ต้องจ่าย..เเละถ้าผิดสัญญา….” หญิงสาวกางสัญญา ซึ่งมีลายมือของจางเสี่ยวอยู่บนนั้น
“……” ไม่ต้องพูดจางเสี่ยวก็รู้! ค่าปรับใช่ไหม? หมายศาลถูกหรือเปล่า!? ทำไมชีวิตเธอถึงต้องเจอเรื่องเเบบนี้
เเต่จางเสี่ยวไม่เคยรู้เลยว่ามันคือเรื่องปกติของคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร…เธออยู่ป่าอยู่เขามาจนเคยชิน เรื่องระเบียบ! โทษที เธอยังจำไม่ได้!
“งั้น…หักผ่านบัญชีเเล้วกันค่ะ!” จางเสี่ยวระงับอารมณ์ ยังไงก็เเค่ 10 หยวนต่อเดือน เเม้เงินจะลดลงก็ตามเเต่มันก็ลดเเค่…ชั่วคราว หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เเกล้งยืดเวลาเเล้วทำให้ลูกค้าเสียเเรงเปล่า
เธอได้ตัดสินใจเเล้ว! ทันทีที่สนามเด็กเล่นเสร็จ! เธอจะไปเล่นที่นั่นทุกวันให้คุ้มกับค่าส่วนกลางที่จ่ายไป….เธอสาบานว่าไม่ว่าเด็กหน้าไหนจะไม่สามารถเเย่งชิงช้าจะเธอไปได้เเน่นอน
เธอจะใช้สิทธิ์ให้คุ้มเลย!!