EP.84 ผ่านไปด้วยกัน
วันนี้ผมเลือกที่จะตื่นเช้ากว่าทุกวันถึงนี่จะแค่หกโมงเช้าก็ตามแทนที่ผมจะเลือกใส่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนแบบทุกวันแต่ในวันนี้ความรู้สึกของผมมันทำให้เลือกที่จะทำในสิ่งที่ต่างออกไปเพราะทุกคนในโรงเรียนต่างพากันใส่ชุดยูนิฟอร์มสำหรับการเทรนนิ่งพร้อมกับพกเครื่องมือต่อสู้กันทั้งนั้น โดยอุปกรณ์ต่อสู้ที่เห็นส่วนมากก็ทำมาจากไม้ทั้งหมดเพราะในการฝึกซ้อมครั้งนี้ได้มีกฎออกมาว่าให้ใช้เพียงแค่อุปกรณ์ขั้นพื้นฐานเพียงเท่านั้น และนี่ก็เป็นข้อดีในการป้องกันไม่ให้เหล่านักเรียนบาดเจ็บไปมากสักเท่าไหร่
ในที่สุดผมก็ได้จัดการย้อมอาวุธเป็นสีแดงและขอบสีดำโดยการแลก
กับสิ่งที่ผมสะสมได้สำเร็จ พร้อมกับอาวุธคู่ใจอันใหม่นั่นคือเกราะที่ไหล่ของผม
ส่วนรองเท้าบูธของผมก็เป็นรองเท้าธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายนัก
และสิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือถุงมือสีแดงคู่โปรดของผม ที่ใสมันเมื่อไหร่ก็รู้ได้
ทันทีว่าไม่มีทางเหมาะกับใครไปมากกว่าอยู่กับผมอีกแล้ว
ทุกคนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่ในวันนี้ต่างพากันพกอาวุธที่ดี
ที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อการแข่งขั้นในครั้งนี้ การประลองฝีมือครั้งนี้
จัดขึ้นที่สนามที่ใหญ่ที่สุดในโรงเรียน นั่นคงไม่ต้องบอกว่ามันเป็นนัด
ที่สำคัญมากแค่ไหน
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้คือเหล่าอัศวิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า
คนทุกคนจะเข้าร่วมกับการประลองครั้งสำคํญนี้ ส่วนที่เหลือก็ยังใช้ชีวิตตาม
ปกติ บางคนก็เลือกที่จะทำกิจกรรมทั่วไปตามปกติ เพราะเมืองนี้มีพื้นที่ใหญ่
มากพอที่จะให้ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อแข่งขันกีฬาอื่นๆมากมาย
ตัดภาพกลับไปมองบางคนที่เข้าการแข่งขันวันนี้ พวกเขาดูกังวล
ราวกับว่านี่คือเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา แต่สำหรับผมแล้ว
มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น
ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น มองไป
มองมาผมก็ทนไม่ไหว การเดินออกมาจากที่นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ที่ควรทำในตอนนี้ เพราะตัวผมเองก็พึ่งมาคิดได้ว่าอยู่ที่นี่มาก็หลาย
ปีแต่ยังไม่มีเวลาสำรวจเมืองมากนัก เพราะตารางในแต่ละวันอัดแน่น
จนแทบจะไม่มีเวลาหายใจ นี่แหละเวลาของผมมาถึงแล้ว……
ระหว่างที่เดินชมความสวยงามของเมืองนี้ไปเรื่อยๆ มีบางสิ่ง
บางอย่างที่ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ นั่นคือบรรยากาศที่คนในเมือง
ดูมีชีวิตชีวากว่าทุกครั้ง ความเครียดหรือความกดดันก็ดูน้อยลง
เพราะส่วนมาก ในบริเวณนนี้จะมีเหล่าอัศวินคอยคุมเข้มอยุ่ตลอดเวลา
แต่วันนี้มันให้อารมณ์เหมือนผมกำลังเดินอยู่ในงานเทศกาลมากกว่า
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันแตกต่างกว่าทุกวันก็คือผู้คนที่อยู่ในเมืองนี้
ขึ้นชื่อว่า Avrion City ก็คงแทบจะไม่ต้องบอกว่าคนในเมือง
ส่วนมากก็คือเหล่าอัศวินอยู่แล้ว ส่วนพวกพ่อค้ามีเพียงไม่กี่คน
จนผมแทบจะนับมือได้ ส่วนวันนี้สิ่งท่ีทำให้แปลกตาออกไปก็คือ
เหล่าผู้คนจากเมืองอื่นที่เข้ามาดูการแข่งขั้นในครั้งนี้ ซึ่งโอกาศ
ก็ไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก Avrion จะเปิดประตูรับแขกแค่เพียงปีละครั้ง
เท่านั้น และจุดประสงค์ที่เข้ามาก็คงจะหนีไม่พ้นการเฟ้นหาคนที่มี
คุณสมบัติมากพอที่จะย้ายไปอยู่ Academy ของพวกเขา
ก็ไม่ใช่ทุกคนใน Avrion ที่ต้องการจะเป็นอัศวินเพื่อที่จะต่อสู้กับ
Shadow plague แต่ด้วยหลักสูตรที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพของที่นี่มันน่าเชื่อถือ
จนทำให้พวกเหล่าพ่อแม่ต้องการที่จะส่งลูกๆมาฝึกวิชากันทั้งนั้น
เดินมาเรื่อยๆอีกสักพักในที่สุดผมก็ถึงจุดหมายสักที สถานที่ๆอัดแน่น
และเต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่ทางเข้า ทั้งๆที่นี่มันพึ่งไม่กี่โมงเองด้วยซ้ำ
แต่ก็น่าตกใจไม่น้อยที่ผู้คนส่วนมากต่างพากันยืนรอหน้าประตู
โชคดีสำหรับผมที่มีทางเข้าพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมแข่งขัน ก็ทำให้
ผมไม่ต้องเข้าไปต่อแถวอะไรพวกนั้น มองไปรอบตัวผมก็เห็นเหล่า
พ่อแม่ที่พากันอวยพรให้โชคดีก่อนที่จะเข้าไป สิ่งที่อยู้ตรงหน้า
มันทำให้ผมอดคิดถึงคนที่ผมรักที่สุดไม่ได้
ผมมีเวลาอ่อนแอไม่มากนัก ก็เลือกที่จะหันหน้าไปอีกทางพร้อม
กับเดินเข้าไปอย่างมั่นใจ แต่เสียงที่กวนใจผมระหว่างทางเดินก็
คือเสียงกลุ่มคนเหล่านั้นที่กำลังพูดถึงผมอยู่
“พวกเขายอมให้เด็กผมแดงเข้าการแข่งขันครั้งนี้ด้วยดูสิ!”
“แม้กระทั่งเหล่าอาวุธของเด็กคนนั้นก็เป็นสีแดงด้วย พวกเขา
ต้องการให้เด็กนี่เข้ามาทำลายเมืองของเรารึไง?”
“จากที่ฉันได้ยินมาเขาก็อนุญาติให้เด็กผมแดงเข้าร่วมการ
แข่งขันนี้เหมือนกัน ต้องใช่เด็กคนนี้แน่ๆ”
“โอ้ว… ฉันว่านี่คือการตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ของ
Avrion แน่ๆ บางทีปีหน้าฉันอาจจะต้องมองหาโรงเรียนใหม่
สำหรับลูกแน่ๆ”
หลายคนคงคิดว่าคำพูดพวกนั้นจะทำร้ายจิตใจผมแน่นอน
แต่ในครั้งนี้ความรู้สึกมันช่างแตกต่างออกไป ผมอาจจะเคยเสียใจ
กับคำพูดพวกนี้ในตอนยังเด็ก แต่เรื่องราวระหว่างทางที่เกิดขึ้น
มันทำให้เกิดคำว่า “ชิน” แทนที่คำว่าเสียใจไปสะแล้ว นับตั้งแต่วัน
ที่ผมดวลกับเซบาสเตียนก็มีคำเหล่านี้มากมาย แต่ยังไงแล้วพวกเขา
ก็ทำได้แค่ซุบซิบกัน ไม่มีใครสักคนที่เดินเข้ามาแล้วพูดคำพวกนี้ต่อหน้าผม
ผมเลือกที่จะไม่สนใจคำพวกนั้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปตามป้ายบอกทาง
ไปยังที่เก็บตัวของเหล่าผู้ลงแข่งขัน และผมก็พบว่าป้ายพวกนั้นพาผมมายัง
ทางลงบรรไดใต้ดินและสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือประตูบานใหญ่ ผมค่อยเปิด
ประตูบานใหญ่อย่างช้าๆ และเมื่อเข้ามาก็พบว่านี่คือห้องโถงห้องใหญ่
ที่ใหญ่พอๆกับห้องอาหารของ Avrion Academy แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ
นี่คือห้องเปล่าๆที่ไม่มีแม้แต่ โต๊ะหรือเกาอี้สักตัว
มองไปรอบๆห้องครึ่งนึงคือเหล่าผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ ถ้ากะจากสายตา
ก็ประมาน 350 คน บางส่วนก็เลือกที่จะรวบรวมสมาธิอยู่เงียบๆ ส่วน
อีกด้านนึงของห้องก็ต่างพากันจับคู่ฝึกซ้อมและทดาสอบอาวุธพิเศษ
ของพวกเขา
และเมื่อมองไปอีกด้านก็พบผู้เข้าแข่งขันไม่น้อยที่พากันจับกลุ่มเล็กๆ
เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการ์ณระหว่างเหล่าพวกพี่ๆปีสองและปีสาม
และซึ่งเห็นกันได้ชัดว่ายังไงเหล่าพี่ชั้นปีสามก็มีสิทธิที่จะชนะในการแข่ง
ขันครั้งนี้อยู่แล้ว เพราะในทุกๆปีผลที่ออกมาก็ไม่พ้นปีสามที่จะได้ชัยชนะ
ไปครอง นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคนที่สะสมวิชามามากกว่า
ก็ย่อมชนะอยู่ดี
ผมว่าจุดประสงค์อีกข้อในการจัดการแข่งขันประลองครั้งนี้
นั่นก็คือทำให้เหล่านักเรียนชั้นปีสองรู้ว่าเขาเองยังพอมีเวลา
ฝึกฝนตัวเองอีกมาก ถ้าปีนี้ไม่ชนะก็ลงแข่งใหม่ในปีหน้า
หลังจากกวาดสายตาไปทั่วห้องก็ยังไม่เห็นเพื่อนผมสักคนที่อยู่ในนี้
ถึงแม้หางตาของผมจะสะดุดตาไปเห็นแฮรี่และจัสมินแต่ยังไง
ผมก็ตัดสินใจที่จะเดินกลับไปรอเพื่อนๆที่ห้องโถงแทน
เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเหล่านักเรียนก็ต่างทยอยกัน
เข้ามากันจนเต็มห้อง ในระหว่างที่เสียงประตูดังขึ้นครั้งแล้ว
ครั้งเล่าจนในที่สุดคนที่ผมคุ้นคุ้นตาก็เดินเข้ามาพร้อมส่งเสียง
ทักทาย
“เฮ้ เรย์นายอยู่ที่นี่จริงๆด้วย ฉันตามหาอยู่ตั้งนาน”
ไคล์ไม่รอช้าที่จะรีบเดินเข้ามาหาผม
“ทำไมนายถึงได้ที่ๆกว้างขนาดนี้เนี่ย” ไคล์ถามพร้อมทำ
สงสัยว่าทั้งๆที่ผู้เข้าแข่งขันต่างนั่งและจับจองที่กันเต็มทุก
พื้นที่ แต่ทำไมรอบๆตัวผมถึงได้โล่งขนาดนี้
“ก็คงเดาได้ไม่อยาก คนพวกนี้คงต่างพากันเลี่ยงที่จะอยู่
ใกล้ผมทั้งนั้น”
“นายก็เหมือนแมวเก้าชีวิต ที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย”
ทุกคนต่างพากันเลือกที่จะไม่สนใจในสิ่งที่ไคลพูด
แต่แล้วมาร์ธาก็เลือกที่จะทำลายความเงียบด้วยการ
ที่พูดขึ้นมาว่า
“ฉันได้ยินมาว่าการแข่งขันรอบแรกจะเป็นการต่อสู้กันแบบ Royal style”
ซอลเวียพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นมาอีกว่า
"ใช่ปกติแล้วพวกเขาจะแบ่งรอบออกเป็นสองกลุ่มนักเรียนชั้นปีที่ 2
ก่อนแล้วจึงเป็นนักเรียนชั้นปีที่3นักเรียนสิบคนสุดท้ายจะผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์
ซึ่งเป็นแบบตัวต่อตัว"
“มีตั้งท็อปสิบเลย งั้นยังไงพวกเราก็จะผ่านมันไปด้วยกัน” มังค์พูดพร้อม
กับยิ้มให้กำลังใจทุกคน
ในขณะที่ทุกคนกำลังดูมีกำลังใจกับสิ่งที่มังค์พูดผมก็เหลือบไปเห็น
สีหน้าของมาร์ธาที่ดูเศร้าเล็กน้อย
“แต่นั่นหมายความว่าเราอาจจะลงเอยด้วยการต่อสู้กันเองงั้นหรอ”
“อย่าพึ่งไปกังวลกับสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงดีกว่า เมื่อถึงเวลานั้น
ยังไงพวกเราก็ต้องจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อยู่แล้ว แค่พวกเรา
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ” แดนพูดขึ้นมา หลังจากนั้น
รอยยิ้มที่ใบหน้าของทุกคนก็ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่แดนพูด น้อยครั้งนักที่พวกเราจะ
มารวมกลุ่มและพูดคำเหล่านี้ เวลานี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่ผม
อยากจะเก็บมันไว้นานๆ
จากนั้นซอเวียก็ยื่นมือออกมาตรงกลาง
"ถ้าอย่างนั้นเราสัญญาว่าจะติดท็อปเท็นด้วยกัน" จากนั้นทุกคนก็วางมือตรงกลางบนฝ่ามือของซอเวีย
"ด้วยกัน"
"1 2 3 เฮ้…." พวกเราทุกคนตะโกนเพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกัน