บทที่ 46 เฝ้าระวัง !
บทที่ 46 เฝ้าระวัง !
เนี่ยยุนหัวเราะอย่างเย็นชา 'ใครจะไปสนว่าแกซ่อนอะไรไว้จากฉันกัน ? เมื่อถึงเวลานั่นยังไงซะแกก็ต้องคายความลับนั้นมาฉันรู้อยู่ดี'
ตอนนี้เขาเหมือนงูพิษที่หลบอยู่ในพุ่มหญ้า เพื่อที่จะรอคอยจู่โจมเหยื่อที่ผ่านมา !
"ฉันจะช้าไม่ได้อีกต่อไป ! ฉันต้องรีบเอาบ้านหลังนั้นมาให้ได้เร็วที่สุด !"
ในการสร้างธุรกิจนั่น การเริ่มต้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ความจริงมันเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ทุกคนพยายามที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมและเป็นการแข่งกันแย่งชิงไหวพริบ สำหรับเขาที่มาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ได้เกินความจริงที่จะเรียกเขาว่าจิ้งจอกเฒ่าเลย
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้สำหรับเหว่ยฮุ้ย คือการที่เขาจะต้องนำบ้านมาเป็นของเขาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างงั้นเมื่อตระกูลเนี่ยรู้ถึงความลับภายในบ้านหลังนั่น มันจะเพิ่มความยากในการได้มันมาหลายเท่านัก
เหว่ยฮุ้ยรู้ดีว่าทั้งสองคนต้องสงสัยอยู่แล้วว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร แต่สิ่งที่เขาสามารถคาดเดาได้ก็คือตระกูลเนี่ยยังไม่รู้ความลับภายในบ้าน
ตราบใดที่พวกเขายังไม่รู้ถึงความลับอันยิ่งใหญ่นี้ พวกเขาก็จะไม่สนใจมันมากนัก มันถือได้ว่าทำให้เหว่ยฮุ้ยสามารถซื้อเวลาไปได้มากนัก
เขาจะหนีไปได้ก็ต่อเมื่อเขาได้บ้านหลังมา ในโลกที่กว้างใหญ่และท้องฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ เหว่ยฮุ้ยไม่เชื่อว่าตระกูลเนี่ยจะสามารถหาเขาเจอถ้าหากเขาตั้งใจที่จะหลบซ่อนจากตระกูลเนี่ย !
***
เป่ยเฟิงนั่งอยู่บนรถเมย์ในขณะที่กำลังกลับหมู่บ้านชิงหลิง เขาไม่ได้รู้ความจริงที่ว่าเริ่มมีคนสนใจบ้านของเขามากขึ้นเลย
ไป่เซียงกำลังรออยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน เขายืนอยู่ข้าง ๆ รถบรรทุกโดยยืนคุยอยู่กับคนเขารับ
เมื่อเป่ยเฟิงมาถึงเขาคุยกับคนขับรถเล็กน้อย หลังจากนั้นเป่ยเฟิงและไป่เซียงก็แบกถุงจักจั่นเดินกลับไปที่บ้านของเขาทันที
"บ้าน่า ! ความแข็งแรงที่มันมากกว่าคนปกติของทั้งคู่มันคืออะไรกัน ?"
คนขับรถไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของเขาได้เลย ไม่ใช่ว่าทั้งคู่เคยเป็นสัตว์ป่ามาก่อนในชาติที่แล้วใช่ไหม ? ทำไมพวกเขาถึงมีความแข็งแรงขนาดนี้กัน ?
ถึงแม้ว่าจะแบกถุงที่มีจักจั่น 20,000 ตัว ไปตามเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเดินกว่ายี่สิบนาทีสำหรับคนปกติ แต่สำหรับเป่ยเฟิงและไป่เซียง พวกเขาใช้เวลาแค่สิบนาทีเท่านั้นในการเดินไปถึงบ้าน
พวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ ในการเดินเลย เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน มันไม่มีแม้แต่เหงื่อซักหยดบนหน้าของพวกเขา
ต้นผีดูดเลือดเหมือนได้กลิ่นของจักจั่น มันจึงโบกกิ่งไม้ของมันไปมา เหมือนกลุ่มงูที่กำลังเต้นรำ
ถึงเวลาอาหารของต้นผีดูดเลือด ! จักจั่นจำนวนนับไม่ถ้วนถูกมันดูดเลือดอย่างไร้ปราณี !
ซากของจักจั่นจำนวน 20,000 ตัวกองอยู่บนพื้น สำหรับต้นผีดูดเลือดตอนนี้ ภายนอกของมันมีแสงสีแดงจาง ๆ ล้อมรอบมันเต็มไปหมด
หลังจากผ่านไปสิบนาที แสงสีแดงจาง ๆ ก็ขยายออกไปไกลหลายเซนติเมตร !
หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีแดงก็ถูกดูดเข้าไปและปล่อยออกมาอีกครั้ง จากนั้นมันก็ถูกดูดกลับเข้าไปและปล่อยออกมาอีกครั้ง ทำให้แสงสีแดงที่จาง ๆ ก่อนหน้านี่เริ่มเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับร่างหลักของต้นผีดูดเลือด มันไม่ได้เติบโตขึ้นอีกต่อไป พลังงานทั้งหมดของมันถูกส่งโดยตรงไปที่ผลเลือดต้นกำเนิดบนยอด !
จากผลไม้สีเขียวในตอนแรก ตอนนี้ผลเลือดต้นกำเนิดมันเปลี่ยนแปลงจนเริ่มเห็นได้ชัด ในเวลาไม่นาน ผลของมันก็เริ่มใหญ่จนเท่าขนาดกำปั้นของผู้ใหญ่ !
จุดขนาดเท่านิ้วโป้งปรากฏขึ้นด้านบนของผลเลือดต้นกำเนิด จุดสีแดงเริ่มปรากฏขึ้นมาอย่างช้า ๆ ไปรอบ ๆ ผลเลือดต้นกำเนิด และในไม่ช้ามันก็ปกคลุมผลเลือดต้นกำเนิดไปกว่า 5 จุด !
"จากรูปร่างของมัน ผลเลือดต้นกำเนิดเหมือนมันสุกแล้วหลังจากที่ให้อาหารไปแค่สองถึงสามครั้งเท่านั่น ! แต่ทำไมสีของผลเลือดต้นกำเนิดมันไม่เห็นเหมือนกับที่ฉันกินเลยละ ?" เป่ยเฟิงบ่นด้วยความมึนงง ผลนี้มันสีเข้มกว่าที่เขาเคยกินมา มันเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำ !
ไม่รู้ว่านี้มันจะดีหรือร้าย เป่ยเฟิงไม่สามารถบอกได้
ในเมื่อไม่รู้จะทำอะไรต่อไปแล้ว เขาจึงเริ่มฝึกการเคลื่อนไหวของท่าเตล็ดการหายใจด้วยแสงแทน
การเคลื่อนไหวของเขาในตอนนี้มันดูช้าและมั่นคง ตอนนี้เขาเหมือนคนแก่ที่กำลังฝึกไทเก๊กอยู่ในสวน
แน่นอน การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา มีแค่เป่ยเฟิงเท่านั่นที่รู้ว่าการเคลื่อนไหวช้า ๆ นี้คือแรงทั้งหมดของเขา !
เวลาผ่านไปและตกกลางคืน เป่ยเฟิงตื่นจากภวังด้วยความมึนงง เนื่องจากกระเพาะของเขามันส่งเสียงโวยวาย ทำให้เขาต้องหยุดการฝึกของเขาทันที
เป่ยเฟิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกเคือง ๆ
ไป่เซียงกินอาหารค่ำเสร็จไปนานแล้ว แต่ที่เขาไม่ได้เรียกเป่ยเฟิงเพราะว่าเขากำลังเห็นเป่ยเฟิงฝึกซ้อมอย่างหนัก
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ เป่ยเฟิงก็เดินกลับไปที่ห้องของเขาแล้วนอนลงบนเตียง
'พลังจากผลเลือดต้นกำเนิดใกล้หมดลงแล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งร่างกายใช้พลังงานไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งถูกใช้ออกมามากขึ้นเท่านั้น'
เป่ยเฟิงประเมินสภาพร่างกายของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขที่แสดงมากนัก แต่เขาคิดถึงความแข็งแกร่งจากตัวเลขและประเมินมันคร่าว ๆ ตอนนี้เขาน่าจะใช้พลังงานของผลเลือดกำเนิดไปแล้วประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าพลังภายในธาตุน้ำแข็งจากเย็นสุดขั้วมันเริ่มที่จะมีพลังมากกว่าพลังของผลเลือดต้นกำเนิดแล้ว
หากเป็นไปที่เขาคิด ผลของผลเลือดต้นกำเนิดน่าจะหมดไปเมื่อร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีก 40 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการควบคุมเย็นสุดขั้วเขาคิดว่าค่าสถานะเฉลี่ยของเขาต้องไม่ต่ำกว่า 100 จุด
เป่ยเฟิงค่อย ๆ หลับตาลงในขณะที่เขานอนคิดเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะหลับลึก ตั้งแต่ความรู้สึกของเขาเฉียบคมขึ้น มันทำให้เขาสามารถตื่นขึ้นมาได้ทันทีหากมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่าเป่ยเฟิงเป็นคนขึ้ระแวง แต่เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคอยเฝ้าระวัง ! ถ้าเขานอนเขาก็จะเหมือนหมูที่ตายแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครแอบเข้ามาในห้องของเขาหรือเปล่า บางทีมันอาจจะเข้ามาเอามีดปาดคอของเขาก็ได้ในตอนกลางคืน !
เจียงเหลียงในอีกด้าน เขาอยู่ข้างนอกทั้งคืนพร้อมด้วยกองทัพยุงแถวนั้น เขาได้รับคำสั่งเด็ดขาดจากเหว่ยฮุ้ยว่าห้ามเขาเข้าไปในบ้านเด็ดขาด สำหรับภารกิจนี้
เจียงเหลียงตื่นขึ้นมาด้วยความหนาวเย็นในตอนเช้า ถึงจะเป็นฤดูนี้ แต่เพราะเวลาในตอนเช้านี้จะมีหยาดน้ำค้างที่หนาวเย็นอยู่ มันจึงทำให้เขาหนาวอย่างมาก
เขามีใบหน้าสีน้ำเงินและฟันที่สั่นไม่หยุด เจียงเหลียงยืดแขนของเขาขึ้นมาลูบตาในขณะที่จ้องมองไปที่บ้านหลังเก่า
'บรื๋อ.. ต้องอดทน .. เมื่องานนี้เรียบร้อยแล้วฉันก็จะได้เงินที่ทำให้อยู่ได้โดยไม่ต้องทำอะไรอย่างน้อยปีครึ่ง' เจียงเหลียงคิดอย่างมืดมน สำหรับเหว่ยฮุ้ยนั่นเขาเป็นคนที่โหดร้ายกับศัตรูของเขามาก แต่สำหรับคนที่ซื่อสัตย์และเป็นประโยชน์ต่อเขา เหว่ยฮุ้ยไม่เคยทำร้ายพวกเขาซักครั้ง
เป่ยเฟิงตื่นขึ้นมา เขาล้างหน้าแล้วใส่ชุดกีฬาสีขาวเดินออกจากบ้าน
'เอ๊ะ ? มันไปไหน ? เช้าแบบนี้มันจะไปไหนกัน ? '
เจียงเหลียงเฝ้ามองไปเฟิงเดินออกไป เขาไม่ได้คิดเลยว่าเป้าหมายของเขาจะปรากฏเร็วขนาดนี้
เขารีบเก็บของ ๆ เขา แล้วเดินตามเป่ยเฟิงออกไป
ถึงแม้ร่างกายของเจียงเหลียงจะสูงกว่าคนปกติ แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะตามเป่ยเฟิงทันเลย นอกจากนี้เขายังไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศรอบ ๆ นี้ด้วย ดังนั้นในช่วงสั้น ๆ ไม่กี่นาทีเขาก็คาดสายตาจากเป่ยเฟิง
"บัดซบ ! ไอ้เด็กเวรนี้มันเกิดปีกระต่ายหรือยังไงกัน ! ทำไมมันถึงวิ่งไวขนาดนี้ !" เจียงเหลียงยืนหอบในขณะที่เขาตะโกนออกมาดัง ๆ "แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นยังงั้นสินะ ?"
เจียงเหลียงพึมพำอย่างเย็นชา เขารีบย้อนกลับไปที่เขาเห็นเป่ยเฟิงครั้งสุดท้าย เพื่อตามหาเขา
เป่ยเฟิงไม่ได้สงสัยเลยว่ามีคนตามเขามา ตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่เขาฝึกฝนปกติ และกำลังฝึกเคล็ดการหายใจด้วยแสงอยู่
แสงที่พ้นขอบฟ้าออกมา มันแสดงถึงพลังอันบริสุทธิ์ของดวงอาทิตย์ นั่นหมายความว่าได้เวลาเริ่มต้นวันใหม่แล้ว
เป่ยเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจากนั้นก็มีแสงความหนาเท่าดินสอถูกยิงออกมาจากดวงอาทิตย์พุ่งมาหาเขา
'มันคืออะไรกัน ? ไอ้เด็กนี้มันเป็นปีศาจหรือยังไงกัน ?'
เหมือนสวรรค์ที่สงสารคนจน หลังจากที่พยายามอย่างหนัก เจียงเหลียงก็สามารถหาเส้นทางที่เป่ยเฟิงผ่านไปเจอ และเมื่อเขามาถึงจุดที่เป่ยเฟิงกำลังฝึกฝนอยู่ สิ่งที่ทักทายเขากลับเป็นเป่ยเฟิงที่กำลังดูดกลืนแสงบางอย่างเข้าไปในปากของเขา !
เจียงเหลียงรู้สึกตกใจอย่างมาก เขาคิดว่าเขาตาฝาด เขาจ้องมองไปที่ดวงอาทิตย์ด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ในขณะที่กำลังคิดบางอย่าง เขาก็ตบปากของเขาเพื่อเรียกสติ เขาไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับตาของเขา แล้วทำไมเขาถึงเห็นสิ่งผิดปกติพวกนี้กัน ?
'ใครจะสนว่าแกเป็นมนุษย์หรือปิศาจกัน ? ฉันไม่เชื่อว่าแกจะกันกระสุนของฉันได้ !'
เขามองอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็จำได้ว่าเขาตามเป่ยเฟิงขึ้นมาทำไม เจียงเหลียงล้วงมือของเขาไปหยิบปืนที่อยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตของเขา
ระยะห่างของเขากับเป่ยเฟิงน้อยกว่าห้าสิบเมตร ระยะดังกล่าวเป็นเรื่องง่ายมากที่จะยิงให้โดน !
รอยยิ้มโหดเหี้ยมปรากฏบนใบหน้าของเขา ขณะเดียวกันเจียงเหลียงก็เล็งปืนไปที่เป่ยเฟิง เขากำลังจินตนาการถึงฉากสวยที่เลือดของเป่ยเฟิงกระจายไปทั่วเสื้อสีขาวของเขา เหมือนดังเช่นการออกดอกของดอกไม้สีเลือด !