บทที่ 42 หมาที่แท้จริงมันจะไม่เห่า แต่มันจะกัด !
บทที่ 42 หมาที่แท้จริงมันจะไม่เห่า แต่มันจะกัด !
มีอีก 16 กลีบที่วางอยู่บนฝ่ามือของเป่ยเฟิง
"ไป่เซียง มานี้หน่อย" เขาเรียกไป่เซียงให้มานั่งใกล้ ๆ "นี้ ลองดู มันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ" เป่ยเฟิงกล่าวพร้อมนำกลีบดอกให้ไป่เซียง ไป่เซียงนั่นเป็นคนที่เชื่อใจคนง่ายอย่างมาก แล้วเป่ยเฟิงยังเป็นคนแรกที่ยอมรับไป่เซียงอย่างใจจริง
"อือ"
ไป่เซียงไม่ได้ถามคำถามใด ๆ กับเป่ยเฟิง เขานำใส่ลงในปากของเขา
"เป็นยังไง ?" เป่ยเฟิงถามด้วยความคาดหวัง
"งั่ม งั่ม หืม รสชาติไม่เลว" ไป่เซียงกลืนเสร็จแล้วตอบกลับ
"แค่นี้ ?"
เป่ยเฟิงพูดไม่ออก ฉันไม่ได้ถามเกี่ยวกับรสชาติของมัน !
"แค่นี้" ไป่เซียง งุงงง
'บัดซบ เสียไปอีกกลีบ !'
เป่ยเฟิงรู้สึกว่าหน้าของเขาชาเล็กน้อย เขาลืมไปได้ยังไงว่าไป่เซียงเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถทำลายเครื่องโม่หินด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียว !? เห็นได้ชัดว่าร่างกายของไป่เซียงนั้นดีกว่าเป่ยเฟิงอย่างมาก !
"เอาละ ไม่มีอะไรแล้ว นายกลับไปทำงานของนายต่อเถอะ " ท่าทางเจ็บปวดปรากฏบนหน้าของเป่ยเฟิง กลีบดอกไม้พวกนี้มีพลังงานเยอะมาก หากคนปกติกินเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นได้อย่างมาก !
เป่ยเฟิงเก็บกลีบที่เหลืออย่างระมัดระวัง จากนั่นเขาจึงคิดว่าจะไปตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของต้นผีดูดเลือดอีกครั้ง
"ปัง ปัง ปัง !"
มีเสียงเคาะประตูดังออกมาจากประตูหน้า ทำให้เป่ยเฟิงหยุดความคิดไปชั่วครู่
"ทำไมถึงมีคนมาที่นี่ในตอนนี้ ?"
ถึงเขาจะไม่แน่ใจ แต่เป่ยเฟิงก็เดินออกไปดูที่ประตู
"นายคือ ?"
กลุ่มคนเจ็ดแปดคนยืนเรียงแถวอย่างเรียบร้อยที่นอกประตูหลักของบ้าน ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ายืนอยู่ระหว่างกลุ่มคนพวกนั้น เขาจ้องมองไปที่เป่ยเฟิงในขณะที่คนอื่น ๆ ก็มองไปที่สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวพวกเขา
ความสำเร็จในการทำธุรกิจของเหว่ยฮุ้ย ไม่ได้สำเร็จเพราะความเฉลียดฉลาดของเขา แต่มันคือความขึ้โกงของเขามากกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจเขา แม้กระทั่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าสร้างศัตรูไว้กี่คน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพของบอดี้การ์ดเวลาเขาไปไหนมาไหน
"นายไม่คิดจะเชิญฉันเข้าไปข้างใน ?" เหว่ยฮุ้ยถาม โดยไม่รอคำตอบเขาเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมกับบอดี้การ์ดข้างหลังเขาหลายคน
"อืม .. นี้เป็นสถานที่ที่ดี ไม่แปลกใจทำไมนายถึงไม่ขายมัน" เหว่ยฮุ้ยกล่าวโดยท่าทางไม่ไยดี ขณะที่เขาเหลือบมองไปทั่วลานกว้าง
"หนุ่มน้อย ทำยังไงนายถึงจะขายที่นี่ให้กับฉัน ? นายสามารถตั้งราคามาได้เลย" เหว่ยฮุ้ยยิ้มเบิกบานในขณะที่หันไปมองเป่ยเฟิง
"ขอโทษด้วย บ้านหลังนี้ไม่ขาย ถ้านายสนใจ ก็ไปสร้างใหม่เอาเอง มันมีจุดที่น่าสนใจอยู่แถวนี้" เป่ยเฟิงขมวดคิ้วจนมีเส้นสีดำอยู่บนหน้าผากเขา สหายผู้นี้คือคนเบื้องหลังที่มีปัญหากับเขานี้เอง
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญออกไป"
นับตั้งแต่เห็นได้ว่าเขามีเจตนาร้าย เป่ยเฟิงก็ไม่ต้อนรับเห่วยฮุ้ยอีก เขาชี้ไปที่ประตู
"เฮ้ ไอ้เด็กเลว ! ให้มันน้อย ๆ หน่อย !"
ชายร่างใหญ่ที่ชื่อ เจียงเหลียงเดินออกมาจากด้านหลังของเหว่ยฮุ้ย เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
"นี้เป็นวิธีพูดของฉัน ถ้านายไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง"
เป่ยเฟิงทิ้งความเคารพที่เขาแกล้งทำไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่ายังไงพวกคนเหล่านี้ก็คุยปกติด้วยไม่ได้ แต่พวกนี้จะต้องคุยด้วยหมัดเพื่อที่จะให้เขาขายบ้านหลังนี้แน่นอน
"ฮ่า เป็นเวลานานแล้วที่ฉันไม่เคยเจอคนหนุ่มน่าสนใจแบบนี้ ตั้งแต่ฉันเจอนาย ฉันค่อนข้างพอใจสายตาของนาย ฉันให้นาย 5 ล้านสำหรับบ้านหลังนี้ เป็นยังไง" เหว่ยฮุ้ยยิ้มให้กับเป่ยเฟิงขณะที่เขายกมือเพื่อหยุด เจียงเหลียง
"ไม่ขาย"
เป่ยเฟิงตอกย้ำด้วยคำพูดสองคำ เขาพูดช้า ๆ ชัด ๆ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะขายบ้านหลังนี้ ถึงแม้เขาจะอยู่ในจุดที่ชีวิตต่ำที่สุดเมื่อตอนเขาบาดเจ็บหรือถูกทิ้งจากแฟนของเขา ความคิดที่จะขายบ้านหลังนี้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
"ไปกันเถอะ"
รอยยิ้มอวดดีบนใบหน้าของเหว่ยฮุ้ยจางหายไป เขาหันมามองเป่ยเฟิงด้วยความเย็นชา เขาพูดด้วยเสียงเย็นชาจากนั้นก็หันกลับไปแล้วเดินออกจากบ้านพร้อมกับบอดี้การ์ดต่าง ๆ ของเขา
เจียงเหลียงจงใจอยู่หลังสุดเขาหันไปเผชิญหน้ากับเป่ยเฟิงแล้วกรีดนิ้วลากคอของเขา
ใบหน้าของเป่ยเฟิงมืดม่นกลับทันที คนพวกนี้เห็นเขาใจดีหน่อยแล้วทำเป็นได้ใจกัน
แม้ว่ากลุ่มคนพวกนี้จะเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยโคลนแห้ง แต่ในความเงียบเหล่านี้ ผู้ที่เคยติดตามเหว่ยฮุ้ยมานานหลายปี สามารถบอกได้เลยว่าภายใต้ความสงบของเหว่ยฮุ้ย แท้จริงแล้วเขากำลังโกรธ !
"เหลียงซี ฉันขอไว้ใจนาย ฉันให้เวลา 2 วัน ฉันไม่อยากเห็นเขามีลมหายใจอีกแล้วภายในสองวันนี้ นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม ?" เหว่ยฮุ้ยกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล เหมือนไม่มีอารมณ์ใด ๆ ในน้ำเสียงของเขา
การที่ได้ติดตามเหว่ยฮุ้ยมาเป็นเวลานาน เป็นไปได้ไหมว่ามือพวกเขาจะไม่เคยเปื้อนเลือด ?
"ไม่ต้องห่วงครับบอส ผมรับประกันได้เลยว่าจะทำความสะอาดให้เงียบที่สุด จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ได้"
แม้ว่าเจียงเหลียงจะตอบอย่างมั่นใจ แต่เขาก็ไม่กล้าประมาทเป่ยเฟิง เขาเคยเห็นคนที่เดือดร้อนก่อนหน้าพวกเขามาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกนั้นทุกคนยังอยู่ดี มีตกใจบ้างเล็กน้อย แต่ครั้งที่สองนั้นพูดได้เลยว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะมือสังหารที่ส่งไปนั้น ตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ !
"ดี ฉันคงวางใจได้ถ้าเป็นนาย" เหว่ยฮุ้ยพยักหน้า แววตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย ถึงจุดนี้เขาไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับสายตาของตระกูลเขาอีกต่อไป
'ตราบใดที่ฉันไม่ได้ทำอะไรบ้านหลังนั้น พวกเขาก็จะไม่ทำอะไรฉัน' เขาคิด
'มีปัญหากับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ดี ตอนนี้มันเกินขีดจำกัดที่จะรับได้แล้ว นายเลือกที่จะทำแบบนี้กับฉัน ? ฮึ้ม ! คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน !'
เป่ยเฟิงนั่นได้ติดตามกลุ่มของเหว่ยฮุ่ยมาตลอดทาง จากความรู้ของเขา มันมีจุดซ่อนตัวยอดเยี่ยมมากมายอยู่รอบ ๆ เส้นทางโคลนนี้ มันเป็นจุดสังเกตที่ดีสำหรับการสะกดรอยตาม
เขาไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก ถ้าหากมีใครบางคนชกเขาด้วยหมัดหนึ่งครั้ง เป่ยเฟิงจะต่อยคืนสองครั้ง !
หากมีคนต้องการชีวิตของเขา แน่นอนว่าเขาก็ต้องเตรียมใจที่จะโดนเอาชีวิตด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ที่เขาได้รับคำเตือนจากแผนร้าย เป่ยเฟิงก็ตัดสินใจที่จะขยับตัวตามกลุ่มนี้ไปอย่างช้า ๆ
ในตอนแรกเป่ยเฟิงทำได้แค่อยู่เฉย ๆ และหายใจทิ้งไปเรื่อย ๆ เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่หมายหัวเขา แต่ตอนนี้ผู้บงการได้เปิดเผยตัวเองแล้ว เขาจึงไม่ต้องอยู่เฉย ๆ หายใจทิ้งไปเรื่อย ๆ อีกแล้ว มันถึงเวลาที่เขาจะเริ่มโต้ตอบครั้งแรกแล้ว !
เขาไม่กล้าที่จะเข้าใกล้กลุ่มมากนัก เนื่องจากเขาไม่ถนัดในการสะกดรอยตามใคร หากเขาถูกพบ แผนการทั้งหมดของเขาก็จะพังลงไป
ไม่นานกลุ่มของเหว่ยฮุ้ยก็มาถึงหมู่บ้านและขึ้นรถไป มันมีสองคันด้วยกันนั้นคือ เมอเซเดสเบนซ์ สีดำทั้งคู่
เป่ยเฟิงยืมรถมอเตอร์ไซด์จากลุงเซียง และขับตามหลังโดยรักษาระยะห่างของรถทั้งสองคนไว้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถทั้งสองคันก็หยุดใต้อาคารสูงแห่งหึ่ง กลุ่มของบอดี้การ์ดลงมาล้อมรอบเหว่ยฮุ้ยทันทีที่เขากำลังจะเดินลงมา
เป่ยเฟิงยืนอยู่ใต้เงาใกล้ ๆ อาคารแถวนั้น ที่มือของเขานั้นมีปืนเก็บเสียงอยู่ และมันมีกระสุนปืนอยู่ทั้งหมดสองเม็ด
อาวุธนี้เป็นอาวุธที่เขาเก็บได้จากศพที่ถูกฆ่าตายโดยต้นผีดูดเลือด ปืนพกนี้ถูกโหลดกระสุนไว้ตั้งแต่แรก แต่ว่าที่ตอนนี้เหลือกระสุนเท่านี้เพราะเป่ยเฟิงใช้มันเพื่อฝึกซ้อมฝีมือตัวเอง
แม้ว่าเขาจะไม่ถึงขั้นที่ใช้ชื่อกระสุนสังหารแต่เป่ยเฟิงก็มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางยิงพลาดในระยะ 20-30 เมตร
ที่สำคัญคือเป่ยเฟิงมีพื้นฐานที่สำคัญของนักฆ่า นั้นคือ ... ความอดทน !
เขาขยับตัวเล็กน้อยและนั่งเงียบ ๆ ในร้านอาหารเพื่อมองไปที่อาคารจินเหม่า บางครั้งเขาก็สั่งอะไรมากิน บางครั้งเขาก็จะจดบันทึกเมื่อมีคนเข้าออกอาคาร
เวลาผ่านไป และในไม่ช้าโคมไฟในตอนเย็นที่อยู่บนถนนก็สว่างขึ้นภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มมิด ผู้คนค่อย ๆ เดินออกจากร้าน แต่มีแค่เป่ยเฟิงที่นั่งอยู่ตรงมุมข้าง ๆ หน้าต่างของร้าน
"เขายังอยู่อีกงั้นเหรอ ? เขานั่งตรงนั้นมานานมากแล้วนะ ... ฉันคิดว่าเขาน่าจะกำลังรอโอกาสที่จะได้กินอาหารฟรีแน่ ๆ เฝ้าเขาไว้อย่าให้เขาหนีไป " เถ้าแก่ชี้ไปที่เป่ยเฟิงและบอกกับพนักงานของเธอเงียบ ๆ
"เอ๊ะ เขาออกมาแล้ว "
เป่ยเฟิงเหลือบไปมองพนักงานแล้วเรียกเก็บค่าอาหาร
เป่ยเฟิงผิวปากเบา ๆ ในขณะที่เขาปีนขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดข้างนอก และดึงหมวกกันน็อกสีดำขึ้นมาใส่ ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะทำภารกิจเป็นเงาอีกครั้ง
รถของเหว่ยฮุ้ยขับออกจากเมืองและมุ่งหน้าไปที่ชานเมือง
มีรถน้อยมากบนท้องถนน ทำให้มีแค่รถเมอร์เซเดส เบนซ์สีดำเพียงลำพังเท่านั้นบนถนน เป่ยเฟิงปิดไฟหน้าและไฟท้าย เขาอาศัยแสงจันทร์ในการมองอย่างเดียว
ในที่สุดรถก็หยุดที่คฤหาสน์หลังใหญ่ มีมือยื่นออกมาจากในตรงคนจับและเสียงบิ๊บ จากนั้นก็มียามออกมาเปิดประตูเพื่อให้รถเบนซ์สีดำเข้าไปข้างใน
'โอ้ ไอ้คนโรคจิตนี้อาศัยอยู่ในที่แบบนี้งั้นสินะ' เป่ยเฟิงมองไปที่สถานที่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นอนตรงหน้า
นี้เป็นบ้านหลังที่ใหญ่มาก ราคาของมันน่าจะสูงอย่างมาก อีกทั้งความปลอดภัยของมันก็ยังอยู่ในระดับที่สูงที่สุด !
ยามที่นี่ส่วนใหญ่เป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณออกมาจากกองกำลังพิเศษ การรักษาความปลอดภัยของที่นี่จึงแน่นหนามาก มียามลาดตระเวนอยู่ตลอด
นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการเข้าไปข้างในจะต้องถูกตรวจสอบก่อนที่จะได้เข้าไป