บทที่ 1 การร่อนเร่ของลมเหนือ
บทที่ 1 การร่อนเร่ของลมเหนือ
ฝูโจวหรือที่เรียกว่าบันยันซิตี้ได้รับการยกย่องจากทั้งประเทศว่าเป็นเมืองที่มีมาตรฐานการครองชีพสูงสุดในประเทศจีน
ที่นี่สิ่งที่เห็นได้บ่อยที่สุดคือร้านเล่นไพ่นกกระจอก และ ... ร้านเล่นไพ่นกกระจอก ร้านไพ่นกกระจอก ร้านไพ่นกกระจอก (?) โดยไม่คำนึงถึงใด ๆ ทุกคนในเมืองสามารถตั้งชื่อร้านของตัวเองยังไงก็ได้
แต่ความเย้ายวนใจทั้งหมดเป็นแค่ผิวนอกของชีวิตในเมือง ความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ต่างดิ้นรนต่อสู้เพื่อหาเงินจำนวนมากโดยทุกวัน ผู้คนจะรีบออกจากบ้านแต่เช้า และจะกลับมาตายรังในคืนนั้น
"เก็บข้าวของแกไปแล้วไสหัวออกไปจากแผนกการเงินนี้ซะ"
เสียงของชายวัยดึกดังขึ้น
"ผู้จัดการ เรื่องนี้เป็นความผิดของเจ้านั่น ทำไมเป็นฉันคนเดียวที่ถูกไล่ออกละ" เป่ยเฟิง ประท้วง
"ทำไมงั้นหรอ ? เรื่องเล็กน้อยนี้มันสามารถเพิ่มรายได้บริษัทหลายร้อย หลายพันหยวนทุกเดือน แค่นี้ยังไม่พออีกหรอ ? แกไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ออกไปซะ" ผู้จัดการตะโกนด้วยความอดทน
'โตแล้วยังโง่อีก ! ฝ่ายหนึ่งสามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทได้มาก ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นแค่พนักงานใหม่อยู่ในช่วงทดลองงาน แม้แต่คนปัญญาอ่อนยังรู้เลยว่าควรเลือกใครระหว่างสองคนนี้' ผู้จัดการคิดอย่างหงุดหงิด
ในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าเขาถูกเขี่ยทิ้ง เป่ยเฟิงทำได้แค่เงียบพร้อมกับกำมือทั้งสองข้างแน่น หันหลังกลับไปยังโต๊ะแล้วเริ่มเก็บข้าวของ ของเขา
"ชิ ชิ ดูนี้สิ เหมือนจะมีคนไม่พอใจนายนะ พี่ฉวน" มีเสียงร่าเริงดังขึ้นมา ในขณะที่เป่ยเฟิงกำลังเก็บของของเขา บางคนก็พอใจในความโชคร้ายของคนอื่นและแน่นอนเขาย่อมไม่พลาดที่จะหัวเราะเมื่อเห็นคนพวกนี้ล้มเหลว
"หืม นั่นมันคนบางคนที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ในความเป็นจริงก็แค่ทำยอดขายไม่ได้ในสองเดือนเลยไม่ใช่หรอนั่น" เสียงของผู้หญิงหัวเราะเยาะเมื่อเห็นเขาเดินผ่าน
เป่ยเฟิงไม่สนใจ เขาทำเพียงแค่เมินสายตาและเสียงเยาะเย้ยเหล่านั้น เขาเดินไปที่แผนกการเงินเพื่อรับเงินค่าจ้างสุดท้ายของเขา
บางทีอาจเป็นเพราะผู้จัดการได้แจ้งให้แผนกการเงินทราบล่วงหน้าแล้ว การจ่ายเงินงวดสุดท้ายถึงเร็วมาก
ค่าจ้างรายเดือนของพนักงานทดลองคือ 2,500 หยวน เงินเดือนแค่นี้ไม่เยอะนักสำหรับเมืองฝูโจวที่มีค่าครองชีพสูงมาก
ห้องเช่าที่นี่มันแพงถึง 1,200 หยวนต่อเดือน หลังจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ และอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันมันก็แทบจะทำให้เขาไม่มีเงินเหลือใช้แล้ว
หลังจากได้รับเงินเดือนสุดท้ายแล้ว เขาก็เดินจากไป และในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะไปไหนต่อดี
เป่ยเฟิงมีอายุ 26 ปี และชีวิตของเขาก็ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยซักอย่าง
เขาไม่มีเงินเก็บ ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน เป่ยเฟิง ไม่มีอะไรเลย แฟน ? อย่าไปพูดถึงมันเลย
เป่ยเฟิงไม่เคยเห็นพ่อแม่ของเขาเลยเมื่อตอนเด็ก เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ แต่โชคดีที่มีชายชราคนหนึ่งรู้สึกดีและเก็บเขามาเลี้ยง
ถ้าไม่อย่างงั้นเขาคงตายไปนานแล้ว หลังจากที่เขาเรียนจบโรงเรียนมัธยมต้นเขาก็เริ่มทำงานทันที
ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบเรียนหรือเรียนไม่เก่ง แต่ความจริงคือผลการเรียนของเป่ยเฟิงดีมาก เขาเป็นคนที่โดดเด่น แต่เหตุผลเดียวที่เขาไม่เรียนต่อก็คือชายชราใจดีแก่มากแล้ว บางทีอาจจะอยู่ไม่ถึงฤดูหนาวด้วยซ้ำ เป่ยเฟิงจึงมีทางเลือกเดียวคือต้องลาออกจากโรงเรียนแล้วพาชายชราที่มีอายุมากกลับไปที่หมู่บ้าน จากนั้นเขาก็กลับมาหางานต่อไป
แม้ว่างานที่ได้จะเหนื่อยหรือสกปรกแค่ไหน เป่ยเฟิงยังคงอดทนเนื่องจากค่าจ้างค่อนข้างดี
หลังจากทำงานมาได้หลายปี เป่ยเฟิงสามารถเก็บเงินออมได้เล็กน้อย แต่เมื่อตอนเขาอายุ 23 เป่ยเฟิงตกลงมาด้วยความสูง 3 ชั้นจากที่ทำงาน ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก
หัวหน้าคนงานเห็นว่าเรื่องมันแย่แล้วจึงรีบวิ่งหนีไปทันที เหลือแต่เพียงผู้ดูแลไซต์งานที่ไม่ได้หนีไป แต่เขาก็หลบอยู่ข้างหลังแทน
ปกติแล้วเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ตามกฏหมายผู้ที่ดูแลรับผิดชอบต้องรับผิดชอบและดูแลช่วยเหลือเขา แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาเลยเพราะคนที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือนั้นคือหัวหน้าคนงาน และตอนนี้เขาก็วิ่งหนีหายไปนานแล้ว !
ในที่สุดหลังจากถูกกดดันอย่างหนักโดยลุงในหมู่บ้านของเป่ยเฟิง หัวหน้างานก็ยอมแพ้แล้วยอมจ่ายเงินจำนวน 10,000 หยวนเพื่อจบเรื่องนี้
อย่างไงก็ตามเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เงินฝากของเป่ยเฟิงหายไปหมด เพราะมีบาดแผลหลายที่ที่ถูกซ่อนไว้ตามร่างกายของเขา
และตั้งแต่ตอนนั่นมันทำให้ชีวิตของเขาก็ไม่สามารถทำงานที่ใช้แรงหนักได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้แรงมากเกินไป เขาจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างของเขา
หมอได้บอกอย่างจริงจังกับเขาว่า เป่ยเฟิงมีโอกาส 80 % ที่เขาจะกลายเป็นอัมพาตเมื่อถึงวัย 40 !
จนถึงวันนี้บางส่วนของร่างกายเป่ยเฟิง ยังคงมีเหล็กติดอยู่ !
เดิมที่ลุงในหมู่บ้านของเป่ยเฟิงคิดจะให้เขาหมั้นกับลูกสาวของเขา จนถึงขั้นได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงานของฝ่ายหญิงแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเขา พวกเขาถอนคำพูดเกี่ยวกับการแต่งงานทันที
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ใครอยากจะใช้ชีวิตครึ่งหลังของพวกเขาเพื่อดูแลคนพิการละ ?
หลังจากใช้เวลาตลอดครึ่งปีที่อยู่บนเตียง ในที่สุดเป่ยเฟิงก็กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ
'หรือฉันจะกลับบ้านดี ?'
ความคิดดังกล่าวกระพริบผ่านใจของเป่ยเฟิง ช่วงเวลาที่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาแต่แค่แปปเดียวแล้วก็หายไป
'ตั้งแต่ที่ฉันอยู่ได้ด้วยตัวเองก็เท่ากับว่าต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น' เป่ยเฟิงคิดอย่างไม่เต็มใจ
ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้เท่าไรก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากว่า เขาควรไปเลี้ยงเป็ดหรือไก่จากนั้นก็ปลูกข้าวสาลีหรือปลูกอะไรก็ได้
หลังจากที่แก้ปัญหาในความคิดแล้ว เป่ยเฟิงตัดสินใจคว้ากระเป๋า ก้าวไปข้าวหน้าอย่างแข็งขันและหายตัวไปในฝูงชน
3 ชั่วโมงต่อมา เป่ยเฟิงลงที่สถานีขนส่งที่ห่างไกล
ตอนแรกเขาคิดจะมาโดยรถไฟความเร็งสูง แต่ว่าเพราะมันไม่สะดวกในการเอาข้าวของจำนวนมากมาด้วย ทำให้เขาต้องมาโดยรถประจำทาง
****
ที่บ้านเกิดของเป่ยเฟิง ชิงเฉิง
เมืองที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาสูง เป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศทัศนียภาพที่น่าตกใจ วันที่มีเมฆเราสามารถมองเห็นขอบฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆและรูปร่างที่คลุมเครือของภูเขาที่ยืนออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้
"ไปภูเขาชิงหลิงเท่าไหร่" เป่ยเฟิงถามขณะที่กำลังเดินขึ้นบนรถแท็กซี่ที่จอดข้างนอกสถานี
"ไปภูเขาชิงหลิง มันไกลอยู่น่า 100 หยวนละกัน"
เป่ยเฟิงกระพริบตาแล้วเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร
ชายคนนี้คิดว่าจะเชือดเขาได้ง่า ยๆ หรือยังไง ปกติค่าเดินทางมันควรจะไม่เกิน 40 ด้วยซ้ำ !
"เอ่อ น้องชายรอก่อน อย่าเพิ่งไป มะกี้บอกราคาผิดหน่ะ"
คนขับแท็กซี่เริ่มกังวลการหาลูกค้าแถวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจะปล่อยให้ธุรกิจนี้หลุดมือไปได้ยังไง !
"สี่สิบ !" เป่ยเฟิงหันหน้าไปแล้วพูดแห้ง ๆ
"น้องชาย มันน้อยเกินไป ขอเพิ่มอีกหน่อย เจ็ดสิบละกัน" คนขับรถพูดพร้อมกับแสดงท่าทางเจ็บปวดราวกับว่าเนื้อของเขากำลังโดนหั่นเป็นชิ้น ๆ
"ฉันคงให้สี่สิบถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดียวฉันหารถคันอื่นไปเอง"
เป่ยเฟิงไม่อ้อมค้อมแต่ก็ไม่ได้หยาบคายกับคนขับรถมากเกินไป
"ก็ได้ ๆ สี่สิบ"
คนขับรถพยายามจะไม่แสดงออกทางจมูกของเขาว่าเขาไม่พอใจแค่ไหน ที่เขาทำได้ก็แค่ถอนหายใจ หลังจากเป่ยเฟิงวางกระเป๋าลงข้าง ๆ รถก็ค่อย ๆ แล่นตัวออกไปทิ้งไว้เพียงเศษฝุ่น
"น้องชายมาเที่ยวพักผ่อนงั้นหรอ" คนขับรถถามด้วยเสียงที่เป็นมิตรหลังจากขับรถมาได้ซักระยะนึง
"ไม่ ฉันอาศัยอยู่ที่นี่" เป่ยเฟิงมองออกไปที่หน้าต่างแล้วด้วยกลับด้วยรอยยิ้ม
'ไม่น่าแปลกใจเลยทำไมถึงมันถึงดูฉลาดนัก ที่แท้ก็คนท้องถิ่นนี้เอง !' คนขับรถแท็กซี่ได้แต่ทำหน้าขมขืน ไอ้เจ้าเด็กนี้นึกว่าจะมาเที่ยว ที่ไหนได้มันก็คือคนที่นี่
บรรยากาศในรถเริ่มอึดอัดเล็กน้อย แต่ในช่วงสั้น ๆ คนขับรถก็ไม่สามารถทนได้ เขาจึงไอเบา ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
บรรยากาศของภูเขาชิงหลิงนั้นสวยงามเหมือนภาพวาด ไม่ว่าจะหินแปลก ๆ ที่ต่างก็วางอยู่ในพื้นที่โล่งโดดเดี่ยว อันเป็นความงามมาจากพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง และในตอนนี้เป็นพื้นที่ที่สวยงามระดับ AAA
โรงแรมเกิดขึ้นข้างถนนมากมาย เมื่อสองปีก่อนมีคนเสนอเป่ยเฟิง 1,500,00 หยวนสำหรับซื้อบ้านของเป่ยเฟิงหลังจากที่ชายชราเสียชีวิตลง แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะขายมัน
แม้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แต่เป่ยเฟิงก็ไม่เคยให้ความสำคัญที่จะขายบ้านหลังนี้ เพราะสิ่งเดียวที่ใช้ระลึกเหลืออยู่ของชายชราคนนั้นคือบ้านหลังนี้
แม้ถนนจะราบเรียบ แต่ต้องใช้เวลา 40 นาทีในการเดินทางมาถึงหมู่บ้านตรงเชิงเขาของภูเขาชิงหลิง
แถวของบ้านที่มีสีเก่าจาง ๆ ปรากฏตัวให้เห็นจากระยะไกลนำมาด้วยกลิ่นอายสมัยโบราณ พระอาทิตย์ตกนั้นคือแสงสุดท้ายของหมู่บ้านนี้ มันทำให้สภาพอาคารโบราณสวยงามราวกับว่าพวกมันถูกมัดด้วยทอง
เป่ยเฟิงส่งเงินค่าโดยสารและก้าวเดินไปทางถนนที่ปูด้วยหินปูน
ร้านขายของมากมายเรียงรายอยู่ตามสองข้างทาง บนถนนมีกลุ่มนักท่องเที่ยวรวมตัวกันเพื่อดูของที่ระลึกต่าง ๆ มากมาย
เป่ยเฟิงสังเกตเห็นว่ามีหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปจากสองปีก่อน ปัจจุบันหมู่บ้านมีความเจริญขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีบังกะโลแบบตะวันตกที่สร้างขึ้นทั่วทุกหนแห่ง
เป่ยเฟิงเลือกซื้อสิ่งของจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน พวกผักและวัตถุดิบในการทำอาหาร
ขณะที่เขาเดินมาเรื่อย ๆ อาคารข้างทางก็ค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ และค่อย ๆ เลือนหายไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยโคลนและต้นไม้สูง เป่ยเฟิงก้าวไปบนทางเท้าที่มีหินสีเขียวอยู่ทางเล็ก ๆ ที่เหล่านี้เต็มไปด้วยวัชพืชมากมาย
หลังจากที่เดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ประมาณ 10 นาที ตึกแถว 4 ห้อง ก็ปรากฎขึ้นมาให้เห็น ใช่แล้ว บ้านของเขาเอง
บ้านที่แท้จริงของเป่ยเฟิง
ED/N : Bei Feng = ลมเหนือ
------