บทที่ 5 เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน (1)
การแสดงความโกรธของเขาที่นี่คงไม่มีความหมาย เฟรย์เป็นนักเรียนในขณะที่เขาเป็นศาสตราจารย์ หากเขาจะลดตัวไปเล่นกับเฟรย์อำนาจของเขาจะมีแต่ลดลงเท่านั้น เควินจึงยิ้มและปรบมือแทน
"ดีดี เอาล่ะ มีบางอย่างที่สำคัญกว่าชั้นเรียน ฉันแน่ใจว่านายคงไม่เสียเวลาไปเปล่าๆ แน่นอนว่านายคงมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย”
"ขอบคุณครับ"
“ถ้างั้นเรามาหยุดพูดคุยเรือยเปือยแล้วเริ่มจริงจังได้แล้ว”
เควินเปิดอ่านหนังสือเรียน ด้วยรอยยิ้มเขากล่าว
“เฟรย์นี่คือคำถามสำหรับนายโดยเฉพาะ”
นักเรียนกลั้นหายใจ คำถามของเควินเป็นที่โจษจันว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
เขาไม่เคยถามคำถามที่เดาได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นการลงโทษสำหรับการตอบไม่ถูกนั้นรุนแรงมาก
นอกจากการลดเกรดแล้วยังมีบางครั้งที่นักเรียนต้องยืนเรียนจนจบชั้นเรียน เป้าหมายของเควินคือเฟรย์ซึ่งไม่เคยเข้าร่วมห้องเรียนของเขามาก่อนเลย
“คาซาจินราชานักรบเวทมนตร์ใช้สิ่งประดิษฐ์หรืออาวุธ 3ชิ้น มีอะไรบ้าง?”
เฟรย์ไม่ได้ตอบ
นักเรียนส่วนมากก็คิดว่าคำถามนั้นน่ารังเกียจ ราชานักรบเวทมนตร์คาซาจินเป็นนักรบเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
นักเรียนในสถาบันเวสต์โร้ดที่มุ่งเน้นการใช้เวทมนตร์ซะส่วนใหญ่รู้จักเขาในฐานะหนึ่งในสหายของมหาจอมเวทย์ลูคัส บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคาซาจินเป็นใคร
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถูกละเว้นจาก “ประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เวทย์มนต์” โดยสิ้นเชิง
แต่การกล่าวถึงของเขามีเพียงสามบรรทัดเท่านั้นในขณะที่เขาเดินตามเส้นทางของนักรบเวทย์
แน่นอนว่าข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ที่เขาใช้ไม่ได้ถูกบันทึกมาก่อน
เควินยิ้ม
“เป็นอะไรไปเฟรย์? นายใช้เวลาทั้งหมดนั้นไปกับการสะสมความรู้ที่หาไม่ได้ในชั้นเรียนของฉันไม่ใช่หรือ? หรือว่านายคิดว่าความสำเร็จของนักรบเวทมนตร์มันไม่คุ้มค่ากับเวลาของนาย?”
เฟรย์ยังคงเงียบ ขณะที่เขาจะตอบนักเรียนที่นั่งด้านหลังก็พูดแทนเขา
“หนูขอคัดค้านค่ะ เท่าที่หนูทราบไม่มีบันทึกประวัติของราชานักรบเวทมนต์คาซาจินอย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ของนักเวทย์”
ครู่หนึ่งเควินก็เงียบไป หากไม่ใช่เพราะความผูกพันทางสายเลือดของเธอกับสถาบันแล้วละก็ อิซาเบลทรีซไนน์ เธอคงจะถูกไล่ออกจากห้องเรียนด้วยวิธีที่เลวร้ายยิ่งกว่าเฟรย์
เธอเคยขัดขวางการสอนของเขาในทุกๆด้าน
เควินตอบอย่างนุ่มนวล
“คาซาจินเป็นคนแรกที่พัฒนาวิธีการที่ใช้มานาเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพ แม้ว่าการฝึกเวทย์ของเขาจะแตกต่างกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความก้าวหน้าในฐานะนักเวทย์ได้”
“แต่คาซาจินเป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่ใช้มานาเพียงอย่างเดียวเพื่อฝึกฝนร่างกายของเขา บุคคลเช่นนี้ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นผู้ใช้เวทย์มนต์จริงๆ”
นั่นเป็นเรื่องจริง ความรู้ของอิซาเบลนั้นล้ำหน้าเพื่อนๆ และไม่น้อยหน้าไปกว่าศาสตราจารย์
แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงอยู่บนใบหน้าของเควิน
“แล้วคุณเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคนที่เดินตามเส้นทางของนักรบเวทย์มนตร์หรืออิซาเบล?”
“…นั่นเป็นการตีความที่แปลกใหม่”
“โอ้นั่นอาจจะใช่ อย่างไรก็ตามนักรบเวทมนตร์ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ใช้เวทย์มนต์หรือไม่ ยังคงเป็นข้อถกเถียงที่สำคัญในแวดวงวิชาการ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่บางครั้งอาจนำไปสู่การแข่งขันด้วยความภาคภูมิใจระหว่างสังคมแห่งการเรียนรู้ แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นของคุณเป็นเรื่องสำคัญ แต่คุณต้องใส่ใจกับคำพูดของคุณให้มากขึ้น หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในฐานะนักเวทย์นั่นก็คือ”
"แต่…"
“คนที่ฉันถามคือเฟรย์ไม่ใช่คุณนะอิซาเบล”
อิซาเบลกัดริมฝีปากล่าง เธอไม่ชอบเควินตั้งแต่แรกและคิดว่าเขาน่ารังเกียจ เขาเป็นคนที่แย่ที่สุดที่ชอบทรมานคนอ่อนแอเพื่อความสะใจของตัวเอง นอกจากนี้เธอยังตระหนักดีถึงการจ้องมองที่น่ากลัวของเขาที่มักจะกวาดสายตาไปตามร่างกายของเธอ
ถึงตอนนี้เควินคิดว่าเขาเป็นคนสุขุมแต่อิซาเบลรู้ว่าไม่จริง เธอรู้สึกสยดสยองขณะที่เขาแอบจ้องมองเธอราวกับว่าแมลงนับพันตัวกำลังดิ้นพล่านไปทั่วร่างของเธอ
ดวงตาของเควินหรี่ลงเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของอิซาเบล
‘ช่างน่าเสียดาย ถ้าเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้อำนวยการของสถาบันการศึกษาแล้วละก็...
เฟรย์ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอด ในที่สุดก็ตอบกลับ
“ถุงมือราชาเสือเข็มขัดยักษ์และสร้อยคอพายุ”
“…”
ดวงตาของเควินเบิกกว้างในขณะที่อิซาเบลจ้องมองเฟรย์ด้วยความประหลาดใจ
“ผมผิดเหรอ?”
ความทรงจำของเฟรย์ในอดีตนั้นเริ่มจางลงแต่เฟรย์ก็ตอบออกไป
"ถูกต้อง"
"ค่อยยังชั่ว"
เกิดความโกลาหลในหมู่นักเรียน เฟรย์ตอบคำถามได้อย่างสบายใจแม้ว่าพวกเขาจะคาดเดาแทบไม่ได้ก็ตาม แต่มันจะเป็นอะไรที่แปลกมากถ้าเขาไม่รู้เพราะลูคัสผู้ยิ่งใหญ่และสหายของเขานั้นสนิทสนมกันมาก ทั้งสี่คนเป็นเหมือนครอบครัวซึ่งกันและกัน ตั้งแต่อาหารที่พวกเขาโปรดปรานไปจนถึงนิสัยที่ไม่ได้มีสำคัญ พวกเขาก็รู้มันทั้งหมด
ขณะที่เฟรย์รำพึงสีหน้าของเขาก็หรี่ลงชั่วขณะ เควินกลายเป็นคนเคร่งขรึมในทันที
“นี่เป็นเพียงการอุ่นเครื่อง ฉันยังมีคำถามเพิ่มเติมสำหรับนายนะเฟรย์”
“ได้เลย”
เฟรย์ค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์เช่นนี้
* * *
'เหลือเชื่อ'
เควินอ้าปากค้างใส่เฟรย์อย่างเปิดเผย ความสนใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับหนังสือราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เควินพูดเลยแม้แต่น้อย
‘เขาตอบถูกทุกข้อ?’
ตั้งแต่คำถามเกี่ยวกับคาซาจิน เควินก็ถามคำถามอีกห้าข้อ ทั้งหมดยากพอที่จะทำให้หลายๆคนงงงวยแม้แต่ในหมู่ของนักเรียนหัวกระทิ โดยเฉพาะสองข้อสุดท้าย มันเป็นคำถามที่จะสามารถตอบได้โดยอาจารย์ในสาขาที่เชี่ยวชาญเท่านั้น
เฟรย์ไม่ได้ตอบทันที ก่อนจะตอบเขาจะนิ่งเงียบราวกับว่ากำลังย้อนความทรงจำเก่าๆ ความเงียบของเขาคงจะใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาทีไปจนถึงหนึ่งนาที
แต่สิ่งที่พูดออกมาจากปากของเฟรย์ก็ถูกต้อง เควินเสียศูนย์และพ่ายแพ้
นี่คือเฟรย์เบลคจริงๆหรือ? เราได้ยินมาว่าผลการเรียนของเขาไม่ได้แย่ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่เฟรย์มองมาที่เขาเควินจะกรีดร้องเหมือนหนูที่อยู่ต่อหน้าแมว
ดวงตาของเฟรย์มีความยินดีกับแต่ละคำตอบที่เขาให้ ในขณะที่เสียงของเควินค่อยๆเงียบลง ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถส่งเสียงได้เลยและทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง
‘ทั้งๆที่เขาควรจะเป็นความอัปยศของสถาบันเวสต์โร้ด!’
เฟรย์ในอดีตจะคงอายจนหน้าแดง แต่เฟรย์ในตอนนี้ล่ะ? เขาไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย เขาไม่ได้หน้าแดงหรือพูดติดอ่าง แต่แววตาของเขากลับชัดเจนและน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เควินคุ้นเคยกับคนประเภทนี้เป็นอย่างดี พวกเขาเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
เช่นเดียวกับศาสตราจารย์ดิโอและศาสตราจารย์อเดเลีย!
‘เป็นไปไม่ได้!’
เฟรย์จะมาอยู่ในระดับเดียวกันกับคณาจารย์ที่โดดเด่นที่สุดสองคนของ สถาบันเวสต์โร้ดได้อย่างไร? เควินถอนความคิดของเขาทันที
'นั่นมันดีมากเลยละ'
ในขณะเดียวกันการตั้งคำถามของเควินก็เป็นแรงกระตุ้นที่ดีสำหรับเฟรย์ เพราะความทรงจำที่เขาคิดว่าลืมไปนานแล้วได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งและเริ่มต้นปฏิกิริยาลูกโซ่
เควินคงไม่เคยฝันถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ยิ่งคำถามของเขาหนักขึ้นเท่าไหร่พวกมันก็จะเป็นประโยชน์กับเฟรย์มากขึ้นเท่านั้น
เฟรย์ไม่สนใจว่าเขาผิด แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาหวังไว้ในระดับหนึ่ง เขาต้องการคำยืนยันว่านักเวทย์ไม่ได้ถดถอยในช่วงเวลา 4,000 ปี แต่มันกลับกัน
ไม่มีนักเวทย์สาขาใดที่ก้าวหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียว ไร้สาระแค่ไหน เป็นเรื่องน่าขันเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียกยุคที่นักเวทย์ได้ส่องสว่างที่สุดเมื่อ 4,000 ปีก่อนว่า "ยุคแห่งแสง"
“มีอะไรอีกไหมที่คุณอยากถาม?”
เควินพูดไม่ออกเมือถูกถามจากเฟรย์กลับ เขาทำได้เพียงแค่กัดที่ริมฝีปากของเขาจนกระทั่งดวงตาของเขาลดลงไปที่หนังสือเรียน
“…หน้า 131”
เควินไม่สามารถซ่อนความอัปยศอดสูของเขาได้ เขาเพิ่งยอมรับความพ่ายแพ้ในระหว่างชั้นเรียนของเขาเอง
อีกไม่นานก็ถึงเวลาที่ชั้นเรียนจบลง เควินแขวะใส่เฟรย์ก่อนจะเดินจากไป
‘ฉันควรไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารนะ’
ในขณะที่เฟรย์นึกถึงอาหารที่อร่อยเป็นพิเศษที่เขาทานที่นั่นปากของเขาก็เริ่มปริ่มน้ำลาย นับตั้งแต่เขาหยุดออกมาจากอเวจีการกินเป็นเรืองที่สนุกมาก
เฟรย์ลุกขึ้นจากที่นั่งและตระหนักว่านักเรียนที่อยู่รอบๆตัวเขาเฝ้าดูเขาอยู่สักพักหนึ่ง
หลายคนลังเลที่จะพูด เฟรย์ตกเป็นเป้าหมายของเดวิดแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเพิกเฉยต่อคำเตือนของเดวิดได้
“นายจะไปโรงอาหารด้วยไหม?”
หนึ่งในนั้นคืออิซาเบล อิทธิพลของเธอในสถาบันนั้นยิ่งใหญ่กว่าของเดวิดมาก เธอมองตรงไปที่เฟรย์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจต้านทานได้ในสายตาที่ดูเงียบสงบของเธอ
‘ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง’
อิซาเบลรู้จักเฟรย์เบลด พวกเขาเป็นตระกูลนักเวทย์ที่ได้รับการยกย่อง เมื่อเธอได้ยินครั้งแรกว่ามีนักเวทย์จากบ้านเบลคมาเรียนที่นี้ เธอคาดหวังว่าเขาจะมีพรสวรรค์มากมาย
แต่แล้วความคาดหวังของอิซาเบลก็พังทลายในไม่ช้า พูดได้ว่าเฟรย์ไม่มีพรสวรรค์เลย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเบลคแล้ว เขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในสถาบันด้วยซ้ำ
เฟรย์นั้นเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ความขี้ขลาดที่รบกวนทุกย่างก้าวของเขาหายไป เขาไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของเดวิดและกลุ่มที่แกล้งเขาอีกต่อไป
เขาไม่ได้กลัวคำถามมากมายของเควินเลย แต่กลับตอบอย่างสบายใจ
เฟรย์กวาดตาผ่านเธอและเดินไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่งอิซาเบลก็มึนงง
‘ฉันถูกเมินหรือเปล่านี้?’
อย่างน้อยก็เป็นครั้งแรกของเธอที่ถูกเพิกเฉยตั้งแต่เข้ามาเรียนในสถาบัน เธอตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่งแล้วเธอก็รีบวิ่งไล่ตามเฟรย์ คราวนี้เธอยืนอยู่ข้างๆเขาและพูดชัดขึ้น
“เฟรย์เบลค”
จากนั้นเฟรย์ก็เหลือบมองอิซาเบลด้วยตาที่หมุ่นไปมา
"คุณกำลังพูดกับผมเหรอ?"
"ใช่"
“ผมไม่รู้ตัวนะพอดีผมกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร”
เฟรย์ไม่ได้ชะลอแม้แต่จะตอบเธอ ดังนั้นอิซาเบลเลยหันมาไล่ตามเขาแทน
“เกี่ยวกับคำถามสุดท้ายที่ศาสตราจารย์เควินถาม”
คำถามสุดท้าย มันคืออะไรนะ? เฟรย์ครุ่นคิดถึงคำตอบในไม่ช้า
“วิธีการฝึกสามวิธีของชไวเซอร์? (Editor note : หรือจะเป็นของคาซาจินไม่แน่ใจ)”
“ใช่อันนั้นแหละ”
ระหว่างที่คุยกันพวกเขาก็มาถึงโรงอาหาร เฟรย์รับประทานอาหารกลางวันหลังจากแลกตั๋วอาหารแล้วก็นั่งลง อิซาเบลวางถาดของเธอไว้ตรงข้ามกับของเขา
คนรอบข้างปั่นป่วนในทันที
อิซาเบลเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มันไม่ได้เกิดเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับสถาบันเท่านั้น ผลการเรียนของเธอโดดเด่นพอที่จะติดอันดับหนึ่งในสามและรูปร่างหน้าตาของเธอก็สวยงาม แม้แต่เดวิดยังเคยจีบอิสซาเบลหลายต่อหลายครั้ง
แต่ที่นั่นเธอนั่งอยู่ตรงข้ามเฟรย์ นักเรียนที่อ่อนแอที่สุดและกำลังทานอาหารกลางวันด้วยกัน
อิซาเบลนั่งกับเฟรย์เหรอ? ยกเว้นคนที่อยู่ในชั้นเรียนเดียวกับเฟรย์ นักเรียนคนอื่นจ้องมองอย่างดุร้ายไปในทิศทางของเขา
“ฉันคิดว่าชไวเซอร์ ได้พัฒนาวิธีการฝึกเพียงสองวิธี การดูดซึมและการขยาย แต่นายพูดถึง”การต่อสู้" นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยิน "
“เป็นอย่างนั้นหรือ”
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ก็เป็นวิธีที่อันตรายที่สุดในสามวิธี เฟรย์หั่นไส้กรอกชิ้นใหญ่และยัดมันลงทันที มันอร่อยมาก
“ตอนแรกฉันคิดว่านายแค่พูดมั่วๆตามใจ แต่จากปฏิกิริยาของศาสตราจารย์คำตอบดูเหมือนจะถูก”
"คุณพยายามจะพูดเรื่องอะไร?"
อิซาเบลลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“การต่อสู้คือวิธีการฝึกแบบใด?”
มันเป็นสิ่งที่อิซาเบลอยากรู้มากที่สุดและเฟรย์ตอบเบา ๆ
“ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นไหนแล้ว”
“ฉันอยู่ในระดับสามดาวแล้ว”
อิซาเบลพูดพร้อมกับถ่อมตัว แต่เฟรย์ตกใจและตกอยู่ในความคิดลึกๆ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยการพยักหน้า
“นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับวัยของคุณ”
ในขณะนั้นอิซาเบลรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังพูดกับนักเวทย์ชราที่ชาญฉลาดแทนที่จะเป็นเฟรย์ แต่แล้วเธอก็จำสถานการณ์ของเขาได้และดูสำนึกผิด
“ดูเหมือนว่าคุณไม่มีข้อข้องใจเลย”
"ถูกตัอง"
เฟรย์ทานอาหารเสร็จในพริบตาเดียวขณะที่อิซาเบลกินสลัดเพียงสองคำ
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
“รอสักครู่ วิธีต่อสู้ มันคืออะไร?”
“ลองหาอ่านในหนังสือสิ - สิ่งที่ฉันรู้อาจไม่ถูก”
ความรู้ของเขาอาจจะล้าสมัยเขาจึงไม่แน่ใจว่าจะมีผลข้างเคียงแปลกๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เฟรย์เดินออกจากโรงอาหาร ความมั่นใจจากสายตาที่เขามองเธอนั้นทำให้อิซาเบลถึงกับสับสน