บทที่ 120 ไม่พอใจ!
บทที่ 120 ไม่พอใจ!
จี้เฟิง จ้าวไค และฮั่นจงที่ยืนอยู่ข้างๆตู้เส้าเฟิงในเวลานี้ต่างก็ยิ้มขึ้นมาทันทีเมื่อพวกเขาเห็นว่าตู้เส้าเฟิงได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีม ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะครูฝึกบอกว่าถ้าเป็นลูกผู้ชายต้องมีความกล้าหาญและเลือดนักสู้ จึงทำให้ตู้เส้าเฟิงยอมรับหน้าที่นี้แต่โดยดี
ใบหน้าของหวังเสี่ยวหู่ตอนนี้แดงก่ำเพราะอารมณ์แห่งโทสะ แม้เขาจะไม่คาดคิดว่าจี้เฟิงจะปฏิเสธแต่อย่างน้อยจี้เฟิงก็ยังรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แต่ไอ้ยักษ์ผิวดำตู้เส้าเฟิงนั่น ทำไมมันถึงยังกล้าคว้าตำแหน่งหัวหน้าทีมของเขาไปอย่างหน้าตาเฉย
“ในเมื่อแกแย่งตำแหน่งของฉันไปอย่างหน้าด้านๆ คอยดูแล้วกันว่าแกจะต้องเจอกับอะไร!” หวังเสี่ยวหู่คิดอย่างโกรธแค้น
ประโยคต่อมาของหูเถี่ยจวินทำให้หวังเสี่ยวหู่ยิ่งโกรธไปมากกว่าเดิม
“นับตั้งแต่วันนี้ หวังเสี่ยวหู่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งตัวแทนหัวหน้าทีม และให้ตู้เส้าเฟิงเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่หัวหน้าทีมอย่างเป็นทางการ และต่อจากนี้ตู้เส้าเฟิงเขาจะมาเป็นผู้ช่วยของผมในการฝึกทหารกับพวกคุณเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม!” หูเถี่ยจวินประกาศแต่งตั้งตู้เส้าเฟิงเป็นหัวหน้าทีมอย่างเป็นทางการให้นักศึกษาทุกคนรับรู้
หวังเสี่ยวหู่โกรธจนมือสั่น เขาตะโกนขึ้น “ผมขอคัดค้าน!”
ใบหน้าของหูเถี่ยจวินดูเย็นชาขึ้นทันทีและพูดว่า “ก่อนที่จะพูดคุณต้องรายงานก่อน!”
หวังเสี่ยวหูสำลักเล็กน้อยและพูดว่า “รายงานครูฝึก ผมขอคัดค้าน!”
“คุณจะคัดค้านเรื่องอะไร?” หูเถี่ยจวินขมวดคิ้ว ในความเป็นจริงเขารู้อยู่แล้วว่าหวังเสี่ยวหู่เป็นใคร เพราะแม้แต่อาจารย์ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยก็ได้บอกกับเขาไว้ก่อนแล้วว่า ขอให้หวังเสี่ยวหู่เป็นผู้รับตำแหน่งหัวหน้าทีม อย่างไรก็ตามหูเถี่ยจวินเป็นคนซื่อตรงและรักในความยุติธรรม เขารังเกียจมากที่สุดก็คือพวกลูกหลานของผู้มีอำนาจทั้งหลายที่อาศัยเพียงแต่บารมีของตระกูลเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
แต่ถ้าพวกลูกหลานของคนมีอำนาจเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ หูเถี่ยจวินจะไม่ขัดข้องหรือโต้แย้งอะไรเลย เพราะโดยปกติแล้วการจะอยู่รอดได้ในสังคมหากไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับใครเลย มันก็เป็นเรื่องยาก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นหวังเสี่ยวหู่ตั้งแต่แวบแรก เขาก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที
หูเถี่ยจวินได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจตั้งแต่เห็นทรงผมดัดหยิกและทำเป็นสีแดงเข้มของหวังเสี่ยวหู่ โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงร่างกายของเขาที่ดูอ่อนปวกเปียกไม่ต่างกับเนย แล้วเขาจะให้คนแบบนี้มาเป็นหัวหน้าทีมได้อย่างไร!
พูดกันตามตรงคนที่หูเถี่ยจวินถูกใจมากที่สุดก็คือจี้เฟิง แต่จี้เฟิงเลือกที่จะปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปเลือกตู้เส้าเฟิง คนที่เขาถูกใจและเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าทีมรองลงมาจากจี้เฟิง
ในสายตาของหูเถี่ยจวิน ถึงแม้การเคลื่อนไหวของตู้เส้าเฟิงจะดูแข็งๆและยังไม่ได้มาตรฐานแต่เขาก็มีร่างกายที่แข็งแรง น่าจะเคยผ่านการฝึกฝนมาไม่น้อย นั่นจึงเป็นเรื่องปกติที่ทหารอย่างหูเถี่ยจวินจะเลือกคนจากความแข็งแกร่งมารับตำแหน่งหัวหน้าทีม
“รายงานครูฝึกหู คุณเป็นคนถามเองว่าใครที่อยากจะเป็นหัวหน้าทีมก็ให้เสนอตัวยกมือขึ้น และผมก็เป็นคนเดียวที่ยกมือในตอนนั้น แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงยังเลือกตู้เส้าเฟิงมาเป็นหัวหน้าทีม?” หวังเสี่ยวหู่ถามอย่างไม่พอใจ
หูเถี่ยจวินตะคอกอย่างเย็นชา “ผมได้ประกาศอย่างชัดเจนไปแล้ว ว่าคุณจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าทีมเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะคนที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตำแหน่งหัวหน้าทีมไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ แต่จะต้องมีพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรง และมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆด้วย ไม่เช่นนั้นจะสามารถทำหน้าที่ช่วยผมในการฝึกนักศึกษาคนอื่นๆได้อย่างไร ในขณะที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถทำได้!”
“แล้วทำไมถึงเป็นผมไม่ได้?” หวังเสี่ยวหู่ถาม
หูเถี่ยจวินขมวดคิ้ว “คุณคิดว่าคุณทำได้? แต่ผมคิดว่าตู้เส้าเฟิงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่า ทุกอย่างจะดำเนินการต่อไปตามนี้ทันที!”
หูเถี่ยจวินไม่มีเวลาว่างและความอดทนมากพอที่จะมานั่งอธิบายเหตุผลในสิ่งที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วกับเด็กปวกเปียกคนนี้
“คุณ...” หวังเสี่ยวหู่ถูกตัดบทจนพูดไม่ออก แต่ในที่สุดเขาก็กัดฟันพูดด้วยความโกรธ “ผมจะต้องได้ตำแหน่งหัวหน้าทีมอย่างแน่นอน!”
หูเถี่ยจวินจ้องหน้าหวังเสี่ยวหู่ “ถ้าคุณไม่พอใจมันก็เป็นเรื่องของคุณ แต่ตอนนี้ผมได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว!”
หวังเสี่ยวหู่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาได้แต่คิดในใจว่าเขาจะต้องทำให้หูเถี่ยจวินคนนี้ไม่สามารถทำงานในกองทัพได้อีกและเขาจะต้องอับอายต่อหน้าสาธารณชน!
“ตำแหน่งนี้มันจะต้องเป็นของฉัน!” เขามุ่งมั่นอยู่ในใจ คนอื่นๆรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของรองคณบดีฝ่ายการศึกษาแต่พวกเขาไม่รู้ว่าอาของเขาเป็นถึงรองผู้บัญชาการทหารประจำภาคตะวันออกเฉียงใต้ และอาของเขาก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าที่รับผิดชอบการฝึกทหารใหม่ของสหพันธ์มหาวิทยาลัย
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องโทรหาอาของฉันสักหน่อยแล้ว คราวนี้ไม่เพียงแต่หูเถี่ยจวินเท่านั้นที่จะต้องถูกจัดการแต่ไอ้ตู้เส้าเฟิงกับไอ้จี้เฟิงก็จะต้องโดนไปด้วย!”
เนื่องจากหวังเสี่ยวหู่รู้สึกว่าเขาถูกปล้นตำแหน่งหัวหน้าทีมไปอย่างหน้าด้านๆ และเรื่องนี้มันก็ทำให้เขาขายหน้ามาก เขาจึงพาลเกลียดตู้เส้าเฟิงและจี้เฟิงไปด้วย
จี้เฟิงผู้ซึ่งยังไม่รู้ตัวว่าตัวเขานั้นกลายเป็นหนามยอกอกคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ต่อให้เขารู้ เขาก็คงจะทำแค่เพียงยิ้มแล้วส่ายหัวอย่างไม่แยแส เพราะสำหรับจี้เฟิงแล้วคนอย่างหวังเสี่ยวหู่ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยด้วยซ้ำ
เมื่อตำแหน่งหัวหน้าทีมได้ถูกกำหนดอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ตู้เส้าเฟิงก็ถูกเรียกให้ไปยืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่มนักศึกษาทันที โดยที่หันหน้าเข้าหานักศึกษาคนอื่นๆ ที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ในท่าของทหาร
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นการฝึกเดินอย่างเป็นระเบียบและพร้อมเพรียงกันรวมถึงรู้จักการเข้าแถวในแบบต่างๆ หัวหน้าทีมตู้เส้าเฟิงมีหน้าที่ช่วยครูฝึกหูด้วยการตะโกนใช้คำสั่งการจัดแถวในรูปแบบต่างๆ
เมื่อการฝึกท่าเดินต่างๆของทหารผ่านไป 1 ชั่วโมง ตู้เส้าเฟิงก็ตะโกนขึ้น “พักผ่อนได้!”
นักศึกษาทุกคนอดไม่ได้ที่จะนั่งลงไปกับพื้นพร้อมกับร้องโอดโอยกันระงม พวกเขาต่างนวดและทุบขาของตัวเองด้วยสีหน้าที่แสดงความเหนื่อยล้าสุดขีด
ตู้เส้าเฟิงเดินไปหาจี้เฟิงและเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆแล้วนั่งลง
ฮั่นจงยิ้มแล้วพูดว่า “เหล่าตู้ ไม่ใช่ว่านายบอกว่านายไม่ได้สนใจตำแหน่งหัวหน้าทีมหรอกเหรอ! แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
ตู้เส้าเฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่จี้น่าจะเดาได้ไม่ยาก!”
จี้เฟิงชะงักไปครู่หนึ่งหลังจากคิดได้เขาก็หัวเราะออกมาทันที “เหล่าตู้ ไม่ใช่ว่านายคิดที่จะปะทะฝีมือกับครูฝึกหรอกนะ?”
ตู้เส้าเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แหม่พี่จี้ พี่นี่รู้ใจฉันจริงๆ ฉันคิดว่าครูฝึกหูเขาน่าจะมีฝีมือร้ายกาจไม่ใช่เล่น แล้วในฐานะหัวหน้าทีมที่ได้ใกล้ชิดกับเขาแทบจะตลอด มันจะทำให้ฉันได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากเขา แล้วมันจะดีไม่น้อยถ้าโอกาสที่ว่านั่นมันคือการได้เรียนรู้กับเขาตัวต่อตัว หึหึ!”
แต่เมื่อพูดจบเขาก็ส่ายหัวและถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ.. ตอนแรกฉันก็คิดว่าฉันคงจะได้ประลองฝีมือกับพี่จี้ แต่ทักษะของพี่จี้นั้นโหดเหี้ยมเกินไป ดังนั้นทักษะกังฟูของฉันคงไม่สามารถเทียบได้กับทักษะนักฆ่าของพี่จี้!”
จ้าวไคและฮั่นจงถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าสาเหตุที่ตู้เส้าเฟิงยอมรับตำแหน่งหัวทีมแต่โดยดีเป็นเพราะเหตุผลนี้!
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงขมวดคิ้วและดวงตาของเขาก็หรี่ลง กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาเกร็งแน่นขึ้นและมีแสงเย็นวาบในดวงตาของเขา นั่นเป็นเพราะว่าจู่ๆจี้เฟิงก็รู้สึกได้ถึงสายตาอาฆาตอย่างรุนแรงกำลังจ้องมองมาที่เขา
เขาหันหน้าไปมองทางด้านที่เขาสัมผัสได้โดยที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าถูกมอง และทันใดนั้นเขาก็พบว่าหวังเสี่ยวหู่ที่อยู่แถวหน้ารีบหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว จี้เฟิงจึงแน่ใจว่าคนที่มองเขาด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายเมื่อครู่คือหวังเสี่ยวหู่แน่นอน
สีหน้าของจี้เฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้ทันทีว่าหวังเสี่ยวหู่ต้องไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
จี้เฟิงเยาะเย้ยอยู่ในใจ “ถ้ายังอยากมีชีวิตที่ปกติสุข ก็อย่ารนหาที่โดยการมายุ่มย่ามกับฉันเชียว เพราะถ้าฉันตอบโต้อะไรไป ก็อย่ามาโทษว่าฉันใจร้ายทีหลังก็แล้วกัน!”
ในตอนนั้นเองหวังเสี่ยวหู่ก็แอบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโทรหาอาของเขาทันที “อา... ผมเองเสี่ยวหู่....”
การฝึกทหารใหม่ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ และการฝึกในวันแรกก็ผ่านไปแบบนี้ แม้ว่าทุกคนจะพากันบ่น แต่จริงๆแล้วการฝึกทหารวันแรกนั้นกินเวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้นและมันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น แต่สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับน้องใหม่เหล่านี้คือการฝึกในวันต่อมา
ความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับจากการฝึกทหารในวันแรกสร้างความเหนื่อยล้าและปวดระบมจนทำให้พวกเขานอนไม่หลับแทบจะทั้งคืน แล้วเหมือนกับว่าเวลาแห่งการพักผ่อนของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ก็มีเสียงปลุกดังขึ้นในตอน 6 โมงเช้า พวกเขาจึงทำได้แค่บ่นแล้วก็บ่น
สำหรับน้องใหม่เหล่านี้การพักผ่อนเพียงคืนเดียวไม่มีทางที่จะทำให้พวกเขาสามารถฟื้นตัวจากการฝึกทหารอย่างเข้มงวดในช่วงบ่ายของเมื่อวานได้
การฝึกชั่วโมงแรกในเช้าวันต่อมาคือการทำท่าของทหารท่าหนึ่ง โดยเป็นการยืนนิ่งไม่ไหวติงมันดูเหมือนเป็นท่าที่ทำได้ง่าย แต่การที่พวกเขายังคงระบมจากการฝึกของเมื่อวานแล้วต้องมายืนนิ่งโดยไม่ขยับจึงเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขารู้สึกทรมานมาก
แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องฝึกเพราะไม่มีใครอยากถูกไล่ออก และการฝึกทหารอย่างจริงจังนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่หน่วยกิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่คนที่ไม่สามารถอดทนฝึกจนผ่านได้ พวกเขาจะไม่ได้รับประกาศนียบัตร เพราะการฝึกฝนทางการทหารนี้ก็เป็นหนึ่งในหลักสูตรภาคบังคับของนึกศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยด้วย
ดังนั้นเพื่อประกาศนียบัตรและเพื่อความภาคภูมิใจในความสำเร็จ พวกเขาต่างก็ต้องกัดฟันอดทนทำต่อไป
จี้เฟิงที่ตอนนี้ก็ขมวดคิ้วอยู่เช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาเหนื่อยจากการฝึก แต่เป็นเพราะเขากำลังเป็นห่วงและสงสัยว่าเล่ยเล่ยของเขาจะอดทนกับการฝึกอย่างหนักนี้ได้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงรูปร่างหน้าตาที่สวยงามและบอบบางรวมถึงรอยยิ้มของเธอ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
“แต่นิสัยที่เด็ดเดี่ยวของเล่ยเล่ย แม้ว่าเธอจะเหนื่อยแค่ไหน เธอคงไม่คิดที่จะเรียกหาฉันอย่างแน่นอน” จี้เฟิงได้แต่คิดอยู่ในใจ “ดูเหมือนว่าตอนพักกลางวันฉันจะต้องโทรหาจางเล่ยซักหน่อย พวกเขาอยู่คณะเดียวกัน น่าจะพอรู้ว่าเล่ยเล่ยเป็นยังไงบ้าง!”
ถ้าถงเล่ยทนไม่ได้จริงๆ จี้เฟิงก็ไม่รังเกียจที่จะใช้เส้นสายของตระกูลโดยการแจ้งเรื่องนี้กับอาสามของเขาเพื่อช่วยให้ถงเล่ยไม่ต้องอดทนทรมานเข้าร่วมการฝึกทหาร
คุณรู้ไหมว่าโทรศัพท์มือถือที่อาคนที่สามของจี้เฟิงมอบให้กับจี้เฟิง มีหมายเลขมากกว่าสิบหมายเลขและหมายเลขทั้งหมดนี้ต่างเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลจี้ แล้วถ้าหากจี้เฟิงพบเหตุฉุกเฉิน เขาสามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ทันที นี่คือความตั้งใจของจี้เจิ้นผิงที่มอบโทรศัพท์เครื่องนี้ให้กับจี้เฟิงหลานชายของเขา
จู่ๆจี้เฟิงก็รู้สึกถึงการถูกจ้องมอง แต่เนื่องจากเขากำลังฝึกอยู่เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวและหันไปมองได้ เขาจึงได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากการคำนวณเขายืนอยู่ในแถวที่สองนับจากท้ายและผู้ที่สามารถจ้องมองเขาได้ในตอนนี้ก็มีเพียงคนที่อยู่แถวด้านหลังของเขาเท่านั้น
แต่จี้เฟิงรู้สึกได้ว่า สายตาที่จ้องมองมานั้นไม่ธรรมดาเลย เป็นสายตาที่เฉียบคม ซึ่งนักศึกษาธรรมดาไม่น่าจะมีสายตาแบบนี้ได้
แต่หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมีคนคนหนึ่งค่อยๆเดินไล่ขึ้นมาจากแถวด้านหลัง คนคนนั้นคือหูเถี่ยจวิน เมื่อจี้เฟิงใช้สายตาในการเหลือบมองไปทางเขา ดวงตาของหูเถี่ยจวินก็หันไปมองอย่างอื่นทันทีราวกับว่าคนที่จ้องมองจี้เฟิงอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่เขา แต่จี้เฟิงแน่ใจว่าคนที่จ้องมองเขาต้องเป็นหูเถี่ยจวิน เพราะหลังจากที่เขาละสายตาไป ความรู้สึกของจี้เฟิงที่ถูกจ้องมองก็หายไปทันที
ถึงแม้จี้เฟิงจะรู้ว่าคนที่จ้องมองเขาคือหูเถี่ยจวินแต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมหูเถี่ยจวินถึงต้องจองมองเขาขนาดนั้น?
………
เป็นเพราะแสงแดดในยามเช้าไม่ได้รุนแรงมากนัก และแม้ว่าเหล่านักศึกษาใหม่จะเหนื่อยล้าแต่ก็ยังไม่ถึงกับมีใครเป็นลม และแล้ว 1 ชั่วโมงของการฝึกฝนในช่วงเช้าก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และตู้เส้าเฟิงก็ตะโกนขึ้นมาว่า “พักผ่อนได้!”
“โอ้~!!”
“เฮ้อออ~”
“ช่วยด้วยย!”
………
ทุกคนต่างร้องโอดครวญแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันคือพวกเขาต่างภาวนาให้การฝึกทหารอันโหดร้ายทารุณนี้ผ่านไปโดยเร็ว หลังจากการฝึกท่าทางของทหารสำเร็จพวกเขาก็จะได้เข้าสู่การฝึกในรูปแบบอื่นๆต่อไป และอย่างน้อยการฝึกรูปแบบต่อไปพวกเขาก็จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายไปมาได้ ไม่เหมือนกับการฝึกเมื่อครู่ที่ห้ามขยับร่างกายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำบ่นของคนเหล่านี้จี้เฟิงก็ส่ายหัวและยิ้ม หากการฝึกอบรมที่ผ่านมานี้ถูกพวกเขาเรียกว่าการฝึกอันโหดเหี้ยม เขาก็ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าคนเหล่านี้ได้ลองเข้าไปฝึกในระบบฝึกสายลับระดับสูงพวกเขาจะเรียกมันว่าอะไร? ระบบฝึกจากนรกหรือเปล่า?
…จบบทที่ 120~❤️