ตอนที่ 252 ฝูงนกกระดาษ
แววตาของฌายินเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักท่าทีของนางก็สงบลง
“เจ้ารู้ไหมว่าเหนือฟ้าถูกจับไปที่ใด”
พยัคฆ์คีรีพยักหน้า
“พวกข้าไปสำรวจมาหมดแล้ว มีเพียงชานเมืองหลวงอมตะทางทิศตะวันออก ที่มีการเคลื่อนไหวของกองทหารผิดปกติ ถึงจะมีการประกาศว่ามีการซ้อมรบที่นั่น แต่ข้ารู้ดีว่าการซ้อมรบไม่จำเป็นต้องขนยุทโธปกรณ์ไปมากเพียงนั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเหนือฟ้าน่าจะถูกขังอยู่ที่นั่น”
“นี่ พวกเราไม่คิดจะส่งจดหมายไปหาเหนือภพสักหน่อยเหรอ”
อรุณเสนอความคิด ขณะกำลังเช็ดถูทวนยาวของตัวเอง
“ข้าส่งไปหลายฉบับแล้ว แต่เหนือภพน่าจะอยู่ไกล จดหมายคงยังไปไม่ถึง”
เฮงเฮงตอบ แม้ว่ายามปกติเฮงเฮงจะมีท่าทีหวาดระแวงตลอดเวลา แต่ครั้งนี้เขากลับดูเยือกเย็นกว่าปกติ
“งั้นพวกเราไปช่วยเหลือน้องฟ้ากันก่อน เดียวเหนือภพรู้ข่าวก็มาเอง ด้วยนิสัยอย่างเขาน่าจะตามมาทีหลัง”
พยัคฆ์คีรีออกความคิด ขณะสะพายอาวุธขึ้นหลังทั้งดาบธนูและกระบอกลูกศร
ฌายินเองก็กลัวจะไม่ทันการณ์ เธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระ แล้วหยิบกระดาษลายขาวนวล ที่มีเนื้อละเอียดเปล่งแสงระยิบยับ ราวกับมีกากเพชรโรยอยู่ทั่ว โดยยื่นให้กับเฮงเฮง
“ใช้สิ่งนี้ น่าจะไปถึงไวกว่า”
“ครับ”
เฮงเฮงพยักหน้าเมื่อเห็นกระดาษอาคมชนิดพิเศษ ก่อนจะเขียนบอกเล่าผ่านตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้เหนือภพเข้าใจสถานการณ์ เมื่อเขียนเสร็จก็พับครึ่งปามันใส่อากาศ ก่อนที่กระดาษแผ่นนั้นจะเปลี่ยนตัวเองเป็นนกอาคมเรืองแสงรูปร่างโฉบเฉี่ยว พุ่งหายไปในอากาศ
ณ เทือกเขา ทางเหนือเมืองหลวงอมตะ
วูม ~ เหนือภพเปิดประตูมิติกลับออกมาที่จุดเดิม เมื่อกลับออกมาเขาก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก หนังตาขวากระตุกถี่ มันก็แปลกที่ระยะหลังมานี้หนังตาเขากระตุกบ่อยมาก เหมือนมันกำลังพยายามเตือนภัยอะไรสักอย่าง
เหนือภพหันไปรอบ ๆ มองพื้นที่โล่งเตียนแห้งแล้ง ไม่น่าเชื่อว่าพลังของเตชินท์จะสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้
‘ที่นี่มีไอมารหลงเหลือไม่น้อยเลย คิก คิก’ เมทินีเอ่ยอย่างชอบใจ
‘เหลือสิดี ข้ากำลังกังวลว่าจะไปหาไอมารจากไหนมาฝึกอยู่’
เหนือภพคุกเข่าลงข้างเดียว ขณะที่ทาบฝ่ามือเรืองแสงสีไวน์แดงลงไปที่พื้น ก่อนจะเพ่งจิต เปลี่ยนฝ่ามือของตัวเองให้เหมือนกับแม่เหล็กแผ่นหนึ่ง ไอมารที่แทรกซึมอยู่บนพื้นดินต่างสั่นไหว ทั่วรัศมีกว่า 600 เมตรก็มีควันสีดำพวยพุ่งออกมา ก่อนที่ควันดำเหล่านั้นจะพากันหลั่งไหลพุ่งเข้ามาทางเหนือภพ ไม่ต่างจากเศษเหล็กที่พุ่งเข้าหาแม่เหล็ก เพียงพริบตาไอมารจำนวนมากก็หลั่งไหลมารวมกันที่เหนือภพ
ฝ่ามือขวาของเหนือภพรวบรวมไอมารเข้มข้นจนเทียบเท่าลูกกลมขนาดย่อม
เหนือภพนั่งขัดสมาธิลง แยกไอมารและไออสูรที่เขาสะสมไว้ออกไปสองฝั่ง ฝั่งซ้ายคือไอมาร ฝั่งขวาคือไออสูร แล้วค่อย ๆ บีบบังคับให้พวกมันหลอมรวมกัน จนเกิดเป็นปราณมารอสูร ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน เพราะเหนือภพรู้เทคนิคที่จะย่นระยะเวลาอันไม่จำเป็น ช่วงกระบวนการหลอมรวมนี้ก็ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
ปราณสีไวน์แดง ลอยค้างอยู่เบื้องหน้าของเหนือภพ
ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะซึมซับปราณมารอสูร เข้าสู่ร่างกายของตัวเองอีกทอด ถึงจะหลายกระบวนการและค่อนข้างยุ่งยาก แต่วิธีนี้ก็ทำให้เขาสามารถดึงประสิทธิภาพของปราณมารและอสูรมาใช้รวมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เหนือภพชักนำปราณมารอสูรเข้าสู่ร่างกาย เติมเต็มขอบเขตพลังฝึกฝนครึ่งก้าวสู่กายเหนือดิน แต่มันก็ยังคงไม่เต็มเปี่ยม
‘ดูท่ากว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตการฝึกฝน คงต้องทำแบบนี้ไปอีกสักล้านครั้งมั้งเนี่ย’
เมทินีพูดแดกดันเหนือภพ เสียงแหบห้าวของเธอช่างแล้งน้ำใจยิ่งนัก
‘เจ้าทำอย่างกับว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้’
‘ไม่มี’
‘เฮอะ คุยกับเจ้าแล้วปวดหัว’
เหนือภพยืนขึ้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นนกอาคมที่พากันยกโขยง มามากกว่าสี่สิบตัว นกกระดาษหลากหลายสีสัน บินแข่งกันมาทางเหนือภพอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ก่อนที่กลุ่มนกอาคมพวกนั้นจะถึงตัวเขา วิหคอาคมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ร่างกายเปล่งประกายวิบวับ ราวกับว่ามันชุบตัวด้วยกากเพชรมา มันพุ่งผ่านกลุ่มนกอาคมทั้งหมดมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
เหนือภพรับมัน แต่เขายังไม่ได้อ่านในทันที นกกระดาษดิ้นพล่านอยู่ในมือเขา ขณะที่เขายืนมองดูนกอาคมกว่าสี่สิบตัว ที่กว่าพวกมันจะมาถึงตัวเขา ก็ใช้เวลาเกือบสองนาที
‘ข้าไม่ยักรู้ว่ามีคนอยากติดต่อเจ้ามากขนาดนี้’
‘นั่นสิ สงสัยข้าคงเนื้อหอมเกินไป’
เหนือภพยิ้มมุมปาก แต่ดวงตาเขายังคงเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลง จะว่าไปเขาก็ไม่แปลกใจนัก เพราะก่อนหน้าที่เขาจะไปซ่อนตัว ที่เมืองหลวงก็มีจดหมายอาคมบินมาหาเขาไม่เว้นวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีข้อความที่อ่านแล้วไม่ค่อยรื่นตาสักเท่าไหร่ แต่มีครั้งนี้ครั้งแรกที่มันมีปริมาณมากมายในคราเดียว จะไม่ใส่ใจก็คงไม่ได้
เหนือภพนั่งลงกับพื้นแล้วค่อย ๆ คลี่กระดาษออกดู เนื้อหาในจดหมายบอกเล่าเรื่องที่น้องสาวเขาถูกจับ ทว่าปฏิกิริยาของเหนือภพยังคงนิ่งเฉย เขาอ่านเสร็จแล้วก็โยนทิ้ง จับนกกระดาษตัวอื่นมาอ่านต่อ แล้วก็โยนทิ้ง เขาทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้จนนกทุกตัวสูญสลายไปหลังจบสิ้นหน้าที่
‘เจ้าไม่คิดจะตกใจบ้างเลยเหรอ นั่นน้องสาวเจ้าเชียวนะ’ เมทินีเอ่ย
เหนือภพยืนขึ้นช้า พลางนิ่วหน้า จากนั้นกลิ่นอายรอบกายก็เต็มไปด้วยแรงกดดันจากปราณ
‘เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือใคร’
‘จะมีใครกล้าจับน้องสาวเจ้า ถ้าไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นเจ้า เจ้าเด็กที่ชื่อเตชินท์น่ะน่าสงสัยที่สุด แววตาของมันยามจ้องมองเจ้า เต็มไปด้วยความแค้นล้ำลึก มีแต่คนเช่นนี้ที่จะทำเรื่องจับตัวประกันเพื่อข่มขู่’
เหนือภพไม่พูดไม่จา เขาใช้วิชาเคลื่อนไหวย่างก้าวประดารา เคลื่อนตัวไปทางเมืองหลวงอมตะในทันที
‘ในจดหมายบอกว่าสถานที่ที่น้องเจ้าถูกจับไป ไม่ใช่ทางนี้นี่’
เมทินีสงสัยในจิตใจชายหนุ่มยิ่งนัก เมื่อเหนือภพกำลังจะถึงประตูเมืองอมตะทางทิศเหนือ
‘ข้ารู้’ เหนือภพตอบ ก่อนจะอธิบายต่อ
‘ถ้าเจ้าเตชินท์จับน้องสาวข้าไป แปลว่ามันต้องการล่อข้าเข้าไปในกับดักของมัน’
‘มันก็แหงอยู่แล้ว แต่กับดักเด็กเล่นพวกนั้นจะทำอะไรเจ้าได้เล่า ไม่เห็นต้องหนีเลย’
‘ฮึ ใครบอกว่าข้าหนี เจ้าอยู่มานานไม่เคยได้ยินหนามยอกให้เอาหนามบ่งหรือไง’
‘เอ๊ะ หรือว่า...’
เมทินีถึงกับหัวเราะชอบใจออกมา เมื่อรู้เหนือภพต้องการทำอะไร ในเมื่อเตชินท์จับน้องสาวเขาไป ก็ไม่สู้ไปจับครอบครัวฝั่งนั้นคืน ไม่ดีกว่าเหรอ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เป็นวิถีอธรรมที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว
‘แต่เจ้าไม่กลัวว่า เจ้านั่นจะทำร้ายน้องสาวเจ้าหรือไง’
ระหว่างที่ยังวิ่งอยู่นั้น ดวงตาของเหนือภพก็วูบไหวอย่างประหลาด ประโยคนี้เหมือนจะเป็นการย้ำเตือนให้เขาคิดถึงน้องสาว ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีแววตาของเขาก็กลับมามั่นคง และเย็นชาเช่นเดิม
‘น้องสาวข้ายังเด็ก หากมันทำร้ายนางจริง ๆ ก็ถือว่าเลวมาก อีกอย่างน้องสาวข้ามีสำนักงานฮันเตอร์ให้การหนุนหลัง ดังนั้นข้าคิดว่าพวกมันคงไม่กล้าลงมือ แต่พวกมันอาจจะทำร้ายน้องสาวข้า ก็ต่อเมื่อข้าปรากฏตัว เพื่อจะได้ข่มขู่ข้า แล้วถ้าหากข้าไม่ปรากฏตัวล่ะ ผลจะเป็นยังไง’
‘เจ้านี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว แต่ข้าชอบนะ ข้าหวังว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าคิด’
เหนือภพยิ้มเย็น ขณะทะยานผ่านกำแพงเมือง จากนั้นเขาก็ลงไปเดินปะปนกับผู้คนภายในตลาด ก่อนจะหยิบยืมหน้ากากมาใช้โดยไม่จ่ายเงิน แม้แต่คนขายก็ยังไม่รู้ว่าหน้ากากของตัวเองหายไป
ชายหนุ่มร่างผึ่งผายก้าวเดินไปในเมืองอย่างช้า ๆ มุ่งสู่เส้นทางที่ทอดตัวไปถึงพระราชวัง
‘เอ่อ เหนือภพข้าคิดว่าเจ้าลืมอะไรไปอย่างนะ’
‘ห่ะ อะไร’
‘เจ้าสวมหน้ากากปิดบังตัวตน แต่ชุดเกราะของเจ้าน่ะ ด้านหลังเขียนชื่อเจ้าไว้นะ ไม่ปิดสักหน่อยเหรอ’
เหนือภพหลุดหัวเราะออกมา อย่างขำตัวเอง และในเสี้ยววินาทีนั้นดวงตาของเขาก็กลับมาอ่อนโยน เหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งจากหมู่บ้านแร่ห้าสีมาเป็นครั้งแรก
‘นั่นสิ ข้าลืม’
เมื่อเหนือภพเดินผ่านร้านเสื้อผ้า เขาก็ฉกเสื้อคลุมยาวมาสวมใส่โดยไม่มีใครเห็น เขามาหยุดยืนอยู่ที่สี่แยกแห่งหนึ่งภายในเมือง หากเดินต่อไปอีกสัก 700 เมตร ก็จะถึงเขตกำแพงชั้นนอกของพระราชวังอมตะ
‘เจ้ารออะไร’
‘ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ถ้าแค่จับตัวมาข่มขู่ มันจะเพียงพอได้ยังไง ในเมื่อมันกล้ายุ่งกับครอบครัวข้า ข้าก็ควรทำให้มันรู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต อ่า... อีกหนึ่งวัน เตชินท์จะแต่งงานสินะ’
เหนือภพพูดอยู่ในใจ ขณะมองป้ายประกาศมงคลสมรสระหว่างองค์ชายเตชินท์กับองค์หญิงบุษย์น้ำทอง
อันที่จริงเขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าลึก ๆ ในใจตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรกันแน่
รู้สึกร้อนรนอยากช่วยน้องสาวหรือ -- ก็ไม่เชิง
รู้สึกโกรธแค้นที่พวกมันทำร้ายครอบครัวของเขาหรือ -- ก็มีบ้าง
รู้สึกเหมือนถูกหยามหรือ -- ก็มีส่วน
รู้สึกอยากแก้แค้นใครสักคนเพื่อความสะใจหรือ -- ก็เป็นไปได้
รู้สึกอยากฆ่าใครสักคนงั้นหรือ -- แน่นอนที่สุด
แววตาของเหนือภพวูบไหวรวนเร ราวกับจิตใจกำลังคัดค้านกันอยู่
‘นี่เจ้าจะฉุดเจ้าสาวของคนอื่นในวันแต่งงานเลยเหรอ เจ้านี่เลวขึ้นเยอะเลยนะ’
‘เจ้าเห็นข้าเป็นคนคิดซับซ้อนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าไม่เปลืองสมองคิดเรื่องยุ่งยากแบบนั้นหรอก การตัดบุพเพของผู้อื่นเป็นบาป ข้ายังไม่อยากอยู่เป็นโสดจนตายหรอกนะ’
แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่เหนือภพกลับยิ้มอย่างเลือดเย็น ขณะมองไปที่ป้ายประกาศงานมงคล
‘แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ชอบทำให้ข้าสงสัยอยู่เรื่อย บอกมาเลยนะ’
เมทินีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดปนแง่งอน อยู่ภายในใจเหนือภพ ขณะที่เหนือภพได้แต่หัวเราะชอบใจบางอย่าง
‘เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง อดใจรอหน่อย’
‘ฮึ ทุกทีเลยสิน่า’
จากนั้นเหนือภพก็ลอบเข้าไปในพระราชวัง เพื่อไปพบองค์หญิงบุษย์น้ำเพชร
วันนี้ก็ยังเป็นอีกวัน ที่บุษย์น้ำเพชรยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ในศาลากลางสวนพฤกษา ในเขตตำหนักการเวกของนาง ช่วงหลังมานี้นางมักชอบอยู่คนเดียว เพื่อให้สะดวกต่อการมาพบของเหนือภพ ทว่าเพียงเหนือภพไม่ได้มาหานางหนึ่งวัน นางก็รู้สึกกังวลเสียแล้ว
“คิดถึงข้ารึ !”
“ว๊าย !” บุษย์น้ำเพชรสะดุ้งจนตัวโยน ร่างแน่งน้อยดีดตัวขึ้นจนแทบจะตกม้านั่ง ก่อนจะหันมองตามเสียงด้วยหน้าใบบึ้งตึง
“เจ้าตัวเลวร้ายนี่”