ตอนที่แล้วตอนที่ 250 เทวีเมทินี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 252 ฝูงนกกระดาษ

ตอนที่ 251 น้องสาวกบฏ


อย่างที่สองคือ เขาสามารถเข้าถึงความสามารถที่สองของเหล็กไหลราชันย์พิภพได้แล้ว  แต่ยังอยู่ขั้นที่สองของ ‘อาณาเขตพื้นพิภพ’

ซึ่งขั้นแรกของวิชาอาณาเขตพื้นพิภพคือ ‘ดวงตาพิภพ’ มีความสามารถในการสำรวจ รับรู้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่บนพื้นดินภายในรัศมี 500 เมตร ส่วน ‘อาณาเขตพื้นพิภพ ขั้นที่ 2 คือ อาณาเขตแรงดึงดูด’

ความสามารถนี้ก็เหมือนเหล็กกับแม่เหล็ก เมื่อทั้งสองอยู่ใกล้กัน เหล็กจะถูกแนวแรงของแม่เหล็กดูดเข้าไปเกาะติด แต่อาณาเขตดึงดูดนี้ไม่เหมือนแม่เหล็ก ที่ดูดแค่เหล็ก ความสามารถของแรงแรงดึงดูดมันดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในแนวแรงของมันด้วยอำนาจดึงดูดอันน่ามหัศจรรย์ มันเป็นความสามารถของโลก เพราะอำนาจอันเร้นลับนี่เองที่ช่วยคุ้มกันมิให้สรรพสิ่งต่าง ๆ ภายในโลก หลุดลอยออกไปภายนอกโลก   ช่วยทำให้ทุกสิ่งต้องตรึงตัวติดอยู่กับผิวโลก โดยมีจุดศูนย์ถ่วงได้ตั้งฉากกับผิวโลกอยู่เสมอ

ซึ่งเหล็กไหลพิภพเป็นราชันย์แห่งพื้นพิภพ มันสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้เหมือนโลก เพียงแต่พลังของมันจะอ่อนด้อยกว่า ทำให้เหนือภพควบคุมมันได้เพียงแค่ระยะ 20 เมตรเท่านั้น เขาสามารถควบคุมแรงดึงดูดให้มากหรือน้อยได้ตามใจนึก ทว่า ‘อาณาเขตพื้นพิภพ ขั้นที่ 2 อาณาเขตแรงดึงดูด’ นั้นสูบพลังปราณมหาศาล

ด้วยพลังฝึกฝนขอบเขตครึ่งก้าวสู่กายเหนือดินของเหนือภพ ยังควบคุมมันได้เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น จากนั้นพลังปราณก็จะถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว จนเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง

เหนือภพฝึกฝนและฝึกซ้อมใช้อาณาเขตแรงดึงดูด จนช่ำชองมากขึ้น และระยะเวลาที่เขาใช้ได้ก็นานมากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่หากนำไปใช้ในการต่อสู้จริง ก็ใช่ว่าเขาจะใช้ปราณไปกับวิชาอาณาเขตเพียงอย่างเดียว เขายังต้องใช้คู่กับวิชาอื่น ดังนั้นจากที่เขาคิดคำนวณ อย่างมากก็ใช้ได้แค่ 2 นาทีต่อหนึ่งการต่อสู้เท่านั้น  หากมากกว่านี้ร่างกายเขาคงไม่อาจทนรับได้ไหว

ณ บ้านร้างชานเมืองหลวงอมตะ ทางทิศตะวันออก

เพี๊ยะ ! เสียงตบใบหน้าอย่างรุนแรง ตามมาด้วยเสียงอันเกรี้ยวกราดของชายในชุดคลุม

“จะทำหรือไม่ทำ !”

อั๊ก !! เหนือฟ้ากระอักเลือดออกมา เวลานี้เธอถูกมัดแขนสองข้างตรึงไว้กับขื่อบ้าน ทั้งร่างถูกมุดเหล็กไหลเจาะตรึงร่างกายเอาไว้ ทำให้นางไม่อาจใช้ปราณอาคมได้ แถมยังสร้างความเจ็บปวดอย่างมหาศาล แต่ก็มีเพียงหมุดเท่านั้นเท่านั้นที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้ร่างของเธอตกลงมา

ร่างเด็กสาววัยแรกแย้มห้อยแกว่งไกว ราวกับตุ๊กตาผ้าเก่า ๆ แววตาของเธอเลื่อนลอย ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาแห้งและเลือดเกรอะกรัง

เวลานี้เหนือฟ้าดูหม่นหมองอ่อนแรงและไร้สง่าราศี อาภรณ์สีชมพูตัวงามที่สวมใส่บนร่างฉีกขาด อันเกิดจากถูกแส้เฆี่ยนตีอย่างยาวนาน ซ้ำไปซ้ำมา จนชุดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด  ไม่คิดว่าชุดเกราะตัวงามที่พี่ชายซื้อให้ จะมีสภาพเช่นนี้ สภาพของนางอนาถเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งควรจะได้รับ

เด็กสาวเม้มปากแน่น ไม่ยอมปริปากออกมา เพราะถ้าเธอพูดหรือทำอะไรสักอย่าง พี่ชายของเธอจะเป็นอันตราย

“เจ้านังหมูสกปรกนี่ !”

ชายชุดดำร่างใหญ่หมดความอดทน มันพยายามเค้นให้เด็กสาวยอมทำตามที่พวกมันบอก โดยการส่งจดหมายไปหาเหนือภพ เพื่อล่อเหนือภพเข้ามาในกับดัก แต่เด็กนี่กลับดื้อรั้น เฆี่ยนตีเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ

“ยังไม่ได้เรื่องอีกหรือ”

น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้น ทำให้เหล่าชายชุดดำที่เฝ้าอยู่หน้าประตู น้อมคำนับอย่างนอบน้อม ขณะที่ชายที่ได้รับเวรลงทัณฑ์เฆี่ยนตี ถอยกายมาคำนับผู้มาเยือน

“พวกเจ้านี่มันไม่ได้เรื่อง แค่เด็กตัวเล็ก ๆ คนเดียว ก็ยังจัดการไม่ได้”

“ขอโทษด้วยขอรับ ท่านแม่ทัพ นังเด็กนี่ใจแข็งกว่าที่คิด พวกเราผลัดกันตี ไม่ให้ข้าว ไม่ให้ให้น้ำมาเกือบหนึ่งวัน ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรเลย”

“ช่างเถอะ พวกเจ้าออกไป ทางนี้ข้าจัดการเอง”

แม่ทัพวัยกลางคนใบหน้าใจดี เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนปกติยามเห็นสภาพเด็กสาวเป็นเช่นนี้ก็ต้องรู้สึกเวทนาบ้าง แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับยิ้มอย่างมีความสุข

เขาเปล่งปราณอาคมเพียงครั้งเดียว ร่างกายก็ลอยขึ้นไปสูงระดับเดียวกับขื่อบ้าน

“เด็กน้อย” เขาใช้มือหนาใหญ่ลูบไล้แก้ม และเชิดคางของเด็กสาวขึ้น เพื่อมองให้ชัด

นัยน์ตาอ่อนล้าของเหนือฟ้าจ้องมองชายวัยกลางคนเขม็ง ในใจนึกเคียดแค้นและจดจำใบหน้านี้เอาไว้ในใจ

“ใบหน้างดงาม เสียดายของจริง ๆ”

ชายวัยกลางคนยื่นหน้าเข้ามา แลบลิ้นเลียเลือดและน้ำตาของเด็กสาวอย่างโรคจิต ขณะที่เด็กสาวทำได้เพียงแค่ดิ้นรน นางพยายามใช้เท้าน้อย ๆ ถีบชายโรคจิตชั่วช้าให้ออกไป แต่นางเป็นเพียงแค่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ พลังของนางคือปราณอาคม เมื่อสิ้นไร้ซึ่งปราณอาคม นางก็ไม่ได้ต่างจากเด็กปกติทั่วไป ที่ทั้งอ่อนแอและเปราะบาง

“ไหนบอกลุงมาสิ ว่าจะยอมทำตามที่ลุงต้องการหรือเปล่า”

ถุย !! เด็กสาวถุยน้ำลายใส่หน้าชายชั่ว

“แน่จริงก็ฆ่าข้าให้ตายสิ เจ้าจะไม่ได้อะไรจากข้า เพื่อไปทำร้ายพี่ชายได้แม้แต่น้อย”

ชายวัยกลางคนหุบยิ้มฉับ สายตาโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที แต่แทนที่มันจะแสดงความโกรธออกมา มันกลับยิ้ม ใช้มือปาดน้ำลายปนเลือดของเด็กสาวบนใบหน้าตัวเองมาเลีย

เด็กสาวเห็นเช่นนั้นก็บังเกิดความกลัวและพะอืดพะอม ชายคนนี้จิตไม่ปกติแน่นอน เด็กสาวพยายามจะถอย แต่ก็ทำไม่ได้

“ไม่เป็นไร ลุงคนนี้รอได้”

มันพูดพลางยิ้มโรคจิต ขณะกวาดตามองร่างกายที่ยังไม่โตเต็มวัยของเหนือฟ้า อย่างหลงใหล จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

และแล้วชายวัยกลางคนก็พุ่งเข้าหาร่างเหนือฟ้า เด็กสาวกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว

“อย่า ! อย่า ! อย่าเข้ามา หนูขอร้อง ฮือ ฮือ กรี๊ดดดดด”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัวก้องกังวานไปถึงด้านนอก ทำให้เหล่าคนในชุดดำอมยิ้ม

“ท่านแม่ทัพนี่สุดยอดจริง ๆ เข้าไปไม่นานก็กำราบนังเด็กกบฏนี่ได้  สมกับเป็นท่านแม่ทัพจริง ๆ”

“เจ้าไม่รู้อะไร ท่านแม่ทัพชอบเด็กสาวมาตั้งแต่ไหนแล้ว เชื่อเถอะนางเด็กนี่ได้เป็นเมียเด็กของท่านแม่ทัพอีกคนแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะของกลุ่มชายชุดดำเต็มไปด้วยความสนุกสะใจ ขณะที่เสียงกรีดร้องของเด็กสาวดังระงมก้องไปทั่ว

อีกด้านไม่ไกลจากบ้านร้าง

เตชินท์ที่ดักรอเหนือภพอยู่ พอได้ยินเสียงหวาดกลัวของเหนือฟ้า ก็เริ่มทนไม่ไหว เพราะเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่ในขณะที่กำลังจะพุ่งเข้าไป กลับถูกสวาหะพุ่งเข้ามายืนขวางทางเอาไว้

“เจ้าไปไหนไม่ได้”

“นี่มันจะเกินไปแล้วนะ นางยังเป็นเด็ก นางไม่ควรเจอเรื่องแบบนี้ ข้ายอมได้แค่เฆี่ยนตีนาง แต่แบบนี้ข้าไม่เอาด้วยแล้ว ถอยไป ! อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

เมื่อเตชินท์เห็นว่าสวาหะไม่ยอมหลบ เขาก็เดือดจัด ผลักร่างของสวาหะจนกระเด็นล้มไปกับพื้น ขณะที่กำลังพุ่งออกไปด้วยความเร็วนั้นเสียงขลุ่ยมารก็ดังขึ้น

ทันใดนั้นเตชินท์อยู่ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด ล้มลงไปกับพื้น พลังปราณทั่วร่างเกิดการปั่นป่วน ควบคุมไม่ได้

“นี่...เจ้า ทำอะไรกับ..ข้า”  เตชินท์พูดออกมาอย่างยากลำบาก ขณะนอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่กับพื้นอย่างทุกข์ทรมาน

“ข้าเตือนเจ้าแล้ว อย่าได้ยุ่งกับเรื่องนี้ อย่าลืมสิ เจ้าให้คนของเจ้าพานางมา เมื่อเริ่มแล้วควรสานต่อให้จบ อีกอย่างเมื่อเหนือภพตายไป เจ้าไม่กลัวเหรอว่านางที่มากด้วยพรสวรรค์จะเป็นเสี้ยนหนามในอนาคตเจ้า”

“ก็ช่างนางสิ”  เตชินท์พยายามขัดขืนไอมารจากขลุ่ย ที่สะกดร่างของเขาเอาไว้

“หึ เจ้าก็พูดง่าย ในอนาคตไม่แน่ว่าเมียของเจ้าจะถูกนางใช้วิธีการเดียวกันแก้แค้น เจ้าไม่กลัวหรือไง ทนได้หรือที่จะต้องเห็นคนที่ตัวเองรักทุกข์ทรมาน”

เตชินท์สะอึก เงียบไป เขาพยายามครุ่นคิดในใจ ความรู้สึกหลากหลายขัดแย้งกันเอง แต่เขาตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่แรก

สวาหะยิ้มดูถูก ก่อนจะกลับไปยืนไขว้หลัง มือจับขลุ่ย สำหรับเขาแล้วคนที่ฆ่าพี่ใหญ่นับว่าได้ตายไปแล้วครึ่งตัว และคนที่มันรักก็เช่นกัน การได้รับทัณฑ์ทรมานเช่นนี้ถือเหมาะสมที่สุด

ทางด้านฌายิน

หลังจากนางถูกสวาหะโจมตีครั้งสุดท้าย นางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนสลบไปนานกว่าสิบชั่วโมง ก่อนจะตื่นมาพบกับข่าวร้าย

'เหนือฟ้าหายไป'

ฌายินลากร่างอันสาหัสเข้ามาในพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าพี่สาว แต่องค์ราชินีกลับปฏิเสธที่จะพบนาง

อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเซนต์อมตะยืนนิ่งอยู่หน้าตำหนัก นางคิดว่าพี่สาวคงช่วยเหนือฟ้าไม่ได้ก็เลยรู้สึกผิด ไม่กล้าออกมาพบหน้านาง แต่นางไม่โทษพี่สาว ขอเพียงให้พี่สาวบอกเบาะแสมาบ้างก็เท่านั้น  ขอแค่ได้รู้ว่าเหนือฟ้าไปอยู่ที่ไหน ถูกใครจับไปหรือเปล่า

แต่รอนานเท่าไหร่ องค์ราชินีก็ไม่ยอมออกมาพบ จนกระทั่งมีจดหมายอาคมฉบับหนึ่งพุ่งมาหาเธอ เนื้อความในจดหมายนั้นนัดเธอให้ไปพบยังสถานที่แห่งหนึ่ง และเรื่องนี้เกี่ยวกับลูกศิษย์ของเธอ

เมื่อฌายินจากไป องค์ราชินีฌานิญาก็เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ขณะที่หันมามองในพระตำหนัก ที่ด้านในมีองค์เจ้าแคว้นนั่งรออยู่

“ครั้งนี้เสด็จพี่ตัดสินใจดีแล้วหรือเพคะ”

“ก็แค่น้องสาวกบฏ ต่อให้มีพรสวรรค์ยังไง แต่ถ้าเป็นกบฏเก็บไว้ก็เป็นหอกข้างแคร่เปล่า ๆ น้องหญิงอย่าได้เสียใจไปเลย พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้เด็กผู้หญิงนั่นมาปกป้อง พวกเรามีตัวเลือกที่ดีกว่านั้น ถ้าสละไปสักหนึ่ง แล้วได้อำนาจขนาดนั้นมา ข้าคิดว่ามันคุ้มค่า”

“หม่อมฉันก็หวังว่าเสด็จพี่จะคิดถูก หม่อมฉันกังวลใจเหลือเกินเพคะ”

องค์เจ้าแคว้นเข้ามาโอบกอดข้างหลังองค์ราชินีอย่างปลอบโยน

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องเจ้ากับลูกของเราเอง”

ฌายินเดินทางออกจากพระราชวัง แม้จะบาดเจ็บ แต่นางก็ไม่สนใจ รีบไปตามที่นัดหมายในทันที ซึ่งที่นั่นมีพยัคฆ์คีรี เฮงเฮง พี่พล และอรุณที่ทราบข่าวว่าเหนือฟ้าถูกจับไป รอคอยฌายินอยู่ แต่พวกเขาทั้งสี่มีกำลังไม่มากพอ

ฌายินพอจะรู้จักพยัคฆ์คีรี เพราะเขาเคยเป็นศิษย์ของเธอ พยัคฆ์คีรีเล่าเรื่องทั้งหมด ออกไปอย่างไม่ปิดบัง

“ไม่จริง พี่สาวข้าไม่ทำแบบนั้นแน่”

“อาจารย์ใหญ่ ท่านมองโลกในแง่ดีเกินไป พี่สาวท่านจะรักท่านมากกว่าสามีตัวเองได้ยังไง ในเมื่อองค์เจ้าแคว้นต้องการ ใครเล่าจะกล้าขัด ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเราก็รู้ ๆ กันอยู่”

พี่พลเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ

พยัคฆ์คีรีพยักหน้า เขาเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แน่นอนว่าเขารับใช้องค์เจ้าแคว้นมาหลายปี ย่อมเคยทำงานเปรอะเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์มาบ้าง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่พยัคฆ์คีรีรู้สึกโกรธเกลียดองค์เจ้าแคว้นเท่าครั้งนี้มาก่อน หากไม่เป็นเพราะคำสัตย์สาบานที่เคยให้ไว้ เขาก็อยากจะไปให้ไกลจากเมืองโสมมแห่งนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด